หญิงปุ๊ก พาเที่ยว วิลาวัลย์ แก้วเขียวบริสุทธิ์ บริจาคสมทบทุนงานวิจัยวัคซีนมะเร็ง

ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง

คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

18 ตุลาคม 2018

โรคมะเร็ง สาเหตุการตายอันดับ 1 ของคนไทย

ร่วมบริจาคสมทบทุนงานวิจัยให้..

คุณหมอคนไทย ผลิตวัคซีนราคาถูกให้คนไทยได้ใช้ทีเถิด..

ตอนนี้วัคซีนของเมืองนอกเข็มละ 2 แสน

ต้องฉีดหลายๆ เข็มจนหาย และมีค่าใช้จ่ายหลายล้าน..

ไม่ก็ทำคีโมต่อเนื่อง แต่ผู้ป่วยจะทรมานมาก..

วัคซีนใหม่นี้ ประสิทธิภาพดีกว่ามาก และช่วยคนได้มากด้วยค่ะ..

ร่วมด้วยช่วยกัน ขอบคุณมากค่ะ

--

Chaichan Baimongkol

“พวกเราหนึ่งในสามคนจะมีคนที่เป็นมะเร็ง 1 คน”

“ฮึ่ย! จริงเหรอครับหมอ”

“จริงสิคุณเบลล์ มะเร็งเป็นโรคที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของประเทศไทยนะ คนไทยมีอัตราการเป็นมะเร็งถึง 40% เลย”

“เชรดดดด...เกือบครึ่ง”

ไม่กูก็มึงแล้วว่ะโอ๊ต...

แค่คิดก็ปวดกบาลแล้ว

ผมเคยเชื่อมาตลอดว่า มะเร็งมันเป็นเรื่องไกลตัวสุดๆ

เหมือนเรื่องเล่าในหนังในนิยาย

จนมาได้เจอกับตัวว่าเรามีคนใกล้ชิดเป็นโรคนี้ อยู่เรื่อยๆ

ก็เริ่มเอะใจว่า

มะเร็งเป็นเรื่องใกล้ตัวสุดๆ เลยนี่หว่า...

ผมคงไม่มาเล่าว่าเป็นมะเร็งแล้วต้องรักษายังไง?

หรือทำยังไงให้เราห่างไกลจากมะเร็งได้ ?

แต่ที่ผมจะเล่ามันเป็นเรื่องอเมซซิ่งมากของวงการแพทย์

ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้วและพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ว่า

“มะเร็งมีทางรักษาได้แล้ว โดยไม่ต้องทำคีโม”

...

ผมได้รู้จักกับคุณหมอไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หรือ หมอไต่ ซึ่งท่านทำงานอยู่ที่ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง

คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ผ่านการแนะนำของ หมอเมย์

คุณหมอผ้าบัฟคนเก่งประจำกองก้าว

“นี่พี่ชายเมย์เอง พี่เบลล์ช่วยหน่อยนะ”

คำถามแรกในใจผมเลยคือ...

ผมจะเอาปัญญาที่ไหนไปช่วยหมอได้?

เรื่องมะเร็งมันเกินสติปัญญาคนบ้านๆ อย่างเราไปเยอะเลย

หมอไต่เล่าให้ผมฟังว่า

ในยุคนี้มีการรักษาโรคมะเร็งทางเลือกแบบใหม่

ที่ไม่ต้องใช้คีโมหรือเคมีบำบัด ก็ทำการรักษาผู้ป่วยมะเร็งได้

เวลาทำคีโม มันจะทำให้เกิดผลข้างเคียงกับผู้ป่วยมะเร็งหลายอย่างเช่น มีไข้ หนาวสั่น ซีด เหนื่อย อ่อนเพลีย มีจุดเลือดจ้ำเลือดตามตัว คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บปากเจ็บคอ ท้องเสีย อุจจาระมีสีดำ ท้องผูก ผมร่วง ฯลฯ

สรุปคือผู้ป่วยจะทุกข์ทรมานมากๆ

แต่ถ้าเราสามารถรักษามะเร็งได้โดยไม่ต้องคีโม

และมีโอกาสหายสูงเช่นกัน

นั่นคือสิ่งวิเศษของมนุษยชาติเลย...

และมันก็เกิดขึ้นแล้ว

โดย ศ.ดร.เจมส์ อัลลิสัน (James Allison) แห่งมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเท็กซัสของอเมริกา และศ.นพ.ทาสุกุ ฮอนโจ (Tasuku Honjo) แห่งมหาวิทยาลัยเกียวโต (Kyoto University)

2 คุณหมอนักวิจัยที่ค้นพบวิธีการรักษามะเร็ง

ด้วยการใช้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์

ไม่ต้องทำคีโม...แค่ฉีดยาหลายเข็มหน่อย

รักษาได้จริง การันตีด้วยรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ประจำปี 2018

ผมถามหมอไต่ว่าโอกาสในการรักษาด้วยวิธีนี้

มันมีโอกาสหายแค่ไหน

หมอบอกว่า ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่รักษาด้วยวิธีการนี้

ยังมีโอกาสหายหรือควบคุมได้ถึง 30% โดยอาจไม่ต้องทำคีโม

และมีโอกาสที่จะเพิ่มเปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต

ที่อเมริกาจะประกาศว่า

มะเร็งเป็นโรคที่ “ควบคุมได้” ภายในปี 2020

สุดยอด...

กลับมาบ้านเรา...ผมถามหมอไต่ว่า

คนไทยเราสามารถทำการรักษา แบบนี้ได้ไหม?

หมอบอกว่าได้ แต่ยามันจะแพงหน่อย

เข็มละ สองแสนบาท

เดี๋ยวนะ...

เข็มละสองแสนบาทฉีดทุกสามสัปดาห์ไม่ต่ำกว่า 17 เข็ม

ในใจตอนนั้นคิดว่า “แล้วกูจะไปเอาตังที่ไหนมาจ่ายค่ายาวะ?”

“มันเข้า 30 บาทมั๊ยหมอ?”

“ไม่เข้าครับเนื่องจากราคายามันสูงมาก เข้า30บาทไม่ไหว

ยกเว้นว่า เราจะผลิตยาได้เอง”

เดิมทีหมอไต่เป็นหมอรักษามะเร็งอยู่ที่สหรัฐอเมริกา

คุณหมอสนใจศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการรักษามะเร็ง

โดยเสริมความแข็งแกร่งให้เม็ดเลือดขาว

เพราะมีผลข้างเคียงน้อย โอกาสหายสูง

หมอไต่เองก็เกิดแรงบันดาลใจว่า

อยากจะกลับมาทำยาตัวนี้ให้คนไทยได้ใช้

แล้วแกก็ลาออกจากโรงพยาบาลที่อเมริกา...กลับมาเมืองไทย

เพื่อวิจัยงานชิ้นนี้อย่างจริงจัง

นับว่าเป็นอีกหนึ่งคนบ้า...ที่ผมยินดีที่ได้รู้จัก

ใช่ครับ...หมอไต่และทีมแพทย์ที่จุฬากำลังหาทางผลิตยารักษามะเร็งแบบใหม่นี้มาให้คนไทยได้ใช้

ผมถามหมอว่าเอาเงินที่ไหนมาทำการวิจัย

เพราะรู้ว่าสาเหตุที่ยามันแพงก็เพราะค่าทำ Lab ทำการทดลองนี่ละ

(ซึ่งเป็นสิ่งที่บ้านเราไม่ค่อยให้การสนับสนุนกันเท่าไหร่เพราะมันเห็นผลช้า ไม่เหมือนสร้างห้องน้ำสร้างสะพาน ที่เห็นของจะๆ ใช้ได้เลย)

หมอไต่บอกว่าได้รับเงินสนับสนุน

จากคณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์ มาก้อนใหญ่

และได้ใช้เงินตรงนั้นทำห้อง Lab ขึ้นมา

เพื่อศึกษาเรื่องยารักษามะเร็งตัวใหม่อย่างเข้มข้นเร่งด่วน

แต่งบที่ได้มามันชนเพดานแล้ว

ถ้าจะไปต่อจากนี้ต้องใช้วิธีการระดมทุน

อ้อ! คนอย่างเบลล่าถึงมาเสนอหน้าแถวนี้ได้

บทของผมอยู่แถวนี้นี่เอง

แต่...ผมไม่กล้ารับปากหมอว่าจะช่วยแกในครั้งแรก...

เพราะมันคืองานวิจัยที่ยังไม่เห็นผลชัดเจน

ผมไม่กล้าบอกกับคนทั่วไปว่ามาช่วยบริจาค

ให้คณะแพทย์จุฬากันเถิดเดี๋ยวเค้าจะผลิตยารักษามะเร็งราคาถูก

มาให้เราได้ใช้กันถ้วนหน้า

มันดูเพ้อฝันเกินไป...

ใน Lab ของหมอไต่นั้นผมได้เห็นนักวิจัย

เอาตัวยาหยดใส่ถาดที่มีหลุมเล็กๆ หลายร้อยหลุม

ในปริมาณที่แตกต่างกันในแต่ละหลุม

ซึ่งหนึ่งในหลุมนั้น จะมีอันที่ใช้ได้และถูกนำมาผลิตเป็นตัวยาต่อไป

“หมอหยดไปกี่หลุมแล้วครับ”

“ก็หลายแสนหลุมแล้วครับ”

“ใช้มือหยดเนี่ยนะ?”

“จริงๆ ถ้ามีหุ่นยนต์จะเร็วขึ้นกว่านี้เป็นร้อยเท่า...

แต่หุ่นมันตัวละร้อยล้าน เราเลยต้องใช้มือหยดไปก่อน”

กรรม...แล้วเมื่อไหร่จะได้?

...

ผมจากหมอไต่มาแบบค้างคาใจว่า

ทางหมอๆ เค้าจะทำได้เหรอ หยดไปเรื่อยๆ แบบนี้

แล้วก็ไม่กล้าช่วยแกหาทุน เพราะมันดูเลื่อนลอยไปหน่อย

เหมือนเล่นพนันแล้วกลัวจะได้ไม่คุ้มเสีย

เราห่างกันไป 8 เดือน...

จนกระทั่งไลน์เด้งเตือนขึ้นมาเป็นข้อความจากหมอไต่ว่า...

“คุณเบลเราได้ยาต้นแบบ 1 ตัวแล้วครับ

ตอนนี้ต้องเร่งระดมทุนนำยาต้นแบบเข้าขั้นตอนต่อไปครับ”

เฮ้ยยยยยยยย!!!!!!

ปาฏิหารย์ชัดๆ ไม่รู้ว่าแกยาหยอดไปกี่ล้านหลุมแล้ว

ถึงได้ผลออกมาอย่างนี้

ผมรีบกลับไปที่ โรงพยาบาลจุฬา ในวันรุ่งขึ้น

เพื่ออัพเดทความคืบหน้ากับคุณหมอ

“ตอนนี้เราได้ตัวอย่างมาแล้ว และต้องการเงินก้อนหนึ่ง

เพื่อไปผลิตตัวยาในขั้นตอนต่อไป”

“ถ้าได้เงินก้อนนี้ เราจะได้ตัวยามาใช้สำหรับทดลองในสัตว์ก่อน และถ้าผลออกมาได้ดี จะสามารถนำมาใช้กับคนได้ต่อไป ซึ่งในการรักษากับคน เราจะรับรักษาผู้ป่วยชุดแรกฟรี”

และถ้ายาตัวนี้สามารถผลิตออกมาได้

จะลดราคาจากเข็มละสองแสน เหลือไม่เกินสองหมื่นบาท

และไม่แน่ว่าในอนาคตยาตัวนี้จะสามารถเข้าประกันสังคมได้

เป็นอีกทางเลือกใหม่ให้กับคนไทยทั้งประเทศ

ถึงเรื่องนี้จะเป็นฝัน...ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว

“ขาดอีกกี่บาทครับหมอ” ถามตรงๆ

“สิบล้านบาทครับ”

ได้สิบล้านส่งตัวอย่างเข้าโรงงานผลิตได้เลย...

ผมอยากชวนพวกเราทุกคนคิดครับว่า

เรามีคนใกล้ชิดที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งหรือเปล่า?

แล้วถ้าเรามีทางเลือกที่ดีกว่าในการรับการรักษา

ไม่ต้องทุกข์ทรมานจากเคมีบำบัด

เพิ่มโอกาสการได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยมะเร็ง

ในราคาที่จับต้องได้ หรือสุดท้ายมีโอกาสเป็นสวัสดิการ

ที่คนไทยได้รับสิทธิ์ทุกคน

เราจะสนับสนุนคนที่ทำงานเหล่านี้หรือไม่?

หมอไต่บอกผมว่า มันยังมีอีกหลายขั้นตอน

กว่าจะที่ยาตัวนี้จะสำเร็จมาให้คนไทยมาใช้กันได้ถ้วนหน้า

ยังต้องใช้เงินอีกมากมาย ในขั้นตอนการนำมารักษากับมนุษย์

ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ภายใน 4-5 ปีนี้ คนไทยจะได้ใช้แน่นอน

แต่ตอนนี้ เดือดร้อนอยู่ 10 ล้านบาท

ถ้าได้เงินมางานวิจัยจะไปต่อได้

พวกเราคนไทยเอาไงดี?

สำหรับผม ผมเลือกที่จะวางเดิมพันความเชื่อไว้

ให้กับหมอไต่และคณะแพทย์จุฬาครับ

เพราะคำพูด จากหมอไต่ว่า...

“ไม่ต้องกดดันนะคุณเบลล์

ถึงเราไม่ได้รับความช่วยเหลือจากทีมคุณเบลล์

พวกเราก็ยังทำต่อ และหาทางไปด้วยตัวเองให้ได้...ยังไงเราก็ทำ”

ผมอยากจะบอกหมอว่า...

“ขอให้พวกเราเป็นอีกหนึ่งแรงเถอะหมอ นิดเดียวก็ยังดี”

พวกเราที่สนใจอยากสนับสนุน

สามารถบริจาคให้กับ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง

คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ตามเลขบัญชีที่ผมแนบมาให้ได้เลย

10 ล้านบาทจะว่าเยอะก็เยอะ แต่จะบอกว่าไม่เยอะก็ใช่

ถ้าพวกเราร่วมใจกัน

มาสู้กับมะเร็งกันครับ

เริ่มต้นด้วยการช่วยกันแชร์บทความนี้ก่อนก็ได้ 😊

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ CU Cancer Immunotherapy Fund