เที่ยวสุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในอลาสก้า (Alaska) รัฐที่ตั้งฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา USA มีสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมที่น่าสนใจต้อนรับผู้มาเยือนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นล่องเรือชมธารน้ำแข็งสุดอลังการ เดินบนภูเขาน้ำแข็ง ล่องแก่ง ปีนเขา ชมสัตว์ป่า นั่งสุนัขลากเลื่อน และดูแสงเหนือ เป็นต้น ใครที่กำลังมองหาที่เที่ยวธรรมชาติเจ๋งๆ อยู่ แนะนำว่าไม่ควรพลาดเที่ยวอลาสก้า ด้วยเรือสำราญเด็ดเลยค่า






 

 

เที่ยวอุทยานแห่งชาติกลาเซียร์ เบย์ Glacier Bay National Park


อุทยานแห่งชาติกลาเซียร์ เบย์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่ทุกคนต้องปักหมุดไว้เป็นอันดับต้นๆ เลย เมื่อมาเยือนที่  อลาสก้า เราจะได้สัมผัสกับธารน้ำแข็งขนาดยักษ์บนพื้นที่กว่า 3 ล้านเอเคอร์ ที่เกิดจากการทับถมของผลึกหิมะที่ตกลงมาทับถมกันปีแล้วปีเล่า จนกลายเป็นธารน้ำแข็งอันสวยงามเกินบรรยายให้เราได้เห็นกันในปัจจุบัน ถ้าโชคดีหน่อยอาจจะได้เห็นภาพธารน้ำแข็งที่กำลังเลื่อนตกสู่พื้นน้ำจนทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของเส้นทางอลาสก้าเลยก็ว่าได้ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มันจะเลือกนั่งเรือสำราญเพื่อชมความสวยงามของวิวทิวทัศน์เหล่านี้ หรือใครอยากนั่งเฮลิคอปเตอร์เพื่อชมวิวจากมุมสูง ก็น่าสนใจไม่แพ้กันค่ะ









นอกจากนี้ อุทยานแห่งชาติกลาเซียร์ เบย์ ยังมีกิจกรรมกลางแจ้งให้เลือกทำอีกมากมาย เช่น เดินป่า ตั้งแคมป์ ปีนเขา พายเรือคายัค ล่องแก่ง ตกปลา และชมสัตว์ป่านานาชนิด ใครที่กำลังมองหาประสบการณ์แปลกใหม่ ขอบอกเลยว่าอุทยานแห่งนี้เป็นสถานที่ไม่ควรพลาดค่ะ















 

ล่องเรือตามเส้นทาง Inside Passage


Inside Passage เป็นเส้นทางการเดินเรือที่ทอดยาวผ่านเกาะต่างๆ จากรัฐวอชิงตันในสหรัฐอเมริกา ผ่านแคนาดา และมาจบที่อลาสก้า ส่วนมากเรือจะใช้เส้นทางนี้เพื่อหลีกเลี่ยงสภาพอากาศเลวร้ายในมหาสมุทร เสน่ห์ของเส้นทางนี้ คือ วิวทิวทัศน์และธรรมชาติที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นเมืองต่างๆ ตามหมู่เกาะ เทือกเขา ธารน้ำแข็ง และเหล่าสัตว์ป่าหายากนานาพันธุ์ ระหว่างทางเราสามารถแวะเยี่ยมชมเมืองท่าต่างๆ ได้ เช่น เมืองจูโน่ เมืองสแกกเวย์ และเมืองวิกตอเรีย เป็นต้น ซึ่งแต่ละเมืองจะมีความน่าสนใจแตกต่างกันไป ทำให้เส้นทางสายนี้กลายเป็นเส้นทางยอดนิยมมากในหมู่นักท่องเที่ยวในปัจจุบัน















 

ชมธารน้ำแข็งฮับบาร์ด (Hubbard Glacier)


Hubbard Glacier คือ ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือที่มีความยาวกว่า 76 ไมล์ และลึกถึง 1,200 ฟุต ในขณะที่ธารน้ำแข็งทั่วโลกกำลังละลายลง แต่ธารน้ำแข็งฮับบาร์ดกลับเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้กำลังเคลื่อนที่มุ่งสู่ Gulf of Alaska โดยผ่าน Disenchantment Bay และกำลังจะปิดทางเข้าของ Russell Fjord ไปอย่างรวดเร็ว จนเกิดเป็นความสวยงามที่คาดไม่ถึง ด้วยความสวยงามของวิวทิวทัศน์และธารน้ำแข็งสุดอลังการ ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่ใครๆ หลายคนต่างไฝ่ฝันว่าอยากจะมาเห็นด้วยตาของตัวเองสักครั้งในชีวิต ถ้าคุณกำลังเป็นหนึ่งในนั้น ลองทัวร์เรือสำราญดีๆ เพื่อไปสัมผัสประสบการณ์เหล่านี้กันเถอะค่าา











 

เที่ยวเทรซี่อาร์ม ฟยอร์ด Tracy Arm Fjord


Tracy Arm Fjord เป็นสถานที่ที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งบนเทือกเขา จนแผ่นดินเว้าแหว่งลึกลงไป พอน้ำแข็งละลายก็กลายเป็นผืนน้ำยาว ไม่กว้างมาก แต่สวยงามอย่าบอกใครเลยล่ะค่ะ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองจูโน่ไปทางตอนใต้ประมาณ 45 ไมล์ มักจะถูกเลือกเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญในเส้นทางทัวร์ของเรือสำราญ สองข้างทางถูกล้อมรอบไปด้วยหน้าหน้าผาสูงชันกว่า 3,000 ฟุต ถ้ามาเที่ยวพักผ่อนในช่วงหน้าร้อน จะได้พบกับสัตว์ป่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น หมีสีน้ำตาล ปลาวาฬ กวาง หมาป่า แมวน้ำ และนกอีกหลากหลายชนิดเลยค่าา















ส่วนหน้าหนาว ทั่วทั้งบริเวณ Tracy Arm Fjord จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะจนขาวโพลน ด้วยอุณหภูมิที่ต่ำมากๆ ทำให้หิมะที่ตกลงมามากมาย ทับถมกันจนกลายเป็นธารน้ำแข็งอันงดงาม รับรองว่าวิวทิวทัศน์เหล่านี้ ไม่ทำให้ผู้มาเยือนผิดหวังแน่นอนค่าา









 

เที่ยวเมืองสแก็กเวย์ (Skagway)


ถ้าพูดถึงประเทศอเมริกา แน่นอนว่าทุกคนต้องนึกถึงความเจริญรุ่งเรือง ตึกสูงระฟ้า เทคโนโลยีที่ทันสมัยใช่ไหมค่ะ แต่รู้อะไรหรือเปล่า ที่ประเทศอเมริกานั้นยังมีเมืองเก่าเล็กๆ น่ารักซ่อนอยู่ในรัฐอลาสก้าด้วย นั่นก็คือ เมืองสแก็กเวย์ (Skagway) เป็นเมืองขนาดเล็ก ที่มีประชากรอาศัยอยู่ไม่มาก และยังคงอนุรักษ์บ้านเรือนในสมัยก่อนไว้จนถึงปัจจุบัน เล่ากันว่าในอดีต เมืองสแก็กเวย์เคยเป็นแหล่งชุมนุมของบรรดานักแสวงโชคที่เดินทางมาเพื่อขุดทอง ทำให้ช่วงปี 1898 เมืองสแก็กเวย์กลายเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุด พอหมดยุคทอง คนก็เริ่มย้ายออกไป จนปัจจุบันมีคนอาศัยอยู่แค่ 1,000 คนเท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม กลับมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี อาจจะเป็นเพราะเสน่ห์ของเมืองอันน่าหลงใหล และกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจ เลยทำให้เมืองสแก็กเวย์ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในอลาสก้าอีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวต้องตบเท้าเข้ามาเยือน





กิจกรรมหลักๆ ที่นักเที่ยวทุกคนไม่ควรพลาดคือ เดินชมบ้านเรือนสีสันสดใสรอบๆ ตัวเมือง เมืองเล็กๆ ที่ให้บรรยากาศแบบคาวบอยตะวันตก มีมุมเก๋ๆ ให้ถ่ายรูปได้มากมาย นอกจากนี้ สุสานประจำเมืองที่เป็นหลุมฝังศพของ Frank Reid และ Jefferson Smith ก็เป็นอีกแห่งที่ผู้คนเวียนมาอย่างไม่ขาดสาย เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่ทำให้เมืองสแก็กเวย์เปลี่ยนไปมากมายในยุคนั้น รับรองว่าถ้าได้ฟังเรื่องราวในตำนาน ทุกคนจะต้องร้องอู้ววว กันแน่นอนค่ะ ไม่ธรรมดาขอบอก











มาเหยียบถึงอลาสก้าแล้ว จะพลาดกิจกรรม Dog Sledding ไม่ได้เป็นอันขาด หลายคนคงเคยเห็นฝูงน้องหมาลากเลื่อนบนหิมะใช่ไหมคะ ที่เมืองสแก็กเวย์เค้ามีกิจกรรมนี้ด้วยจ้าา แต่เราต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์เพื่อขึ้นไปยังยอดเขาที่มีลานหิมะเหมาะแก่การลากเลื่อนก่อน ระหว่างทางก็จะได้ชมความสวยงามของธารน้ำแข็งอันกว้างขวางที่อยู่เบื้องล่าง  เมื่อมาถึงด้านบนยอดเขา เราจะพบกับแคมป์ฝึกสุนัขขนาดใหญ่ ซึ่งสุนัขเหล่านี้ถูกเลี้ยงและฝึกไว้ลากเลื่อนมาตั้งแต่เล็กๆ ส่วนใหญ่จะเป็นพันธุ์อลาสกัน มีนิสัยน่ารักและเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว ใครอยากลองเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ เก็บ Dog Sledding ไว้ในลิสได้เลยค่ะ รับรองไม่ผิดหวัง









และกิจกรรมไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งที่ไม่พูดถึงคงจะไม่ได้ นั่นคือ นั่งรถไฟสาย White Pass & Yukon Route เป็นรถไฟเก่าแก่ที่ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1898 ใช้เพื่อขนส่งทองคำจากรัฐอลาสก้า ออกสู่แผ่นดินใหญ่ผ่านทางแคนาดา รถไฟสายนี้วิ่งขึ้นไปสูงถึง 3000 ฟุต ด้วยระยะทาง 20 ไมล์ ลัดเลาะไปตามเทือกเขา ผ่านอุโมง และสะพานที่เก่าแก่ รับประกันว่าตลอดการเดินทางคุณจะต้องตะลึงกับวิวทิวทัศน์อันงดงามของเมืองสแก็กเวย์แห่งนี้แน่นอนค่าา









 

เที่ยวเมืองจูโน (Juneau)


เมืองจูโน (Juneau) เป็นเมืองเดียวในอลาสก้าที่สามารถเข้าถึงได้โดยเครื่องบินและเรือเท่านั้น เนื่องจากลักษณะของเมืองที่ถูกรายล้อมไปด้วยเทือกเขากับทะเล ทำให้ไม่สามารถเดินทางด้วยรถปกติได้ บริเวณท่าเรือจึงเป็นสถานที่ที่คึกคักเป็นพิเศษ เพราะมีเรือสำราญน้อยใหญ่แวะเข้าออกอย่างไม่ขาดสาย เมืองจูโนถูกจัดอันดับว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในอลาสก้า แต่กลับมีประชากรอาศัยอยู่แค่ 30,000 คนเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะภูมิประเทศที่มีแต่เทือกเขาและสภาพอากาศที่หนาวจัด เลยทำให้ผู้คนย้ายไปอยู่ที่อื่นกันซะส่วนใหญ่



ชื่อเมืองจูโนถูกตั้งมาจากชื่อนายโจ จูโน (Joe Juneau) เป็นนักล่าหาทองคำ เขาได้เดินทางมากับเพื่อนชื่อนายริชาร์ด แฮร์ริส (Richard Harris) ในปี 1880 พวกเขาได้ค้นพบแหล่งทองคำขนาดใหญ่ในเมืองแห่งนี้ ซึ่งในปัจจุบันเมืองจูโนถูกจัดอันดับว่ามีเหมืองทองคำที่ใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว


ขอบคุณภาพจาก http://juneauempire.com

มาเยือนถึงแหล่งทองคำแล้ว ต้องอย่าพลาดทัวร์เหมือง Treadwell เป็นเหมืองทองคำที่เก่าแก่ของที่นี่ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1881 ตั้งอยู่บนเกาะ Douglas ในอดีตเคยเป็นเหมืองทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีคนงานมากกว่า 2,000 คน และผลิตทองคำได้มูลค่ามากถึง 70 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่เมืองจูโนมีความเจริญรุ่งเรืองที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่หลังจากนั้นประมาณ 12 ปี เหมืองทองแห่งนี้ได้ปิดตัวลงและถูกทิ้งร้างเหลือแต่ซากปรักหักพังเก่าๆ บางส่วนได้เลื่อนลงสู่ทะเลไปแล้วด้วย ใครที่อยากเห็นว่าเหมืองทองคำสมัยก่อนเป็นอย่างไร ขอแนะนำลองมาย้อนรอยประวัติศาสตร์กันที่นี่เลยค่ะ รับรองว่าทุกคนต้องทึ่งกับความสามารถของคนในยุคนั้นแน่นอน และเผลอๆ อาจจะเจอทองคำติดไม้ติดมือกลับบ้านก็ได้นะค้าา






ขอบคุณภาพจาก https://www.atlasobscura.com และ http://www.explorenorth.com

ถ้าพูดถึงเมืองจูโน สิ่งที่ต้องนึกถึงตามมาก็คือ Mendenhall Glacier เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตมากๆ ในหมู่นักท่องเที่ยว แน่นอนว่ามาเหยียบถึงขั้วโลกเหนือแล้วไม่บุกไปดูธารน้ำแข็งของที่นี่ ถือว่าพลาดสุดๆ ธารน้ำแข็ง Mendenhall Glacier เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ในอเมริกา มีความกว้างถึง 1,500 ตารางไมล์ การเข้าไปชมนั้น เราจะต้องนั่งรถบัสเพื่อมายัง Mendenhall Glacier Visitor Center ซึ่งเป็นจุดชมธารน้ำแข็งที่สวยที่สุดในเมืองจูโน ถ้าใครอยากเห็นแบบใกล้กว่านี้ แนะนำซื้อทัวร์ขึ้นเฮลิคอปเตอร์เลยค่ะ ซึ่งทัวร์ส่วนใหญ่เค้าจะปล่อยให้เราสามารถเดินบนธารน้ำแข็งได้ นอกจากนี้ บางทัวร์เค้าจะพาเราไปนั่งเลื่อนที่มีฝูงสุนัขลากไปรอบๆ ลานน้ำแข็งอีกด้วย และยังไม่พอ สำหรับคนรักความท้าทาย ต้องลองไปปีนภูเขาน้ำแข็งดูค่ะ รับรองว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำแน่นอนจ้าา









ล่องเรือเพื่อชมปลาวาฬ เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากๆ ซึ่งในทัวร์นี้เราสามารถเห็นทั้งวาฬหลังค่อม และวาฬเพชฌฆาต นอกจากนี้เรายังสามารถเห็นแมวน้ำ ปลาโลมา กวาง และหมีได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นทัวร์ที่คุ้มยิ่งกว่าคุ้มอีกค่ะ แถมยังมีรับประกันด้วยนะคะ ว่าหากไม่เจอวาฬยินดีคืนเงิน ว้าวว ทางทัวร์คอนเฟิร์มมาขนาดนี้ มั่นใจได้เลยว่าไม่เก้อแน่นอนนน





ใครอยากเห็นวิวทัศน์ของเมืองจูโน่แบบทั่วทั้งเมือง แนะนำไปนั่งกระเช้าลอยฟ้าเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวที่อยู่บนยอดเขาโรเบิร์ต (Mt Roberts Tramway) ซึ่งมีความสูงถึง 1,800 ฟุต เป็นจุดชมวิวที่เราสามารถมองเห็นเมืองจูโนแบบพาโนรามาเลยล่ะค่ะ นอกจากนี้ ด้านบนยังมี ร้านอาหาร ร้านกิ๊ฟช็อป และโรงภาพยนตร์ที่ฉายเรื่องราวของวัฒนธรรม Tlingit อีกด้วย อย่าลืมเตรียมกล้องไว้ให้พร้อมนะคะ ขอบอกว่าวิวด้านบนสวยมาากกก ต้องลองขึ้นไปสักครั้งค่ะ






ขอบคุณภาพจาก https://www.travelalaska.com

 

เที่ยวเมืองเคตชิคาน (Ketchikan)


เมืองแห่งแซลมอน ต้องยกให้เมืองเคตชิคาน (Ketchikan) เค้าเลยค่ะ เพราะที่นี่เป็นแหล่งต้นกำเนิดของปลาแซลมอลรสเริ่ดนั่นเองง ถ้ามาเที่ยวช่วงฤดูวางไข่ เราจะได้ห็นฝูงแซลมอลแหวกว่ายทวนกระแสน้ำเพื่อวางไข่มากมาย และเดาได้ไม่ยากเลยว่ารายได้หลักของเมืองแห่งนี้ต้องได้จากการประมงแน่นอน



นอกจากแซลมอลแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่โด่งดังไม่แพ้กัน นั่นคือ เสาแกะสลักโทเทม (Totem Poles) เป็นประติมากรรมงานแกะสลักบนเสาไม้ขนาดใหญ่ที่มีอายุนับร้อยปี ตั้งอยู่ที่ Totem Heritage Center ซึ่งเป็นผลงานของชนพื้นเมืองอเมริกันทางตอนเหนือ ในสมัยก่อน ชนพื้นเมืองได้สร้างเสาพวกนี้เพื่อแสดงออกถึงความเชื่อในวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นชีวิตความเป็นอยู่ เหตุการณ์สำคัญต่างๆ และระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว



ถ้ายังไม่จุใจกับการเยี่ยมชมวัฒนธรรมชนพื้นเมืองของที่นี่ แนะนำลองไปเที่ยว Saxman Native Village รับรองได้เจอชนพื้นเมืองตัวเป็นๆ ที่อาศัยอยู่ที่นี่จริงๆ แน่นอนค่ะ กิจกรรมหลักๆ ของนักท่องเที่ยวมักจะเดินชมบรรยากาศรอบๆ หมู่บ้าน แวะชมโรงแกะสลัก และดูการแสดงของชนพื้นเมือง เป็นต้น



 

ต่อกันด้วย The Great Alaskan Lumberjack Show ชมฝีมือการแสดงเลื่อยไม้ เกลาไม้ ผสมผสานไปด้วยทักษะและความสนุกสนานให้ความบันเทิงเพลิดเพลินเป็นอย่างดี และยังเป็ยรายการทัวร์ที่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของทัวร์ยอดฮิตของเมืองเลยทีเดียว





เครดิตภาพ Disney Cruise Line

 

นอกจากนี้ ก็มีทัวร์เรียนรู้ดูกระบวนการ วิธีการจับปูและการค้าขาย ก่อนที่จะร่วมรับประทานอาหารแสนอร่อย กับกัปตันและลูกเรือ สายกินห้ามพลาด!





 

Misty Fjords National Monument เป็นสถานที่ยอดฮิตอีกแห่งหนึ่งสำหรับนักเดินทาง สามารถเข้าชมโดยการล่องเรือและนั่งเครื่องบินขนาดเล็กเพื่อชมวิวจากมุมสูงก็ได้ เราจะได้พบกับ Fjord ขนาดใหญ่ที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งบนหุบเขาจนเหว้าแหว่งเป็นอ่าวลึกกว่า 3,000 ฟุต ซึ่งหาชมได้ไม่กี่ประเทศในโลกเท่านั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 3,570 ตารางไมล์ ถูกปกคลุมไปด้วยป่าฝนแสนอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าน้อยใหญ่อาศัยอยู่มากมาย เช่น แมวน้ำ นกอินทรี และปลาวาฬ เป็นต้น Misty Fiords ถือว่าเป็นสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในอลาสก้าเลยก็กว่าได้ค่ะ นอกจากความสวยงามสุดอลังการของ Fjord แล้ว น้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูงชันก็เป็นอีกหนึ่งวิวทิวทัศน์ที่ทุกคนไม่ควรพลาดเช่นกัน









ถ้าอยากหามุมสวยๆ เพื่อถ่ายรูป แนะนำไปที่ Creek Street ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองเคตชิคาน มีบ้านเรือนและร้านค้าสีสันสดใสเรียงรายตลอดแนวลำธาร เหมาะสำหรับคนชอบถ่ายรูปสุดๆ เลยค่าา ในย่าน Creek Street มี Dolly’s House เป็นสถานที่โด่งดังมากๆ ของที่นี่ สมัยก่อนในย่านนี้ที่เคยมีสถานที่ขายบริการมากถึง 30 แห่งเลยทีเดียว และ Dolly’s House ดังมากๆ ในช่วงนั้น ต่อมาทางรัฐบาลได้ออกกฏหมายห้ามค้าประเวณีขึ้น ทำให้สถานที่เหล่านี้ต้องปิดตัวลง บางส่วนถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยและดัดแปลงเป็นร้านค้า แต่บางส่วนยังคงเก็บรักษาไว้ในสภาพเดิม ทั้งการตกแต่งและของตกแต่ง อย่างเช่น Dolly’s House  นั่นเอง

 

 

 

 

 

เที่ยวเมืองซิตกา (Sitka)


จุดเด่นของ Sitka คือความเป็นรัสเซียในแผ่นดินอเมริกา Sitka เคยอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศรัสเซีย และเป็นเมืองหลวงของ Russian America (พื้นที่ภายใต้อาณานิคมของประเทศรัสเซียในเขตประเทศสหรัฐอเมริกา) ก่อนที่รัสเซียจะขายดินแดนอลาสก้าให้เอมริกาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด Sitka จึงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยร่องรอยอิทธิพลของรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นสภาพอาคารบ้านเรือ โบสถ์แบบออโธดอกซ์ อาหารการกิน และภาษาท้องถิ่นที่ใช้ และยังเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวอินเดียนเผ่าทลิงกิตที่ใหญ่ที่สุดในอลาสก้า

Sitka เป็นเมืองเล็ก ๆ ริมอ่าวที่อุดมไปด้วยอาหารเลิศรสจากท้องทะเล รวมถึงมีสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือวาฬ กิจกรรมชมวาฬของที่นี่ ทางสายเรือแทบจะการันตีเลยว่าคุณจะเห็นวาฬแน่นอน เพราะบ้านมันอยู่ที่นี่นั่นเอง




ขอบคุณภาพจาก http://www.travelaroundusa.com

Harrigan Centennial Hall เป็นศูนย์การประชุมแห่งชาติ ภายในมีการจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองซิตกา ซึ่งจะมีไกด์คอยบรรยายเรื่องราวในอดีตให้แก่นักท่องเที่ยวที่เข้าชม นอกจากนี้ Harrigan Centennial Hall มักจะถูกใช้เป็นที่จัดแสดงงานต่างๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นงานจัดแสดงสินค้า เทศกาลดนตรี และโชว์การเต้นรำของชาวรัสเซียดั้งเดิม


ขอบคุณภาพจาก https://www.army.mil

ถ้ายังไม่หนำใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองแห่งนี้ ต้องแวะไปที่ Sitka National Historical Park เป็นสถานที่ที่ยังอนุรักษ์เสาแกะสลักโทเทม (Totem Poles) ไว้มากมาย ซึ่งเสาเกาะสลักส่วนใหญ่มักจะเป็นรูปคนและสัตว์ป่าที่แสดงออกถึงความเชื่อต่างๆ ของคนในสมัยนั้น นอกจากนี้บ้าน Russian Bishop's House ของชาวรัสเซียที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงเหลืออยู่ในเมืองซิตกา ก็เป็นอีกแห่งที่นักท่องเที่ยวเข้าไปชมบ่อยๆ เช่นกัน ใครที่ชอบท่องเที่ยวแนวประวัติศาสตร์อยู่แล้ว แนะนำเมืองเที่ยวซิตกาเลยค่ะ รับรองความรู้อัดแน่นกลับบ้านแน่นอนจ้าา



ขอบคุณภาพจาก http://www.wildnatureimages.com และ http://akonthego.com

 

เที่ยวเมืองแองเคอเรจ (Anchorage)


เมืองแองเคอเรจ (Anchorage) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอลาสก้า มีประชากรกว่า 300,000 คน ภูมิอากาศโดยส่วนใหญ่จะหนาวตลอดทั้งปี ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายนเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการมาเยือนเมืองแองเคอเรจ แน่นอนว่าถ้าพูดถึงเมืองแองเคอเรจ สิ่งแรกที่ต้องนึกถึง คือ การชมแสงเหนือ ถ้าใครตั้งใจมาชมแสงเหนือโดยเฉพาะ แนะนำว่าให้วางแผนพักที่นี่สัก 2-3 วัน เพราะคาดเดาได้ค่อนข้างยากว่าจะสามารถมองเห็นได้หรือไม่ ความแปลกทางธรรมชาติอีกอย่างของเมืองแห่งนี้คือ ช่วงหน้าร้อนเมืองแองเคอเรจจะมีช่วงเวลากลางวันยาวนานถึง 19.5 ชั่วโมง OMG!! จะ เห็นได้ชัดประมาณเดือนมีนาคม แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงฤดูหนาวก็ได้ชดเชยความไม่สมดุลนี้ ซึ่งจะมีช่วงเวลากลางวันเพียง 5 ชั่วโมงเท่านั้น



สิ่งที่พลาดไม่ได้อีกอย่าง คือ นั่งเรือเพื่อชมธารน้ำแข็ง Portage Glacier ใน Chugach National Forest ถ้าอยากเห็นธารน้ำแข็งเป็นสีฟ้าสวยๆ ต้องมาช่วงเย็นๆ รับรองว่าได้รูปสวยๆ เยอะแยะแน่นอนค่ะ ใครชอบแบบแอดเวนเจอร์หน่อย แนะนำให้เลือกเดินเท้าเพื่อขึ้นไปดูธารน้ำแข็งค่ะ เป็นกิจกรรมที่ท้าท้ายตัวเองอีกแบบ





มาต่อกันเลย สำหรับคนชอบถ่ายรูปวิวสวยๆ ต้องไปที่ Point Woronzof Park เป็นสวนสาธารณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ชอบมาถ่ายรูปกันช่วงพระอาทิตย์กำลังตกดิน ภาพแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันกระทบกับผิวน้ำ ประกอบกับฉากด้านหลังเป็นภูเขาและบ้านเรือน ขอบอกว่าสวยงามเกินบรรยาย ในช่วงหน้าหนาวที่แห่งนี้จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ กิจกรรมยอดฮิตคงหนีไม่พ้นการเล่นสกีแน่นอน กลับกันในช่วงหน้าร้อน กิจกรรมของที่นี่จะเปลี่ยนเป็นการปั่นจักรยานและวิ่งออกกำลังกายแทน







 

เที่ยวอุทยานแห่งชาติเดนาลี (Denali National Park)


เชื่อว่าจุดหมายปลายทางของการมาเที่ยวอลาสก้าของนักท่องเที่ยวในช่วงต้นหรือปลายปี คือ การมาดูแสงเหนือแน่นอน และสถานที่ยอดฮิตที่ผู้คนส่วนใหญ่เลือกเพื่อรอชมแสงเหนือนั้นก็คือ อุทยานแห่งชาติเดนาลี (Denali National Park) นั่นเอง อุทยานแห่งนี้ไม่อนุญาติให้นำรถส่วนตัวเข้า นักท่องเที่ยวทุกคนต้องใช้บริการรถบัสที่อุทยานจัดไว้ให้เท่านั้น สามารถเข้าไปตั้งแคมป์นอนกันเองได้ แต่ต้องขออนุญาติเป็นบริเวณๆ ไป การรอดูแสงเหนือ ใช่ว่าใครไปก็จะได้เห็นทุกคนนะคะ ต้องอาศัยดวงด้วย ถ้าไปเจอวันฟ้าที่ปิดก็เตรียมทิชชู่ไว้ซับน้ำตาเลยจ้าา แนะนำว่าให้ไปหลายๆ วันหน่อย กันพลาด รับรองว่าในวันที่ฟ้าเปิดเราจะสามารถมองเห็นแสงเหนือได้อย่างเต็มตาแน่นอนค่าา





นอกจากนี้อุทยานเดนาลี ยังมีธรรมชาติที่สวยงาม รวมถึงเอกลักษณ์ของสัตว์ป่าที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะหมี ที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน ได้แก่ หมีขั้วโลก Polar Bear หมีน้ำตาล Grizzly Bears และหมีดำ Black Bear ค่า







 

ไอซ์ซี่สเตรทพอยท์ Icy Strait Point


สำหรับคนรักสัตว์และธรรมชาติต้องนี่เลยค่ะ Icy Strait Point จะโดดเด่นในเรื่องของป่าไม้และธรรมชาติอันร่มรื่น อากาศดีเยี่ยม กิจกรรมหลักๆ ของที่นี่จะเป็นการเดินป่า อ้อยอิ่งกับการชมธรรมชาติ Highlight คือการเดินทางไปชมพฤติกรรมทางธรรมชาติของหมี Grizzly ที่ Spasski River Valley เช่น การดักจับปลาเทร้าส์ในลำธาร สุดตื่นเต้นกับกิจกรรมดูวาฬ รวมถึงเหล่าสิงโตทะเล แมวน้ำ นกอินทรี และสัตว์ป่าอื่น ๆ อีกมากมาย กิจกรรม Extreme ที่จะพาคุณหวาดเสียวไปด้วยกันนั่นก็คือ Zip Rider โหนเชือกข้ามฝั่งอยู่กลางภูเขาที่รอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้ อีกทั้งระดับความสูงเหนือพื้นดิน บอกเลยว่าเสียวแน่นอนจ้า