ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ถือเป็นฤดูที่น่ามาเที่ยวเป็นอย่างยิ่งค่า ทั้งสวยงามและโรแมนติก ประเทศญี่ปุ่นก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวต่างมาเยือนกันมากที่สุด เพราะขึ้นชื่อเรื่องความงดงามของธรรมชาติและวัฒนธรรม แถมยังมีสถานที่ท่องเที่ยวละกิจกรรมอันอลังการรอพวกเราไปสัมผัสมากมาย ใครที่แพลนไปเที่ยวญี่ปุ่นในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีรับรองว่าไม่มีผิดหวังค่า มาชมกันเลยดีกว่าค่ะว่าจะตื่นตาตื่นใจขนาดไหนนน >,<

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี

มาเยือนญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีทั้งที จะพลาดชมใบไม้เปลี่ยนสีไปได้ยังไงใช่ไหมค้าาา เพราะถือเป็นอีกช่วงเวลาที่งดงามและโรแมนติกมากกก ต้นไม้พร้อมใจกันอวดสีสันของใบไม้ ทั้งสีแดง สีเหลือง สีส้ม สีทองสลับกันไป สดใสละลานตาฝุดๆ เลยค่า

โดยที่ญี่ปุ่นนั้นสามารถหาชมได้เกือบทั่วทั้งประเทศ ในช่วงประมาณเดือนกันยายนไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน โดยจะเริ่มจากทางตอนเหนือ ค่อยๆ ไล่มาทางตอนใต้ของประเทศ แต่ช่วงเวลาที่เปลี่ยนสีอาจคลาดเคลื่อนแตกต่างกันไปในแต่ละปีนะคะ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและอุณหภูมิในปีนั้นๆ อย่าลืมเช็คพยากรณ์อากาศกันก่อนไปนะจ๊า

และเนื่องจากมีจุดให้ชมค่อนข้างเยอะ หลายๆ คนอาจจะคิดว่า เอ๊~ แล้วเราควรไปที่ไหนดีน้าา? เรามีที่ฮิตๆ เด่นๆ มาแนะนำค่า

1. วัดไดโกจิ (Daigoji Temple) ช่วงกลางพ.ย. ถึงต้นธ.ค. ที่เกียวโต เป็นวัดที่สำคัญของศาสนาพุทธในญี่ปุ่น มีอายุกว่า 1,200 ปี และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วยค่ะ พื้นที่กว้างขวาง มีอาคารเก่าแก่สวยๆ และน่าสนใจอยู่มากมาย

บริเวณที่เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีก็คือ อาคารเบนเทนโดะ (Bentendo Hall) ศาลาสีแดงซึ่งตั้งอยู่กลางน้ำ ห้อมล้อมด้วยต้นเมเปิ้ลและแปะก๊วยที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงและเหลือง มองไปทางไหนก็สวยงามละลานตาไปโม้ดดดด ได้ชมสีสันสดใสของใบไม้และอาคารสวยๆ ไปพร้อมกัน รู้สึกเหมือนกับโดนสะกดไว้ในโลกนิยายเลยค่า

2. หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge) ช่วงปลายต.ค. ถึงปลายพ.ย. อยู่ที่จังหวัดมิยางิ เป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยติดอันดับต้นๆ ของภูมิภาคโทโฮคุค่ะ มีเส้นทางการเดินป่าเพื่อขึ้นไปจุดชมวิว Narukokyo Rest House แค่ระหว่างทางเดินก็เพลินแล้วจ้า สองข้างทางเต็มไปด้วยสีสันของไม้ใบที่กำลังผลัดสี และพอขึ้นไปถึงจุดชมวิว ภาพที่เห็นก็คือ หุบเขาที่เต็มไปด้วยใบไม้สีเหลือง ส้ม แดง ของต้นบีช ต้นโอ๊ค และเมเปิ้ล ตัดกับสีเขียวของต้นสน

มองเห็นสะพานโอฟุคาซาว่า (Ofukazawa Bridge) และภาพรถไฟที่กำลังวิ่งออกมาจากอุโมงค์โดยมีฉากหลังเป็นใบไม้เปลี่ยนสี แหม่ อย่างกับหลุดออกมาจากภาพโปสเตอร์เลยค่า รีบหยิบกล้องมาถ่ายรูปรัวๆๆๆ เจ้ารถไฟก็เหมือนจะรู้งาน ค่อยๆ เคลื่อนนน กระดึ้บๆ ให้เราได้มีเวลาถ่ายรูป อิอิ

และห่างไป 2 กิโลเมตร จะมีเมืองน้ำพุร้อนอย่างนารุโกะออนเซ็น (Naruko Onsen) เป็นเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงเรื่องบ่อน้ำพุร้อนน้ำแร่ธรรมชาติค่ะ น้ำแร่ที่นี่มีคุณสมบัติช่วยบำรุงให้ผิวกระจ่างใสและ นักท่องเที่ยวจึงนิยมมานอนแช่ผ่อนคลายกันที่นี่ แถมมีบริการแช่เท้าฟรีด้วยนะจ๊า

นอกจากนี้ยังมีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีอีกมากมาย เช่น

วัดเออิคันโดะ (Eikando Temple) ช่วงกลางถึงปลายพ.ย.

วัดโทฟุคุจิ (Tofukuji Temple) ช่วงกลางถึงปลายพ.ย.

อุโมงค์ต้นแปะก๊วยสีเหลืองทอง สวนเมจิจิงงูไกเอ็ง Meiji-jingu Gaien Park ช่วงปลายพ.ย. ถึงต้นธ.ค.

สวนริคุงิเอน (Rikugien Garden) ช่วงกลางพ.ย. ถึงต้นธ.ค.

น้ำตกเคงอน (Kegon Waterfall) ช่วงกลางถึงปลายต.ค.

ถนนสายโรแมนติคอิโรฮาซากะ (Irohazaka Winding Road) ช่วงปลายต.ค. ถึงต้นพ.ย.

อาราชิยาม่า (Arashiyama) ช่วงปลายพ.ย. ถึงต้นธ.ค.

และทะเลสาบคาวากูจิโกะ (Lake Kawaguchiko) ช่วงปลายต.ค.  ถึงกลาง พ.ย.

เทศกาลปูติดป้าย

แอร้ยยยยย เทศกาลนี้ที่รอคอย >3< มาเยือนถึงญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องความสดของอาหารทะเลทั้งที ห้ามพลาดเลยค่า กับเทศกาลปูติดป้ายยยย~ !!

ซึ่งการติดป้ายนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นปูเกรดเยี่ยมนั่นเอง ทุกครั้งที่มีการจับปูเข้ามาจะมีการคัดเกรดกันอย่างเข้มงวดที่ท่าเรือค่ะ ป้ายที่ติดจะมีสีแตกต่างกันไปตามแหล่งที่จับมา และจะติดไว้กับปูที่ผ่านเกณฑ์เท่านั้นนะคะ โดยจะดูที่ขนาด น้ำหนัก ความสมบูรณ์ ความสวยงาม แต่ปูที่ไม่มีป้ายติดก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ดีหรือไม่อร่อยน้า แต่ถ้ามีก็จะเหมือนเป็นการยืนยันว่าปูนั้นได้ผ่านการรับรองมาแล้ว มั่นใจได้ว่ารสชาติอร่อย หวานนนแน่นอน คอนเฟิร์ม!!

และปูแสนอร่อยยอดฮิตของที่นี่ก็คือ ปูอลาสก้าค่า ปูที่ใครๆ ก็อยากจะลิ้มลองความอร่อย ตัวใหญ่ๆ เนื้อแน่นเต็มปากเต็มคำ อ่าาาส์ พูดแล้วก็น้ำลายไหล 5555 ปูอลาสก้าที่นิยมทานกันคือ สายพันธุ์แดง (Red King Crab) ที่ตัวจะมีหนามเล็กๆ นำมาทำอาหารได้หลายรูปแบบเลยค่ะ ทั้งทานดิบๆ แบบซาชิมิ ต้มใส่ในหม้อไฟ ทอดทำเทมปุระ หรือจะนำมาจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดก็แซ่บลืมค่าาา

ต่อมาคือ ปูเคะกะนิ (Kegani) หรือปูขน ตัวของมันก็เต็มไปด้วยขนสมชื่อจริงๆ ค่ะ เนื้อขาวๆ นุ่มๆ~  และส่วนที่อร่อยที่สุดก็คือตรงมันปูค่า ยิ่งตัวผู้จะมีมันเยอะ นิยมทานกับน้ำจิ้มจิ๊กโฉ่วใส่ขิงและน้ำขิงร้อนๆ เพราะเชื่อกันว่าปูขนมีฤทธิ์เย็น ต้องแก้ด้วยฤทธิ์ร้อนจากขิง เพื่อช่วยสร้างสมดุลในร่างกายค่า ซึ่งในช่วง 3 เดือนที่จัดงานเทศกาลนี้ ถือว่าเป็นช่วงที่ปูขนมีความอุดมสมบูรณ์มากๆ และเหมาะแก่การลิ้มรสเป็นที่ซู้ดดด

และสุดท้ายขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับปูซุวะอิ (Zuwaigani) ชั้นเลิศ!! หรือปูหิมะ เป็นปูอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่นค่า เนื้อแน่นๆ ที่ขา แถมรสชาติหวานอร่อยมว้ากกก มีราคาแพงที่สุดในปู 3 ชนิดเลยค่ะ นิยมนำมาทำซาชิมิ ซูชิ ซุปหม้อร้อนหรือย่าง เป็นต้น สามารถหาทานได้สดๆ ในแต่ละท้องถิ่นทั่วประเทศ ในช่วงเดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนค่า

และเมื่อเริ่มเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน อากาศก็จะเริ่มหนาวเย็นลง นอกจากจะมาฟินกับปูติดป้ายชั้นดีแล้ว ก็ยังสามารถมาแช่ออนเซ็นได้อีกด้วยนะค้า โดยคนญี่ปุ่นจะนิยมไปกินบุฟเฟ่ต์ปูแสนอร่อย พร้อมกับแช่น้ำร้อนออนเซ็น ทั้งมีความสุข ผ่อนคลาย อิ่มอร่อย ฟินจริงจริ๊งงงง~

 

เทศกาลดอกไม้ไฟ

ปุ้งงงๆๆๆๆ ใครอยากเห็นความสวยงามอลังการของดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ ที่พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน ห้ามพลาดเลยค่า! กับเทศกาลดอกไม้ไฟ~ โดยเทศกาลนี้ของญี่ปุ่นจัดได้ว่าเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกเลยนะคะ เพราะชึ้นชื่อเรื่องความสวยงาม รูปแบบที่หลากหลาย แปลกแหวกแนวและไม่เหมือนใครที่ไหน มีเทคนิคต่างๆ ที่ซับซ้อนมากมาย ออกแบบโดยช่างพลุมืออาชีพ แถมยังพัฒนาสูตรผงดินปืนจนเกิดเป็นสีพิเศษต่างๆ ขึ้นมาค่ะ ทั้งสีเหลืองมะนาว สีฟ้าน้ำทะเล เลิศมว้ากกก

ขอบอกว่างานนี้ตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจสุดๆๆๆ เลยค่า >,< แสงสีเสียงของพลุจำนวนหลายหมื่นดอกละลานตาไปหมด ในรูปว่าสวยแล้ว ถ้าได้มาเห็นด้วยตาตัวเองนี่คูณไปอีกสิบเท่า! ตาลุกวาวไปหมดไม่รู้จะอธิบายด้วยคำไหนดี คือมันสวยงามตระการตามากจริงๆ ค่า คนญี่ปุ่นจะมานั่งปูเสื่อ นำของกินมาทานเล่นระหว่างชมเพลินๆ แถมยังใส่ชุดยูกาตะมาด้วย เพิ่มอรรถรสขึ้นไปอีก น่าร๊ากกก โดยสถานที่ชมดอกไม้ไฟยอดฮิตก็คือ

1. เทศกาลดอกไม้ไฟสุดอลังการที่เฮาส์เทนบอช (Huis Ten Bosch Super Tower Hanabi) ธีมปาร์คชื่อดังของเมืองซาเซโบะ จังหวัดนางาซากิค่า ได้เที่ยวทั้งสวนสนุก ถ่ายรูปบรรยากาศสวยๆ ในตอนกลางวัน ตกกลางคืนก็ได้ชมดอกไม้ไฟสุดยิ่งใหญ่อลังการ งานนี้ขนดอกไม้ไฟมากว่า 15,000 ดอก แถมยังสร้างดอกไม้ไฟทาว์เวอร์ความสูงกว่า 105 เมตรอีกด้วยค่ะ

เราจะได้เห็นการจุดดอกไม้ไฟขึ้นจากบนผิวน้ำและจากหอคอยที่หาชมได้ยาก ประกอบกับเสียงเพลงเพราะๆ มันส์ๆ เรียกได้ว่ามาเที่ยวที่เดียวได้ความประทับใจไปตลอดทั้งวันทั้งคืนเลยค่า โดยจะจัดขึ้นในช่วงระหว่างต้นเดือนกรกฎาคม – กลางเดือนกันยายนของทุกปีค่ะ สามารถจองบัตรเข้าชมงานได้ที่ https://goo.gl/3qW5yS

เครดิต: Huis Ten Bosch Super Tower Hanabi

2. งานแข่งขันประกวดดอกไม้ไฟแห่งชาติที่อาคิตะ (Omagari National Fireworks Competition) เป็นเทศกาลดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทโฮะกุ เพราะได้มีการแข่งขันการทำดอกไม้ไฟระดับอาชีพจากช่างทำดอกไม้ไฟทั่วญี่ปุ่นค่า งานนี้ถือว่าเป็นงานแข่งขันชั้นแนวหน้าของญี่ปุ่นเลยทีเดียว ตื่นตาตื่นใจไปกับการแข่งขันสุดอลังการที่นำมาประชันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร คนดูก็ได้กำไรไปสิคะงานนี้ อิอิ แถมผู้ที่ชนะจะได้รับของรางวัลจากนายกรัฐมนตรีด้วยค่า โดยจะมีขึ้นตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วงเลยย http://www.oomagari-hanabi.com (ภาษาญี่ปุ่น)

Credit: Omagari Hanabi

3. เทศกาลดอกไม้ไฟนางาโอกะ (Nagaoka Festival Fireworks) ที่จังหวัดนีงะตะค่า จัดขึ้นวันที่ 2-3 สิงหาคม 2017 เป็นงานที่เราจะได้ชมดอกไม้ไฟชุดฟีนิกซ์ เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นเมื่อปี 2004 ซึ่งดอกไม้ไฟนกฟีนิกซ์นี้คือสัญลักษณ์แห่งการไว้อาลัยและการขอพรนั่นเองค่ะ

โดยจุดเด่นอยู่ที่การจุดพลุเรียงกันทั้ง 6 จุดในเวลาไล่เรี่ยกัน ประกายไฟกระยิบระยับเหมือนนกฟีนิกซ์ที่กำลังเต้นรำไปพร้อมกับเสียงเพลงเพราะๆ เข้าจังหวะ รู้สึกเหมือนถูกสะกดให้หลุดไปอยู่ในโลกของความฝันเลยค่า รู้ตัวอีกทีงานทั้งงานก็ถูกปกคลุมไปด้วยความงดงามจากประกายดอกไม้ไฟซะแล้ว จัดได้ว่าเป็นดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น การแสดงขนาบไปกับริมฝั่งแม่น้ำยาวถึง 2 กิโลเมตร ซึ่งถือว่ายาวที่สุดในโลกเลยทีเดียวว จึงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 900,000 คนต่อปีเลยค่า