นครรัฐวาติกัน เป็นประเทศเอกราชที่ปกครองตนเองและมีขนาดเล็กกกจิ๋วววที่สุดในโลก >,< ตั้งอยู่ติดกับกรุงโรม ประเทศอิตาลี มีพื้นที่แค่เพียง 0.44 ตารางกิโลเมตร กับประชากรอีกประมาณ 1,000 คนเท่านั้นเอ๊งงง ถึงจะจิ๋วแต่ก็แจ๋วนะฮร้าาา ที่นี่เป็นนครศูนย์กลางอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ที่มีอยู่ผู้คนนับถือหลายล้านคนทั่วโลก! เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสันตะปาปาประมุขสูงสุดของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และยังเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในนครรัฐวาติกันด้วยค่ะ

ถึงนครรัฐวาติกันจะมีพื้นที่เพียงไม่กี่ตารางกิโลเมตร แต่ก็เต็มไปด้วยความสวยงามและทรงคุณค่าทางศาสนามากที่สุดในโลก และยังได้รวบรวมผลงานชิ้นเอกทางศิลปะและสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นไว้มากมาย ทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอยากมาสัมผัสความเลอค่าของนครแห่งนี้กันอย่างล้นหลาม ใครที่มาเที่ยวกรุงโรมในอิตาลีแล้วไม่ได้แวะมาที่นี่ด้วย ถือว่าพลาดอย่างแรงงงง

 

เที่ยวมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Saint Peter's Basilica)


มาจ้าาา เริ่มที่แรกด้วยความอลังการของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ มหาวิหารชื่อดังของโลก!! ในอดีตเป็นที่ประทับของนักบุญปีเตอร์หรือนักบุญเปโดร สาวกของพระเยซูคริสต์ที่ถูกทรมานและตรึงกางเขนเมื่อปี ค.ศ. 67 และเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของศาสนาคริสต์ พระศพของพระองค์ได้ถูกฝังไว้ที่วิหารแห่งนี้ จึงเป็นที่มาของชื่อมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์นั่นเองค่ะ

โดยใช้เวลาในการก่อสร้างถึง 120 ปี เเละเปิดอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1626 ออกแบบโดยยอดศิลปินเอกชื่อดังของโลก 3 ท่าน คือ บรามันเต (Bramante), ราฟาเอล (Raphael) และไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) ที่ได้ร่วมแรงใจแรงศรัทธาและใช้ความอัจฉริยะในด้านศิลปะและสถาปัตยกรรม เนรมิตมหาวิหารแห่งนี้ออกมาได้อย่างสุดยอดเท่าที่มนุษย์จะทำได้!! *0* ปัจจุบันเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในรัฐวาติกัน และเป็นสถานที่ที่ได้ชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งของคริสตจักรโรมันคาทอลิกอีกด้วยค่า

ตัววิหารมีความสูง 132.50 เมตร ยาว 211.50 เมตร ตั้งอยู่บนเสาหินอ่อนจำนวน 800 ต้น ภายในมีห้องทั้งหมด 1,400 ห้อง ประดับประดาไว้อย่างงดงาม ถ้ามองขึ้นไปบนหลังคาจะเห็นภาพจิตรกรรมสุดตระการตา และได้จารึกภาษาลาตินบนแผ่นพื้นทองที่พระเยซูคริสต์ตรัสแก่นักบุญปีเตอร์แปลได้ว่า “ท่านคือปีเตอร์, บนศิลานี้เราตั้งคริสตจักรของเราไว้ และเราจะมอบกุญแจแผ่นดินสวรรค์ ให้ไว้แก่ท่าน..”

ใกล้กับประตูทางเข้ามีรูปปั้นปิเอตา (Pieta) ของไมเคิลแองเจโล ที่ผู้คนต่างชื่นชมกันว่าสามารถแกะสลักร่างของพระเยซูได้ดูนุ่มนวลเหมือนกับเคยมีชีวิตจริงๆ แม้ว่าจะสลักจากหินอ่อนก็ตามค่ะ



นักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินทางมาชมศิลปะและสถาปัตยกรรมอันงดงามอลังการของโบสถ์แล้ว ยังมาเพื่อคำนับศพของนักบุญปีเตอร์ และได้มีการฝังศพพระสันตะปาปาองค์ต่อมาอีกกว่า 90 องค์ ทำให้ในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวที่ต้องการเที่ยวชมภายในมหาวิหารต้องต่อแถวยาวเหยียดกันเลยทีเดียว ต้องเผื่อเวลากันด้วยน้าา

เวลาเปิด - ปิด : ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคม เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 7.00 น. -18.00 น. ส่วนในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนกันยายน เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 7.00 น. - 19.00 น.
ค่าเข้าชม : ค่าบริการตั๋วเข้าชมพร้อม Audio guide 19.50 ยูโร, สำหรับเด็กอายุระหว่าง 7-17 ปี ปี 14.50 ยูโร, และเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 7 ปี และผู้พิการเข้าชมฟรีจ้า













 

เที่ยวจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ส (Saint Peter’s Square)


ออกมาจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ก็จะเจอลานวงกลมขนาดใหญ่ ทีเรียกว่าจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ส ย้อนไปในปี ค.ศ. 1655 ตอนที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 7 ได้รับเลือกให้เป็นพระสันตะปาปา พระองค์ได้ว่าจ้างสถาปนิกนักออกแบบชื่อ เบอร์นินี (Gian Lorenzo Bernini) ให้สร้างจัตุรัสแห่งนี้ขึ้นในปี ค.ศ.1656 และเสร็จสมบูรณ์ในอีก 12 ปีหลังจากนั้น จุดประสงค์ก็เพื่อใช้ทำพิธีสำคัญต่างๆ และสามารถรองรับประชาชนได้จำนวนมาก

โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาร็อคอันงดงาม มีเสาโอเบลิสก์ (Obelisk) ขนาดใหญ่สูงชะลูดตั้งอยู่ตรงกลางจัตุรัส ซึ่งเป็นจุดที่มีการตรึงกางเขนนักบุญปีเตอร์หรือนักบุญเปโดร เเละพระองค์ก็เสียชีวิตที่ตรงจุดนี้ค่ะ เสาทองสัมฤทธิ์นี้มีความสูง 25.5 เมตร สีบลอนซ์ อายุเก่าแก่กว่า 4000 ปี ถูกสร้างขึ้นโดยฟาโรท่านหนึ่งที่ประเทศอียิปต์ ที่สำคัญคือเสานี้เป็นเสาโอเบลิสก์เดียวในกรุงโรมที่ไม่ได้ถูกโค่นล้มเลยตั้งแต่ในสมัยโรมันโบราณ นี่คงเป็นที่มาของคำว่า “ยืนหนึ่ง” ใช่ไหมคะ.. >,<





บริเวณจัตุรัสยังถูกโอบล้อมด้วยเสาหินหลายสิบต้น แต่ละต้นมีความสูง 20 เมตร เป็นกำแพงสูงท่วมหัว ด้านบนเป็นหลังคาที่ประดับด้วยรูปปั้นสลักของเหล่านักบุญหลากหลายองค์ มีน้ำพุที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมแบบที่เห็นได้ในกรุงโรมอีกด้วย

ในช่วงเวลาสำคัญ เช่น เมื่อมีการแต่งตั้งพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่หรือ ในวันอิสเตอร์ (Easter) ซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุดวันหนึ่งของศาสนาคริตส์ เพื่อระลึกถึงการฟื้นคืนชีพของพระเยซู หลังจากสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน บริเวณลานจตุรัสจะมีประชาชนนับแสนคนต่างพร้อมใจกันเดินทางมาชุมนุมถวายพระพรแด่พระสันตะปาปา เสียงดังกึกก้องไปทั่วจัตุรัส เป็นอีกประสบการณ์ที่ต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองจริงๆ ค่ะ













 

เที่ยวพิพิธภัณฑ์วาติกัน (The Vatican Museums)


พิพิธภัณฑ์วาติกัน เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะอันล้ำค่าที่สุดของศาสนาคริสต์ และมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ค่า สร้างขึ้นในสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 โดยได้เก็บสะสมผลงานทางศิลปะของศาสนจักรคาทอลิกที่มีอายุหลายร้อยปีไว้ให้ชมกัน บางส่วนของพิพิธภัณฑ์เคยเป็นที่พำนักของพระสันตะปาปามาก่อนด้วยนะคะ เป็นทั้งห้องทำงาน ห้องนอน ห้องรับรองแขก ส่วนเรื่องความสวยงามคงต้องไม่ต้องเดาให้ยาก เป็นถึงที่พักของพระสันตะปาปาทั้งทีจะไม่เลิศได้ไงใช่ม้าา เพราะไม่ว่าอะไรที่ดีงามที่สุดในสมัยนั้นก็มาอยู่ในห้องเหล่านี้หมด โดยได้ให้ศิลปินระดับโลกหลายท่าน เช่น ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) และราฟาเอล (Raphael) มาสร้างสรรค์ผลงานให้ค่ะ

ภายในพิพิธภัณฑ์มีทั้งหมด 54 ห้องด้วยกัน แต่ละห้องคือใหญ่มากๆ แบ่งเป็นงานศิลปะตามยุค ตั้งแต่ยุคอียิปต์ ยุคกรีก โรมัน จนถึงยุคเรเนซองส์ ได้จัดแสดงผลงานศิลปะต่างๆมากกว่า 70,000 ชิ้นเลยทีเดียววจ้า มีทั้งภาพวาดของศิลปินที่มีชื่อเสียงของอิตาลี ตลอดจนศิลปินร่วมสมัยของชาติต่างๆ ซึ่งพระสันตะปาปามีแนวคิดให้ประชาชนได้เข้าชมของสะสม เพื่อให้ได้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และเผยแพร่งานศิลปะ ถ้าอยากเดินดูทั่วทั้งหมดคงต้องเดินกันทั้งวันล่ะค่างานนี้ รับรองว่าจะได้ดื่มด่ำกับผลงานต่างๆ อย่างจุใจ ไม่ผิดหวังแน่นอนนนน



















อ้อ! หญิงปุ๊กขอแนะนำมุมมหาชน ที่ไม่ว่าใครมาที่พิพิธภัณฑ์วาติกันแห่งนี้จะต้องมาแวะถ่ายรูปกันนั่นก็คือบันไดวน อยู่ตรงบริเวณทางออกพิพิธภัณฑ์นั่นเองค่า เป็นผลงานของบรามันเต (Bramante) เป็นบันไดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ถ้าเราขึ้นไปบนสุดแล้วมองลงมาก็จะเห็นบันไดม้วนวนลงไปครบทุกชั้นไล่ระดับอย่างสวยงาม





 

เที่ยววิหารซิสติน (The Sistine Chapel)


วิหารซิสตินหรือโบสถ์น้อยซิสติน เป็นไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดของพิพิธภัณฑ์วาติกันเลยค่า ใช้เป็นสถานที่ทำการประชุมเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่ และมีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งจะมีภาพวาดต่างๆ อยู่มากมายทั่วห้อง เรียกได้ว่าสวยงามตั้งแต่พื้นยันเพดานกันเลยทีเดียววว

โดยเฉพาะผลงานของไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) ที่ได้แบ่งเพดานเป็นช่องเล็กทั้งหมด 9 ช่อง และวาดเป็นเรื่องราวตาม The Book of Genesis ที่เล่าเรื่องการกำเนิดโลกและมนุษย์ 2 คนแรกของโลก และเล่าถึงเหตุการณ์วันน้ำท่วมโลกตามเรื่องราวของโมเสส ผลงานภาพวาดอันโด่งดังนี้ชื่อว่า “The Last Judgment” เป็นภาพที่แสดงถึงจุดกำเนิดของชีวิต นรก และสวรรค์ ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และภาพพระเจ้าสร้างอดัม The Creation of Adam หรือ God created Adam ที่เป็นภาพของอดัมกำลังยื่นนิ้วไปจิ้มกับนิ้วของพระเจ้า ซึ่งเป็นภาพที่ดังมากที่สุดภาพหนึ่งของโลก หลายคนต้องเคยเห็นกันมาบ้างแล้วใช่ไหมคะ ;) ขอบอกว่าภาพเขียนทั้งหมดนี้เขาใช้เวลาวาดด้วยกันถึง 4 ปี!! ลองคิดดูว่าต้องเงยหน้าวาดรูปทั้งวันทั้งคืนจะต้องสตรองแค่ไหน นับถือใจจริงๆ ค่า แถมผลงานที่ออกมายังงดงามมากจริงๆ สุดยอดไปเล้ยยยยย

อ๊ะๆ! ในนี้เขาห้ามถ่ายรูปนะคะ ระบบการรักษาความปลอดภัยจะเข้มงวดมากก มีการ์ดเป็นสิบคนคอยจัดระเบียบ และคอยเตือนไม่ให้เราถ่ายรูป รักษากฎกันด้วยนะจ๊ะ









 

สวิสการ์ด (Swiss Guard)


ความพิเศษอีกอย่างของรัฐวาติกันก็คือ สวิสการ์ด หรือทหารชาวสวิสที่ขึ้นชื่อในเรื่องความความเก่งกาจ กล้าหาญ จงรักภักดี และจะสวมเครื่องแบบแต่งกายอันโดดเด่น ใครเดินผ่านแล้วมองไม่เห็นคือเตรียมตัดแว่นได้เลยจ้าาแม่ สีสันสดใสจัดจ้านในย่านนี้มากก ออกแบบโดยไมเคิลแองเจโลคนดีคนเดิม โดยสวิสการ์ดจะทำหน้าที่เป็นทหารยามรักษาการณ์ และทหารองครักษ์รักษาความปลอดภัยภายในคริสตจักร และพระสันตะปาปา

ทางวาติกันก็ได้ใช้งานทหารรับจ้างสวิสการ์ดมาตลอดตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 มาจนถึงปัจจุบัน รวมๆ ก็มากกว่า 500 กว่าปีแล้วค่า! ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งยุคการเมืองและยุคสงครามต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่สวิสการ์ดก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดมา

คุณสมบัติของทหารรักษาการณ์จะต้องเป็นผู้ชายที่ถือสัญชาติสวิสเซอร์แลนด์เท่านั้น และเคยเป็นทหารในกองทัพของสวิสเซอร์แลนด์มาก่อน จะต้องนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก อายุระหว่าง 19 - 30 ปี สูงอย่างน้อย 174 เซนติเมตร มีทักษะพูดได้ 3 ภาษา หูยยยย คุณสมบัติหล่อมากก เอ้ยย! ครบมากกกกก ว่าแล้วก็อย่ารีรอ ขอแชะภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อยค่า >,< ฮิฮิฮิ