เที่ยวรัฐแคลิฟอร์เนีย (California) สหรัฐอเมริกา USA ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก มีประชากรเยอะมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ และยังถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสถานที่พักผ่อนตากอากาศที่ดีที่สุดด้วยค่ะ เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ปังๆ เพียบ! ใครที่ชอบเที่ยวแบบธรรมชาติ ชมป่า ชมเขา ที่แคลิฟอร์เนียจะทำให้ทุกคนตกหลุมได้ไม่ยากเลยค่า

 

เที่ยวอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park)


อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบผาสูงตระหง่าน ในบริเวณเทือกเขาเซียร์รา เนวาดา (Sierra Nevada) ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย ที่นี่ถือเป็นสวรรค์ของคนรักธรรมชาติเลยค่า นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องความใหญ่มหึมาของหน้าผาหิน ยังมีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติ ทั้งแม่น้ำ ลำธาร ทะเลสาบ ทุ่งหญ้า ทุ่งดอกไม้ และสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่มากมาย จนได้ขึ้นเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1984 ด้วยนะคะ

ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวประมาณ 4 ล้านคนต่อปี เมื่อปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวมากกว่า 5 ล้านคน ซึ่งทำลายสถิติโลกกันเลยทีเดียว มีร้านค้า ที่พัก ร้านอาหาร และกิจกรรมมากมายคอยต้อนรับนักท่องเที่ยว มีจุดให้ชมวิวสวยๆ ให้ได้เก็บภาพกันแบบรัวๆ จุดที่ต้องแวะเลยก็คือ Tunnel View มุมยอดฮิตที่สามารถชมวิวของอุทยานได้แบบพาโนรามา เราจะได้เห็นภาพของป่าสีเขียวและน้ำตกที่ถูกขนาบสองข้างด้วยหุบเขาขนาดใหญ่ อู้หูวววว อย่างกับหลุดออกมาจากโปสเตอร์เลยนะคะเนี่ย *0*







 





ที่นี่มีน้ำตกขนาดใหญ่อยู่หลายแห่ง และที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ น้ำตกโยเซมิติ (Yosemite Falls) ค่ะ ซึ่งเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ และเป็นหนึ่งใน 10 น้ำตกที่สูงที่สุดในโลก สูงกว่าน้ำตกไนแองการ่าถึง 9 เท่า! แค่เดินเข้าไปแถวๆ นั้น ละอองน้ำก็กระจายไปทั่ว ยังไม่ทันได้ถึงตัวน้ำตกก็เปียกกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วจ้า ยิ่งเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นถึงความยิ่งใหญ่และทรงพลังของน้ำ สุดยอดดด







และถ้าใครมาช่วงกลางเดือน - ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ถ้าโชคดีจะได้เห็นความสวยงามของ น้ำตกเพลิง หรือน้ำตกหางม้า (Horsetail) ที่หาดูได้ยากมาก จะเห็นได้แค่ปีละครั้งเท่านั้น เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดจากน้ำตกสะท้อนกับแสงอาทิตย์แล้วส่องสว่างออกมาเป็นแสงสีส้มแดง จนเหมือนกับลาวาที่ไหลจากภูเขาไฟ ขอบอกว่าตื่นตาตื่นใจมากกกก ได้มาที่อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี รับรองว่ามีแต่คุ้มกับคุ้มจ้า!





 

เที่ยวสะพานโกลเดนเกต (Golden Gate Bridge)


สะพานแขวนที่เชื่อมระหว่างเมืองมาริน เคาน์ตี้ (Marin County) รัฐแคริฟอร์เนีย และอ่าวซานฟรานซิสโก (San Francisco Bay) ทุกคนคงเคยเห็นกันมาแล้วตามภาพถ่าย และในภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายๆ เรื่องใช่ไหมคะ มีชื่อเสียงในเรื่องของความยิ่งใหญ่อลังการ ปัจจุบันเป็นสถานที่ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก และเป็นหนึ่งในลิสต์ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของสหรัฐอเมริกาที่ทุกคนต้องมาเห็นด้วยตาตัวเองค่ะ

สะพานโกลเดนเกตนี้ เริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1933 โดยมีความยาวถึง 1,280 เมตร กว้าง 27 เมตร มีเลนรถยนต์ 6 เลน รถบรรทุก 3 เลน และทางรถไฟอีก 2 ค่ะ มีการออกแบบให้ทนต่อกระแสน้ำและแรงลม รวมถึงทนต่อการเกิดแผ่นดินไหว จึงได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมแห่งหนึ่งในโลก และยังเคยถูกจัดอันดับให้เป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลกอีกด้วยค่า ปรบมือให้รัวๆ เลยย

และที่เราเห็นสะพานเป็นสีแดง จริงๆ แล้วคือสีส้มนะคะ แต่เป็นส้มเข้มออกแดงๆ เพื่อที่จะได้ตัดกับวิวรอบๆ และสีฟ้าของมหาสมุทร แถมยังทำให้มองเห็นได้ชัดทุกฤดูกาล ถึงตอนหมอกลงจัดก็ยังเห็นสะพานได้นั่นเองค่า และก็ไม่ต้องกลัวว่าสีจะซีดลงนะคะ เพราะเขามีการรักษาบำรุงและทาสีอยู่เป็นประจำ

การเดินทางข้ามสะพานทำได้เกือบทุกวิธี ทั้งขับรถไปเอง นั่งรถบัส (Golden Gate Transit) ปั่นจักรยาน แต่ถ้าใครที่อยากชมวิวให้จุใจและได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของสะพานแบบเต็มๆ แนะนำให้ปั่นจักรยานหรือเดินเท้าข้ามนะคะ จะได้รูปสวยๆ กลับไปอวดเพื่อนๆ ถ้าพลาดเดี๋ยวเค้าจะหาว่ามาไม่ถึงงง >,<











 

เที่ยวทะเลสาบทาโฮ (Lake Tahoe)


ทะเลสาบทาโฮ เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ อยู่ระหว่างรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐเนวาดาค่ะ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่งดงามที่สุดในโลก มีทัศนียภาพงดงามตลอดทั้งปี โอบล้อมด้วยเทือกเขาสูง ปกคลุมด้วยหิมะ อากาศดีถึงขนาด Mark Twain ได้กล่าวไว้ว่า "To obtain the air the angels breathe, you must go to Tahoe." ถ้าอยากได้อากาศบริสุทธิ์เหมือนนางฟ้า ก็ต้องมาทะเลสาบทาโฮแห่งนี้นะจ๊าา

เรียกได้ว่าเป็นสมบัติแห่งธรรมชาติเลยก็ว่าได้ค่ะ มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเพียบเลย เป็นอีกสถานที่ที่มีคนมาถ่ายรูปกันมากที่สุดในโลก รอบๆ มีบ้านเรือน โรงแรมหรู รีสอร์ต ร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้งและความบันเทิงต่างๆ บ่อนคาสิโนก็มีนะคะ

สามารถมาเที่ยวกันได้ทุกฤดู เพราะมีกิจกรรมให้ทำกันทั้งปีแบบยาวๆ ไม่ว่าจะเป็น พายเรือคายัค วินด์เซิร์ฟ ตกปลา ดำน้ำ แถมน้ำในทะเลสาบก็ใสมากกก สะอาดมากกก หรือกิจกรรมบนบกก็มีนะคะ ทั้งปีนหน้าผา ขี่ม้า ปั่นจักรยาน ขับรถชมวิวสวยๆ ตลอดสองข้างทาง และยังเป็นที่ตั้งของสกีรีสอร์ตระดับโลกถึง 15 แห่ง จนกลายเป็นศูนย์รวมของการเล่นสกีที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาด้วยค่ะ กิจกรรมเยอะมากๆ เรียกได้ว่าครบ จบ ในหนึ่งเดียว สนุกกันได้ทั้งครบครัว แถมยังเป็นสถานที่ยอดฮิตของคู่รักนิยมมาฮันนีมูน และแต่งงานกันริมทะเลสาบด้วยค่ะ แอร้ยยยย โรแมนติกแค่ไหนถามใจเธอดู~















 

เที่ยวบิ๊กเซอร์ (Big Sur)


บิ๊กเซอร์ ถูกจัดให้เป็นเส้นทางถนนที่วิวสวยที่สุดในอเมริกา และติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกด้วยค่า แหม่ แค่เริ่มก็ไม่ธรรมดาซะแล้วว ถนนเส้นนี้อยู่เลียบชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ทอดยาวมาตั้งแต่ทางตอนเหนือไปจนใต้สุดค่ะ ถึงทางจะคดเคี้ยวและมีโค้งเยอะหน่อยๆ แต่ขับไม่ยากนะคะ เพราะรถไม่เยอะ ขับได้ชิลๆ กินลมชมวิวไปเรื่อยๆ ตลอดทาง ทั้งวิวทะเล ภูเขา ทุ่งหญ้าสีเขียว ดอกไม้นานาชนิดตามทาง ทุ่งดอกป๊อปปี้กำลังบานสะพรั่ง เพลินตาเพลินใจมากกก และถ้ามองดีๆ อาจจะได้เห็นสัตว์ป่า ไม่ว่าจะเป็น กวางหางดำ แรคคูน สกังก์ ด้วยค่ะ

นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของคนที่ชื่นชอบการผจญภัย กิจกรรมก็มีทั้ง ล่องเรือดูวาฬ การเดินป่า ตั้งแคมป์ริมแม่น้ำ ซึ่งมีพร้อมทั้งที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ ห้องอาบน้ำ บริการซักผ้า คอยอำนวยความสะดวกแก่ทุกคนอีกด้วย









ซึ่งตลอดทางมีสถานที่ท่องเที่ยวให้ได้ชมเยอะมากๆ มีจุดชมวิว และชายหาดให้แวะพักนั่งเล่น อย่าลืมจอดแวะถ่ายรูปที่สะพานบิกซ์บี (Bixby Bridge) สะพานคอนกรีตเสริมเหล็กดีไซน์สวยงาม มีความยาวประมาณ 218 เมตร สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1855 ถูกใช้เป็นสถานที่ในการถ่ายทำภาพยนตร์ และโฆษณารถยนต์อยู่บ่อยๆ ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดฮิตถูกถ่ายภาพมากที่สุดเลยค่า





อีกจุดไฮไลท์ก็คือ น้ำตกแม็คเวย์ (McWay Falls) เด็ดตรงที่น้ำตกได้ไหลจากหน้าผาสูงประมาณ 80 ฟุต ลงสู่ทะเลโดยตรง เพราะเป็นน้ำตกอยู่ใกล้ทะเลมากนั่นเองค่ะ







 

เที่ยวสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ (Disneyland L.A California)


ดิสนีย์แลนด์ ดินแดนที่ใครก็ปฎิเสธไม่ลง ตั้งอยู่ในเมืองอนาไฮม์ (Anaheim) รัฐแคลิฟอร์เนียค่า โดยแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งคือ Disneyland Park และ Disney California Adventure Park และมีโรงแรมอีก 3 แห่ง ได้แก่ Disney's Grand Californian Hotel & Spa, Disneyland Hotel, และ Disney's Paradise Pier Hot

มาเริ่มกันที่ฝั่ง Disneyland Park กันก่อนนะคะ ซึ่งมีการแบ่งเป็นโซนต่างๆ ทั้งหมด 8 โซน แต่ละโซนก็จะมีธีมเป็นของตัวเอง เริ่มจากโซนแรก Main Street ทุกอย่างอลังการตั้งแต่ก้าวเท้าผ่านประตูเข้ามา เราจะได้กลิ่นอายของแคลิฟอร์เนียแบบชัดมากๆ เป็นอาคารบ้านเรือนสไตล์อเมริกันสมัยก่อน มีแกลลอรี่แสดงประวัติและผลงานของวอลต์ ดิสนีย์ มีร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกมากมาย นี่แค่โซนแรกกระเป๋าสตางค์ก็สั่นรัวๆ แล้วจ้า >,<











โซนที่ 2 Tomorrowland เป็นโซนที่ยกอวกาศและโลกอนาคตมาไว้ด้วยกัน เราจะพบกับตัวการ์ตูนและเครื่องเล่นจากเรื่อง Star Wars, Toy Story (Buzz Lightyear), Finding Nemo มีทั้งยิงเอเลี่ยน นั่งรถไฟเหาะและยานอวกาศสุดมันส์ ใส่แว่นสามมิติท่องโลกอวกาศ ขับรถยนต์สุดล้ำจากฮอนด้า นั่งเรือดำน้ำดูปลา และใส่ชุดเจไดฝึกหัด พร้อมมีอาจารย์การต่อสู้กับไคโรเรน ดาร์ธเวเดอร์ เรียกได้ว่าเป็นโซนโปรดของเด็กผู้ชายเลยค่า











โซนที่ 3 Adventure Land ใครที่ชอบการผจญภัย เดินป่า มาโซนนี้เลย เป็นธีมป่าเขาลำเนาไพรจากเรื่อง Tarzan และ Indiana Jones ทั้งได้เที่ยวบ้านของทาร์ซานและล่องเรือสำรวจป่า เตรียมตัวเตรียมใจพบกับสัตว์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนได้เลยย >,<









โซนที่ 4 Critter Country โซนนี้น่ารักมากค่ะ เชื่อว่าแฟนคลับของหมีพูจะต้องชอบแน่นอน เป็นธีมชายป่า มีทุ่งหญ้าสีเขียว และเครื่องเล่นจากเรื่อง Winnie the Pooh และ Song of the South แถมยังได้ล่องเรือหมีพูน่ารักๆ กันด้วยนะค้า







โซนที่ 5 Frontierland โซนนี้มาในสไตล์เมริกาเหนือค่ะ เราจะได้สัมผัสความเป็นแคลิฟอร์เนีย วินเทจๆ เหมือนได้หลุดเข้าไปในยุคก่อนยังไงอย่างงั้น เครื่องเล่นขึ้นชื่อคือ Big Thunder Mountain Railroad เป็นรถไฟเหาะบนภูเขาที่มีเรื่องลึกลับซ่อนอยู่ สามารถเล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยจ้า







โซนที่ 6 New Orleans Square โซนนี้สำหรับคนที่ชอบความลี้ลับ น่ากลัวๆ มีทั้งบ้านผีสิง และเครื่องเล่นในธีม Pirates of the Caribbean ให้ได้ขนลุกกันถ้วนหน้า







โซนที่ 7 Mickey’s Toontown เป็นโซนตัวการ์ตูนคลาสสิกของดิสนีย์ค่ะ ได้ใกล้ชิดกับมิกกี้ มินนี่ โดนัลดักค์ ชิพ เดล และเพื่อนๆ มาลองชมบ้านยักษ์ และบ้านมิคกี้มินนี่ ว่าจะน่ารักขนาดไหนน







โซนที่ 8 Fantasyland เป็นโซนเทพนิยายที่สาวๆ เห็นแล้วจะต้องกรี๊ดด มีปราสาทสุดอลังการ เจ้าหญิงเจ้าชาย ทั้งจากเรื่อง Snow White, Sleeping Beauty, Alice in Wonderland, Peter Pan และอื่นๆ อีกมากมาย มีม้าหมุนอันงดงาม และเครื่องเล่นต่างๆ ที่เต็มไปด้วยจินตนาการให้เราเพลิดเพลินไปกับโลกแห่งความฝัน >3<









สุดท้าย ที่พลาดไม่ได้เลยกับ Night Parade เป็นการเดินพาเหรดยามค่ำคืนของเหล่าตัวการ์ตูน น่ารักมากกกก สนุก คุ้มค่า อิ่มอกอิ่มใจสุดๆ ไปเลยค่า





ต่อมาคือฝั่งของ Disney California Adventure Park เปิดให้บริการครั้งแรกในปี ค.ศ. 2001 ส่วนใหญ่ออกแบบด้วยแอนิเมชั่น Pixar Animation เป็นหลัก พร้อมรวบรวมเครื่องเล่นสุดมันส์และหวาดเสียวไว้หลายอย่าง โดยแบ่งออกเป็น 8 โซนค่ะ

โซนแรก คือ Buena Vista Street ถนนสายศิลปะ บรรยากาศย้อนยุคเหมือนแอลเอในอดีต ที่เต็มไปด้วยความสดใส ความฝัน และจินตนาการ มีร้านขายของที่ระลึกน่ารักๆ เช่นเคย อดใจไม่ไหว เสียเงินอีกแว้ววว





Paradise Pier บรรยากาศดีมากก คล้ายเมืองท่าเรือริมฝั่งแปซิฟิก มีอาหารและไวน์จากแคลิฟอร์เนียให้ได้ลิ้มลอง จุดเด่นก็คือชิงช้าสวรรค์ Mickey’s Fun Wheel ถือเป็นสัญลักษณ์ของดิสนีย์แลนด์แคลิฟอร์เนียเลยค่า และยังมีรถไฟเหาะขนาดยักษ์ความเร็วสูง California Screamin ที่ใครมาก็ต้องลองเล่นสักครั้ง ระหว่างรอเครื่องเล่นต่างๆ ก็มีน้ำพุเต้นระบำให้ชมกันอีกด้วยนะคะ







Hollywood land กระทบไหล่คนดังและชมการแสดงโชว์ ซึ่งมีให้เลือกชมตามตารางเวลา ขอบอกว่าโชว์ที่นี่เยอะมากกกกก ยิ่งใหญ่ อลังการเว่อร์วัง แถมยังหาดูได้เฉพาะที่นี่ที่เดียวเท่านั้น มีเครื่องเล่นอย่าง The Twilight Zone Tower of Terror หรือลิฟต์ตกอันโด่งดัง เราต้องเดินเข้าไปในโรงแรมผีสิง เพื่อขึ้นลิฟท์สยองขวัญ ที่ใครได้เล่นแล้วต้องลืมไม่ลงแน่นอนค่า







 เครดิตรูปภาพจาก https://commons.wikimedia.org/

Pacific Wharf บรรยากาศคล้ายกับเมืองมอนเทอเรย์ (Monterey) และซานฟรานซิสโก (San Francisco) โซนนี้จะไม่มีเครื่องเล่นนะคะ แต่จะเป็นพวกร้านอาหาร ร้านขนม ไอศครีม หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา ~







Bug’s land โซนนี้เราจะกลายเป็นแมลงตัวเล็กๆ ในป่าขึ้นมาทันทีเลยค่ะ เพราะทุกอย่างในนี้จะใหญ่ไปหมด ทำให้เราได้เห็นมุมมองแบบเดียวกับแมลง เครื่องเล่นไฮไลท์แนะนำคือ It's Tough to be a Bug และโรงหนัง 4D มีทั้งมดไต่ขา พ่นน้ำใส่ จัดเต็ม สมจริงสุดๆ จ้า







Condor Flats ทุกอย่างในโซนนี้จะเป็นเกี่ยวกับการบินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน นักบิน พร้อมบินสูงเหินเวหาผจญภัยไปยังสถานที่สำคัญๆ ในแคลิฟอร์เนีย





เครดิตรูปภาพจาก http://toursdepartingdaily.com/tag/condor-flats/



โซน Grizzliy Peak บรรยากาศที่นี่คล้ายแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ ในแถบอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) มีต้นไม้ ภูเขา ลำธาร น้ำตก เส้นทางเดินป่า ปีนเขา การเดินข้ามสะพานเชือก เหมือนกับได้อยู่ในอุทยานจริงๆ เลยค่ะ เครื่องเล่นยอดฮิต คือ Grizzly River Run เหมือนล่องแก่งไปตามลำน้ำ ผ่านทั้งถ้ำและน้ำวน อย่าลืมเตรียมเสื้อกันฝนนะคะ งานนี้มีเปียกแน่นอนน









โซนสุดท้ายคือ Cars Land มาพร้อมเครื่องเล่นอย่าง Radiator Springs Racers เหมือนเรานั่งรถเข้าไปในโลกของการ์ตูน CARS ทุกอย่างเป็น 3 มิติ เทคโนโลยีล้ำมาก รถทุกคันพูดได้ เหมือนมีชีวิตจริงๆ เลยค่า







เครดิตรูปภาพดิสนีย์แลนด์ทั้งหมดจาก https://disneyland.disney.go.com/au/

 

เที่ยวอุทยานแห่งชาติเดธ วัลเลย์ (Death Valley National Park)


หลายคนๆ อาจจะยังไม่ค่อยคุ้นกับอุทยานแห่งชาติเดธ วัลเลย์แห่งนี้ เพราะแค่ชื่อแล้วดูน่ากลัวแล้วใช่ไหมคะ แต่ต้องบอกเลยว่า มีสิ่งที่ไม่ธรรมดาซ่อนอยู่เพียบ โดยตั้งอยู่ในเขตพื้นที่หุบเขาที่ต่ำที่สุด และแห้งที่สุดในสหรัฐอเมริกา ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 282 ฟุต ครอบคลุมทั้งรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐเนวาดา อากาศของที่นี่คือร้อนมากกกก เคยร้อนสูงสุดถึง 56.7 องศา ต้นไม้ต่างๆ เหลือแต่กิ่งก้าน ณ จุดนี้คือรู้แล้วค่ะว่า ทำไมถึงได้ชื่อหุบเขาแห่งความตาย T^T พออากาศร้อนมากๆ ทำให้น้ำในทะเลสาบระเหยออกไปหมด จนหลงเหลือเป็นผลึกเกลือสีขาว ทำให้เกิดเป็น ทะเลสาบเกลือ แบดวอเตอร์ บาซิน (Badwater Basin) ที่สวยงามนั่นเอง

ถ้าถามว่าคุ้มค่าแก่การมาเที่ยวไหม? ต้องตอบเลยค่ะว่า คุ้มมาก! มันเป็นความสวยงามแปลกตา แบบหาดูที่ไหนไม่ได้ ขับรถไประหว่างทางจะได้เห็นภาพของถนนและภูเขาตัดกับท้องฟ้าสีสดใส และวิวแบบในฉากภาพยนตร์เป๊ะๆ และเปิดให้เที่ยวได้ทั้งปี ซึ่งแต่ละฤดูก็จะมีความสวยงามแตกต่างกันไป ช่วงที่นิยมมากันจะเป็นช่วงหน้าหนาวค่ะ อากาศจะเย็นสบาย มีหิมะปกคลุมบนยอดเขา กับช่วง Super Bloom เป็นช่วงที่ทุ่งดอกไม้บานสะพรั่งสวยงาม มองเห็นได้ไกลสุดลูกหูลูกตา แต่ไม่ได้มีให้เห็นทุกปีนะคะ ต้องแล้วแต่สภาพอากาศ แรงลม และปริมาณน้ำฝนด้วย ถ้าฝนตกมาก ก็จะมีดอกไม้บานให้ชมถ่ายรูปกันเพลินไปเลยค่า

ขับรถต่อไปเรื่อยๆ ก็จะมีสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆ ให้ตื่นตาตื่นใจอยู่ตลอด หุบเขาและพื้นดินแห้งๆ ไม่ได้เป็นจุดด้อยของที่นี่เลยค่ะ แต่กลับเป็นเสน่ห์ที่น่าค้นหา ปัจจุบันได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง และมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมอย่างไม่ขาดสาย ถึงล้านคนต่อปีเลยทีเดียวค่า













 

เที่ยวอุทยานแห่งชาติซิคัวย่า และอุทยานแห่งชาติคิงส์แคนยอน (Sequoia and Kings Canyon National Parks)


อุทยานแห่งชาติซิคัวย่า และ อุทยานแห่งชาติคิงส์แคนยอน ทั้ง 2 อุทยานนี้อยู่ใกล้ๆ กันค่ะ โดยเริ่มที่อุทยานแห่งชาติคิงส์แคนยอน อันโด่งดังในสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเทือกเขา เซียร์ราเนวาดา (Sierra Nevada) จุดเด่นของที่นี่ก็คือ หุบเขาคิงส์ริเวอร์ หรือ แม่น้ำกษัตริย์ (Valley of the Kings River) ซึ่งนับเป็นหนึ่งในหุบเขาที่ลึกที่สุดในโลก! ลึกถึงประมาณ 2,500 เมตร ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์และงดงาม

มีถ้ำบอยเดน (Boyden Cavern) เป็นถ้ำใต้ดินขนาดใหญ่ มีกลุ่มหินงอกหินย้อยที่สวยงาม และเป็นที่อยู่ของค้างคาวด้วยค่ะ อีกจุดหนึ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีก็คือ น้ำตกคิงส์แคนยอน (Kings Canyon Waterfalls) เดินมาเหนื่อยๆ ได้แวะพัก รับความสดชื่นจากน้ำตกก็ฟินไม่น้อยเลยย

ที่นี่เป็นเหมือนสวรรค์ของคนที่ชอบการท่องเที่ยวผจญภัยแบบธรรมชาติ เพราะมีกิจกรรมให้ทำมากมาย ทั้งเดินป่า ซึ่งจะมีทั้งระยะสั้นและระยะไกล ขี่ม้าในช่วงหน้าร้อน และตกกลางคืนก็สามารถนอนตั้งแคมป์ดูดาวได้อีกด้วยค่ะ *0*









ไม่ไกลจากอุทยานแห่งชาติคิงส์แคนยอน ยังมีอุทยานแห่งชาติอีกแห่งหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้กันก็คือ อุทยานแห่งชาติซิคัวย่า โดยระหว่างทางที่เข้าไป จะเริ่มเห็นต้นไม้ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนถูกโอบล้อมไปด้วยต้นไม้ยักษ์ในหนังยังไงอย่างงั้นเลย

และจะต้องเงยหน้า อ้าปากค้าง เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ ต้น Red Wood ชื่อ General Sherman Tree ต้นไม้อายุเก่าแก่กว่า 2,200 ปี และได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกกค่า! ได้แชมป์เพราะมีจำนวนเนื้อไม้มากที่สุด น้ำหนักถึง 2.7 ล้านปอนด์ สูง 274.9 ฟุต ฐานกว้าง 102.6 ฟุต สูงถึง 83.8 เมตร และเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นที่ฐานใหญ่มากประมาณ 11 เมตร คงต้องใช้คนสิบกว่าคนมายืนโอบกันเลยทีเดียวค่ะ ยิ่งใหญ่อลังการมากๆ ถึงขนาดที่ นักธรรมชาติวิทยา จอห์น มิวร์ ได้กล่าวไว้ว่า “ตั้งแต่ผมได้รู้จักมา มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”





และยังได้ชม Hospital Rock ที่ในอดีตเคยเป็นที่อยู่ของชาวอินเดียแดง มีภาพเขียนโบราณบนผนังหิน และหลุมบนโขดหินที่ไว้ใช้แทนครกในการประกอบอาหาร ซึ่งสาเหตุที่ได้ชื่อ Hospital Rock เพราะว่าเคยมีนักสำรวจของอุทยานได้รับบาดเจ็บ และชาวอินเดียแดงก็ได้ช่วยรักษานักสำรวจคนนั้นไว้นั่นเองค่ะ

เครดิตรูปภาพจาก https://i1.wp.com/

เครดิตรูปภาพจาก https://commons.wikimedia.org/



เครดิตรูปภาพจาก https://www.expedia.co.jp

Giant forest museum พิพิธภัณฑ์ประวัติความเป็นมาของที่นี่ มีการจัดนิทรรศการบรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับหินชนิดต่างๆ รวมถึงชีวิตสัตว์ป่า และยังมีต้นไม้ขนาดใหญ่มากมายหลายชนิดให้ได้ชมกันอีกด้วยค่า





สุดท้ายคือ Moro Rock จุดชมวิวสุดปัง ที่เราต้องจะขึ้นไปโดยการปีนบันไดกว่าสี่ร้อยขั้น แต่ก็ไม่เหนื่อยมากนะคะ เพราะเค้าทำทางไว้ดี เดินสะดวก สูงจากระดับน้ำทะเล 6725 ฟุต ขอบอกว่ายิ่งสูงยิ่งสวยค่า อกอิ่มใจกับทิวทัศน์งดงามตระการตา มองทะเลสาบ และเห็นเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุมยอด เหมือนอยู่ในความฝันเลยยย





 

เที่ยวอุทยานแห่งชาติเรดวูดและอุทยานแห่งรัฐ (Redwood National and State Parks)


อุทยานแห่งชาติเรดวูดและอุทยานแห่งรัฐ เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจมากๆ เลยค่ะ โดยครอบคลุมพื้นที่ถึง 3 แสนไร่ สามารถเที่ยวในอุทยานได้ทั้งโดยรถยนต์ จักรยาน หรือเดินเท้า เพื่อชมวิวทิวทัศน์อันงดงามของมหาสมุทรแปซิฟิก แม่น้ำ และดอกไม้ต้นไม้สีสันสดใสที่กำลังบานสะพรั่ง แถมยังได้เห็นสัตว์ป่าหายากอีกด้วยนะคะ

ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นเรดวูด (Red Wood) อายุหลายพันปี ซึ่งเป็นพันธุ์ต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลกและเป็นต้นไม้ประจำรัฐแคลิฟอร์เนีย ตั้งสูงตระหง่านรอบๆ ตัว สูงมากกว่า 300 ฟุต ไปยืนข้างต้นไม้รู้สึกเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ขึ้นมาทันทีเลยค่ะ >,<

บางต้นที่ตายหรือหมดอายุขัยเหลือแค่ตอ ก็ได้มีการดัดแปลงโดยการเจาะกลางเนื้อไม้ให้เป็นโพรง คล้ายอุโมงค์ขนาดใหญ่ ให้คนและรถยนต์สามารถลอดผ่านได้ ทำให้นักท่องเที่ยวตื่นเต้นมากอยากที่จะมาสัมผัสประสบการณ์ลอดใต้อุโมงค์นี้ดูสักครั้ง หญิงปุ๊กก็อยากรู้ว่าจะรู้สึกเหมือนตอนลอดท้องช้างรึเปล่า 555 และยังมีกิจกรรมให้ทำทั้ง เดินป่า พายเรือ โต้คลื่น กางเต็นท์นอนดูดาวท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ ฟินไม่ฟินต้องมาลองจ้า









 

เที่ยวอุทยานแห่งชาติโจชัวทรี (Joshua Tree National Park)


ใครอยากสัมผัสบรรยากาศแบบในหนังคาวบอย ที่ล้อมรอบด้วยทะเลทราย และต้นกระบองเพชรต้องที่นี่เลยค่า ถึงพื้นที่ส่วนมากจะเป็นทะเลทราย แต่มีลมพัดเย็นสบาย วิวรอบๆ ก็สวยงามแปลกตา มีหน้าผาและหินยักษ์รูปทรงต่างๆ ที่มีอายุกว่า 100 ล้านปี มีดอกไม้ป่าและกระบองเพชรต้นใหญ่ๆ หลายชนิด ที่ออกดอกโตๆ หลายสีสัน สวยงามละลานตามากๆ และยังมีนกท้องถิ่นมากกว่า 240 สายพันธุ์ จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการดูนกและสัตว์ป่าอีกด้วยค่ะ เช่น กระต่ายป่า, เต่าทะเลทราย, คางคกสีแดง, ชิฟมังค์ และ สุนัขจิ้งจอก เป็นต้น

โดยชื่อของอุทยานแห่งชาติโจชัวทรีนี้ได้ตั้งตาม ต้นโจชัว (Joshua Tree) พืชตระกูลยักค่า (Yucca) เป็นพืชทะเลทรายที่สามารถพบได้ไม่กี่แห่งในแถบแคลิฟอร์เนีย ถือเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่เลย และยังเป็นที่อยู่อาศัย ที่หลบภัย และอาหารของนก กระรอก และแมลงทั้งหลายด้วยนะคะ











จุดที่ต้องมาแชะภาพถ่ายรูปกันทุกคนก็คือ Skull Rock ซึ่งเกิดจากการที่ฝนตกกัดเซาะหินทีละนิดเป็นระยะเวลานาน จนกลายเป็นรูที่เหมือนกับตา และกะโหลก แอบหลอนนิดๆ นะคะเนี่ย >,<



อุทยานแห่งชาติโจชัวทรี เปิดให้มาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ มีนาคม – ต้นพฤษภาคม เหมาะแก่การเดินป่า ไฮกิ้ง ปีนเขา หน้าผาและก้อนหินต่างๆ

ฤดูใบไม้ร่วง ตุลาคม – พฤศจิกายน อากาศกำลังเย็นสบาย ฟ้าเปิดโล่ง สามารถปั่นจักรยานภูเขาหรือขี่ม้า เพื่อชมความงามของดอกไม้ป่าหลากสีที่กำลังบานสะพรั่ง ถ้าใครมีเวลาอยากให้มาแคมป์ปิ้งที่นี่ นอกจากตอนกลางคืนจะได้ดูดาวสวยๆ แล้ว ตอนเช้าตื่นชมพระอาทิตย์ขึ้นขอบอกว่าฟินมากค่า

ช่วงฤดูหนาว ธันวาคม – กุมภาพันธ์ อากาศจะหนาวเย็น เหมาะกับการปีนเขา และมากับคนรู้ใจ เพราะจะได้มีคนให้กอด แฮ่! แต่ในช่วงฤดูร้อน มิถุนายน – สิงหาคม เป็นช่วงอากาศร้อนมากกกก เลยไม่นิยมทำกิจกรรมกลางแจ้งกันค่า













 

เที่ยวสวนสนุกซีเวิลด์ซานดิเอโก (SeaWorld San Diego)


ใครที่มาเที่ยวกับครอบครัว แนะนำให้มาที่ซีเวิลด์ซานดิเอโกแห่งนี้เลยจ้า เด็กๆ ต้องชอบ ผู้ใหญ่ต้องร้องว้าวอย่างแน่นอน ที่นี่เป็นธีมปาร์คสวนสนุกกึ่งสวนสัตว์ และเป็นหนึ่งในสวนสนุก Marine Life Parks ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก! โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากกว่า 130 ล้านคนเลยทีเดียวค่า

เราจะได้สัมผัสโลกใต้ทะเลและชมการแสดงโชว์ของโลมา สิงโตทะเล เพนกวิน แถมยังได้มีส่วนร่วมเล่น ป้อนอาหาร และฝึกสั่งการด้วยท่าทาง สามารถเรียกรอยยิ้มของทุกคนได้เป็นอย่างดี ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ ชามูโชว์ (Shamu Show) เป็นการแสดงของน้ำพุเต้นระบำและวาฬเพชฌฆาตตัวใหญ่ยักษ์ที่จะมาพร้อมความน่ารัก และฉลาดให้เราได้ทึ่งกัน นอกจากนี้ยังมีสัตว์อีกนานาชนิดให้ชมกันอีกด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็น นกฟลามิงโก้ นากทะเล ปลากระเบน Bat Ray เพนกวิน หมีขาวขั้วโลก เป็นต้น









ต่อมาในส่วนของเครื่องเล่นก็ทั้งแบบเบาๆ อย่าง นั่งกระเช้าลอยฟ้าชมวิว นั่งเฮลิคอปเตอร์จำลองบินไปชมสัตว์นานาชนิดทั้งบนบกและใต้น้ำ หรือสายโหดก็มีทั้งโรลเลอร์โคสเตอร์ รถไฟเหาะ และเครื่องเล่นที่อยากให้ทุกคนได้ลอง มีชื่อว่า Journey to Atlantis ค่ะ โดยจะพาเราขึ้นไปจุดสูงสุด แล้วไหลลงมาด้วยความเร็วสูง ตู้มมม! น้ำกระจาย ตัวเปียกกันถ้วนหน้าจ้า ยังค่ะ ยังไม่พอ ยังมุดลงอุโมงค์และเปิดมาพร้อมกับภาพท้องฟ้า ใช่ค่ะ มันกลายร่างเป็นรถไฟเหาะแล้วว กรี๊ด! นาทีนี้ต้องกรี๊ดดดอย่างเดียวจ้า เสียวยันไส้ติ่ง แต่มันส์เว่อออร์ค่ะขอบอกกก

และเดี๋ยวเด็กๆ จะน้อยใจ ที่นี่เขาก็มีโซนสำหรับเด็กเล็กด้วยนะคะ ชื่อ ว่า Sesame Street Bay of Play เป็นสวนน้ำพุเล็กๆ เต็มไปด้วยเครื่องเล่นและความสนุกสนาน มีตัวการ์ตูนสุดน่ารัก อย่างเอลโม่และผองเพื่อนที่จะออกมาทักทายทุกคน และถ่ายรูปกัน เรียกได้ว่างานนี้สุขใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่แน่นอนค่า





เครดิตรูปภาพจาก https://www.undercovertourist.com/blog/guide-seaworld-san-diego-height-requirements/