เที่ยวชิลี (Chile) หรือ สาธารณรัฐชิลี มนต์สเน่ห์แห่งอเมริกาใต้ มีภูมิประเทศที่ขึ้นชื่อว่า “ยาวที่สุดในโลก” และอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่เหล่านักเดินทางใฝ่ฝัน ทั้งทะเลทราย ทะเล หน้าผา ภูเขาไฟ ธารน้ำแข็ง แหน่ะ!...ยังไม่รีบแพ็คกระเป๋ากันอีกหรอคะทุ๊กคนน ส่วนหญิงปุ๊กนั้นกำลังแพลนเที่ยวในมือแน่นมากแล้วจ้า และที่สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยนั้นไม่ต้องขอวีซ่านะจ๊ะ จองตั๋วเครื่องบินพร้อม take off แล้วค่า โก โก โก๊ >_<

 

เที่ยวเกาะอีสเตอร์ (Easter Island)

เกาะอีสเตอร์ (Easter Island) หรือ ราปานุย (Rapa Nui) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของคาบมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ห่างออกไปประมาณ 3,700 กิโลเมตรจากประเทศชิลี ลักษณะของเกาะอีสเตอร์มีรูปทรงเป็นพื้นที่สามเหลี่ยม ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 600 เมตร เกาะนี้เป็นที่รู้จักในชื่อว่า “สะดือของโลก”

ที่นี่เปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง อุทยานแห่งชาติราปานุยเป็นเหมือนอาคารกลางแจ้งขนาดกว้างที่ได้เก็บสะสมซากประวัติศาสตร์ และอารายธรรมเอาไว้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ หนึ่งในคอลเลคชั่นของสะสมของเกาะแห่งนี้คือ รูปปั้นโมอาย (Moai) รูปปั้นหินที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ และมีส่วนหัวขนาดใหญ่ราวกว่า 600 ตัว ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วเกาะอีสเตอร์ เป็นหนึ่งสิ่งที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของสถานที่แห่งนี้ได้ว่า เกาะแห่งนี้เคยมีผู้อยู่อาศัย โมอายเป็นรูปปั้นที่แกะสลักด้วยหินขนาดใหญ่เพียงก้อนเดียว แต่ละตัวจะมีลักษณะไม่แตกต่างกันมาก นอกจากบางตัวนั้นถูกแกะสลักให้มีหมวกอยู่บนหัว และบางตัวจะนอนล้มอยู่กับพื้น สันนิษฐานว่าผลงานเล่านี้เป็นฝีมือของชาวโปลินีเซียที่เคยอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้เมื่อ 1,000 กว่าปีที่แล้ว

เกาะอีสเตอร์นั้นยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อีกด้วย การท่องเที่ยวแบบ Eco-Friendly นั้น ทำให้ธรรมชาติบนพื้นที่ของเกาะแห่งนี้ยังดูอุดมสมบรูณ์ นอกจากการมาเยี่ยมชมถ่ายรูปกับโมอายแล้ว เราสามารถเช่าจักรยานปั่นเที่ยวรอบเกาะ เอ็นจอยกับการดำน้ำตื้น และเล่นเซิร์ฟได้อีกด้วย

 

เที่ยวอุทยานแห่งชาติตอร์เรส เดล ไปย์เน (Torres del Paine)

อุทยานแห่งชาติอตร์เรส เดล ไปย์เน ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนของประเทศชิลี ครอบคลุมด้วยธารน้ำแข็ง ทะเลสาบ แม่น้ำ และอยู่ติดกับภูมิภาคปาตาโกเนีย (Patagonia) โดยที่แห่งนี้มีเทือกเขาเดล ไปย์เน ที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ โดยมีเทือกเขาแกรนิตตั้งอยู่เป็นใจกลางของอุทยาน และมียอดสูงเป็นแท่ง 3 ยอดเรียกว่า หอคอยแห่งไปย์เน และ เขาของไปย์เน (Towers of Paine and Paine Horns)

อุทยานแห่งชาติตอร์เรส เดล ไปย์เน มีความกว้างของพื้นที่ทั้งหมดกว่า 181,414 เฮกตาร์ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองปอร์โต นาตาเลส (Puerto Natales) ไปทางตอนเหนือประมาณ 112 กิโลเมตรค่ะ ที่นี่คือหนึ่งในอุทยานที่สวยที่สุด และมีนักท่องเที่ยวเข้าชมมากที่สุดในโลก ด้วยภูมิทัศน์ และภูมิศาสตร์ของอุทยานนั้นมีความซับซ้อนแปลกตา จึงทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะกับกิจกรรมเดินป่าอย่างน่าค้นหา ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบเปโอ (Lake Pehoe) มุมถ่ายรูปสวยๆ ยามพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีต้นกำเนิดมาจากแม่น้ำสายสำคัญของประเทศชิลีอย่าง แม่น้ำไปย์เน (Paine River) รวมถึงระหว่างทางเดินไปทะเลสาบนั้น เราจะได้ชื่นชมกับทุ่งหญ้าแปลกตาที่ประดับประดาไปด้วยต้นรองเท้าแตะ หรือ ต้นคาลซิโอลาเรีย (Calceolaria Unifloria) เป็นพันธุ์ไม้ตระกูลเดียวกับกล้วยไม้ แต่เกิดจากพื้นดิน นอกจากนี้การปีนเขายังเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจในการมาเที่ยวชมอุทยานแห่งชาตินี้ พิชิตขอบเมฆมองวิวที่หลากหลายของธรรมชาติได้อย่างสุดลูกหูลูกตาไปเลยจ้า

 

เที่ยวหุบเขาแห่งดวงจันทร์และทะเลทรายอาตากามา (Valle de la Luna and Atacama Desert)

ทะเลทรายอาตากามา คือหนึ่งในสถานที่ที่สุดวิเศษแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ติดกับคาบสมุทรแปซิฟิกทางฝั่งตะวันออกของเทือกเขาแอนดีส บนที่ราบสูงของอเมริกาใต้มีความยาวกว่า 1,000 กิโลเมตร เป็นทะเลทรายที่มีค่าเฉลี่ยของน้ำฝนต่อปีอยู่ที่ประมาณ 15 มิลลิเมตร แต่จะมีประมาณความชื้นเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม หรือ ฤดูหนาว เพราะลมที่ถูกพัดมาจากขั้วโลกใต้นั้นได้พาหิมะพัดผ่านเงาฝนมาด้วยนั่นเองจ้า หิมะและลมเหล่านั้นนำพาเกลือมาจากคาบสมุทรแอนตาร์กติกา มีผลให้ปริมาณเกลือที่ตกค้างเกิดผลึกก่อตัวกับพื้นดิน ทำให้เกิดพื้นผิวที่มีลักษณะคล้ายกับพื้นผิวบนดวงจันทร์ ที่มีชื่อว่า El Valle de la Luna

หุบเขาแห่งดวงจันทร์ มีลักษณะธรณีวิทยาเป็นหินผา และภูเขาทรายที่ถูกกัดเซาะด้วยน้ำกับแรงพัดของลม จึงทำให้เกิดสี และรูปร่างที่ชวนตื่นตาคล้ายกับพื้นผิวบนดวงจันทร์ โดยบางส่วนของพื้นที่ในหุบเขานี้จะถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวของเกลือที่ถูกพัดมาจากทะเลขั้วโลก ผ่านน่านน้ำแปซิฟิกมาทับถมกันจนเกิดเป็นรูปปั้นรูปร่างต่างๆ ราวกับมนุษย์สร้างขึ้นด้วยค่ะ นอกจากผาหินกับภูเขาทรายแล้ว ยังมีถ้ำเล็กถ้ำน้อยอีกมากมายที่เกิดการการกัดเซาะเช่นกัน ช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินที่นี่นั้น ราวกับภาพวาดที่เกิดมาจากดวงจันทร์ยามพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า เนินเขา และคราบการปกคลุมจากน้ำทะเลนั้นจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีชมพู เมื่อตะวันจะกำลังจะแตะขอบฟ้าสีม่วงจะค่อยๆ เข้ามาแต่งเติมที่แห่งนี้ ดาวเล็ก ดาวน้อยทั้งหลายก็จะค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนฟ้ามืด พร้อมกับดวงจันทร์กลมสีขาวนวล เป็นภาพที่หาดูยากมากเลยนะคะ การได้มองดวงจันทร์บนดวงจันทร์บนโลก โอ้โห...มันอะเมซิ่ง!

 

เที่ยวถ้ำหินอ่อน (The Marble Caves)

ถ้ำหินอ่อน หรือ Cuevas de Mármol ตั้งอยู่ในปาตาโกเนียในทะเลสาบเจเนอเรล คาร์เรรา (Lake General Carrera) ของประเทศชิลี และ ทะเลสาบบัวโนสไอเรส (Lake Buenos Aires) ของทางฝั่งประเทศอาร์เจนตินา ถ้ำหินอ่อนเกิดขึ้นจากการกัดเซาะ และแรงกระทบจากคลื่นของน้ำทะเล จนมีลักษณะเป็นรูปร่างเหมือนประติมากรรมกลางทะเลสาบน่านน้ำอาร์เจนตินาเช่นนี้ค่ะ ถ้ำหินอ่อนมีอายุมากกว่า 6,200 ปีมาแล้ว ซึ่งถูกกระแสน้ำซัดกัดเซาะหินอ่อนมาตลอด สีสันที่เห็นได้ตามภาพนั้นไม่ใช่สีของหินอ่อนที่แท้จริงนะคะ นั่นคือสีที่หินอ่อนกระทบกับสีของน้ำในทะเลสาบ จึงเกิดสะท้อนเป็นสีสันสวยงามเต้นระบำอยู่บนชั้นหิน ซึ่งตลอดทั้งปีสีสันเหล่านี้ก็จะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของวัน และฤดูกาลด้วยค่ะ ซึ่งช่วงเวลาที่แนะนำมากที่สุด สำหรับใครที่อยากได้ภาพสวย กับสีสดๆ นั้นก็คือ ช่วงเช้าค่ะ เพราะถ้าเป็นช่วงกลางวันถึงเย็นไปแล้วแดดจะเริ่มตก ทำให้การเกิดการสะท้อนจะไม่สามารถลอดเข้าถึงด้านในของถ้ำได้ดีเท่าช่วงเช้า

การเดินไปสำรวจถ้ำหินอ่อนนั้นจำเป็นต้องโดยสารเรือเล็กเท่านั้นค่ะ ขนาดประมาณ 4-6 คนนั่ง เพราะการจะเข้าไปใกล้ชิดด้านในของถ้ำนั้นจะต้องลอดช่องแคบๆ เข้าไป ระยะเวลาของทัวร์อยู่ที่ประมาณ 30 นาที รวมไปกลับจากฝั่ง

 

เที่ยวซานติอาโก (Santiago)

ซานติเอโก เมืองหลวงของประเทศชิลี เป็นศูนย์กลางของความเจริญของประเทศ มีประชากรหนาแน่นมากที่สุด และเมืองที่ใหญ่ที่สุดของชิลีค่ะ เมืองนี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1541 ซานติเอโกเป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมทางการเมือง แหล่งการเงินของประเทศ ที่นี่คือเมืองที่รวบรวมสถาปัตยกรรมยุคเก่าแก่ตั้งแต่สมัยก่อนศตวรรษที่ 19 ของอเมริกาใต้ ด้วยความหลากหลายของเมืองซานติเอโกนั้น ทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นย่านที่อยู่อาศัย เส้นถนนต่างๆ ในเมืองนั้นก็จะเต็มไปด้วยผู้คนที่หลงใหลในศิลปะของความเป็นอยู่ อีกทั้งแกลลอรี่ที่รวบรวมงานศิลปะ ร้านค้าริมถนนที่ตกแต่งอย่างน่ารัก และตลาดของแฮนด์เมดที่เหมาะกับการหาของฝากที่ไม่เหมือนใคร

ย่านดาวน์ทาวน์ของซานติเอโกนั้น ถือเป็นจุดรวมตัวของนักท่องเที่ยวที่ พลาซ่าเดอมาส (Plaza de Armas) จัตุรัสสำคัญเก่าแก่ของเมืองหลวงแห่งนี้ ภายในอาคารนั้นมีที่ทำการไปรษณีย์ ที่ทำการของของรัฐบาลท้องถิ่น และเป็นที่ตั้งพระที่นั่งของอัครสังฆราชแห่งซานติอาโกเดอชิลี อีกหนึ่งจุดเด่นของเมืองหลวงนี้นั่นก็คือ วิวทิวทัศน์รอบๆ เราสามารถมองเห็นเทือกเขาแอนดีสเป็นแบล็คกราวได้อย่างชัดเจน

 

เที่ยวอุทยานแห่งชาติเลากา (Lauca National Park)

อุทยานแห่งชาติเลากา ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบสูงของเทือกเขาแอนดีสทางตอนเหนือสุดของชิลี ติดกับเขตแดนระหว่างประเทศโบลิเวีย และเปรู สภาพภูมิประเทศกึ่งทะเลทราย มีพื้นที่กว้างกว่า 1,379 ตารางกิโลเมตร อุทยานแห่งชาติเลากาคือ เขตสงวนชีวมณฑล หรือ  Reserve of the Biosphere ของประเทศชิลี อุทยานแห่งนี้มีหลายอย่างที่ให้เราได้ตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อยเลยค่ะ ทั้งสัตว์ พืช และวิวทิวทัศน์ เหล่าสัตว์มากมายกว่า 100 สายพันธุ์ เช่น สัตว์ตระกูลลามะ หรือ อัลปากา และสัตว์ใกล้สูญพันธุ์อย่าง วิคูนา ที่ถูกเรียกว่า ราชินีแห่งเทือกเขาแอนดีส อีกทั้งยังมีนกอีกหลายชนิด เช่น นกกระทา นกแขวก นกฟลามิงโกชิเลียน นกเป็ดน้ำยักษ์ นกเหยี่ยว และแร้ง นั้นจะทำให้เราเพลิดเพลินไปกับการเดินทัวร์อุทยานเลียบริมทะเลสาบชุงการาที่ลึกถึง 33 เมตร ซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักให้กับเหล่าสัตว์ทั้งหลายมารวมตัวกันนั่นเองค่ะ

นอกจากสัตว์หายากแล้ว ไฮไลท์ของอุทยานแห่งชาติเลากาอีกอย่างก็คือ ภูเขาไฟที่ตั้งเด่นอยู่กลางอุทยานทั้ง 3 ลูกอย่าง ภูเขาไฟปารินาโคตา ภูเขาไฟพอเมอเรป และภูเขาไฟอะโคตันโด ซึ่งมีความสูงอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 600 เมตร ปกคลุมด้วยไปหิมะขาวตลอดทั้งปีเลยจ้า ถึงที่นี่จะมีภูมิประเทศกึ่งทะเลทราย แต่ด้วยที่ตั้งบนที่ราบสูงนั้นทำให้อากาศในเขตสงวนนี้ค่อนข้างหนาวเย็น อุณหภูมิโดยเฉลี่ยต่อปีในตอนกลางวันจะอยู่ที่ประมาณ 20 องศาเซลเซียส และต่ำสุดในช่วงเวลากลางคืนอยู่ที่ -3 ถึง -25 องศาเซลเซียสเลยค่ะ

 

เที่ยวธารน้ำแข็งซานราฟาเอล (San Rafael Glacier)

ซานราฟาเอลกลาเซียร์ ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ และสำคัญที่สุดของประเทศชิลี ตั้งอยู่ในเขตเส้นศูนย์สูตรบนทะเลน้ำแข็งแห่งพาทาโกเนียน ซึ่งธารน้ำแข็งแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ทะเลสาปซานราฟาเอล (Lake San Rafael) ในเขตอุทยานแห่งชาติลากูน่าซานราฟาเอล (Laguna San Rafael National Park) ธารน้ำแข็งแห่งนี้ได้รับความนิยมน้อยที่สุด ถ้าเทียบกับธารน้ำแข็งอื่นๆ ในพาทาโกเนียน แต่แน่นอนว่าถ้ามาถึงชิลีแล้วเราก็ไม่ควรพลาดค่ะ การเดินทางไปซานราฟาเอลกลาเซียร์นั้นต้องใช้การพายเรือคายัคเข้าไปเท่านั้น นี่คือหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ที่นี่ได้รับความสนใจน้อยจากนักท่องเที่ยว เพราะการเข้าถึงนั้นไม่สะดวกเข้ากับธารน้ำแข็งอื่นๆ ค่ะ

เมื่อทัวร์คายัคสำรวจธารน้ำแข็งไปถึงจุดหมายแล้ว เราจะได้เจอกับก่อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่ปลายสุดของทะเลสาบซานราฟาเอลที่มีความกว้างราวๆ 4 กิโลเมตร และสูงจากระดับน้ำ 70 เมตร การพายคายัคนั้นจำเป็นต้องรักษาระยะห่างจากธารน้ำแข็งพอสมควรเพื่อปกป้องอันตราย เนื่องจากธารน้ำแข็งซานราฟาเอลนั้นยังมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา อาจจะทำให้เกิดคลื่นมากระทบกับเรือ และควรเตรียมตัวรับมือกับเสียงดังอย่างรุนแรงของก้อนน้ำแข็งที่แตกออกด้วยนะคะ

 

เที่ยวอนุสรณ์สถานธรรมชาติลอสพินกวินอส (Los Pingüinos Natural Monument)

อนุสรณ์สถานธรรมชาติลอสพินกวินอส อาณานิคมของเหล่าเพนกวินที่ใหญ่ที่สุดในชิลี ซึ่งที่นี่เป็นที่อยู่ของเพนกวินแมกเจลแลน (Magellanic Penguin) กว่า 60,000 คู่ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองปุนตาอาเรนัส (Punta Arenas) ซึ่งเป็นเกาะหลักทางภาคใต้ของชิลีออกไป 32 กิโลเมตร ตัดผ่านเข้าไปในช่องแคบมาเจลลัน (Strait of Magellan)

ด้านในของอนุสาวรีย์ธรรมชาติเพนกวินอสนั้นจะมีสองเกาะหลัก ได้แก่ เกาะแมกดาเลนา และเกาะมาร์ตา เป็นสถานที่สำคัญสำคัญเหล่าเพนกวินในฤดูผสมพันธุ์ เกาะแมกดาเลนา (Magdalena Island) มีขนาดกว้างราว 85 ตารางกิโลเมตร และได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากกว่าเกาะมาร์ตา (Marta Island) ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าอยู่ที่ 12 ตารางกิโลเมตร ทั้งสองเกาะนี้อยู่ที่ความดูแลขององค์กรป่าสงวนแห่งชาติคอร์ปอเรชั่น (National Forest Corporation of Chile, CONAF)

นอกจากนี้ที่นี่ไม่ได้มีแค่แต่เพนกวินเท่านั้น เราอาจจะได้เจอกับสัตว์ทะเลอื่นๆ ที่อาศัยอยู่แถบนี้เช่น สิงโตทะเล แมวน้ำขนอเมริกัน นกกาน้ำสีดำขนปุยที่มีต้นกำเนิดในอเมริกาใต้ค่ะ และนกนางนวลโลมาเป็นนกหายากใกล้จะสูญพันธุ์ สำหรับการเดินทางมาอนุสาวรีย์ธรรมชาติเพนกวินอสนั้นจะต้องนั่งเรือข้ามฟากจากท่าเรือเมืองปุนตาอารัส ใช้เวลา 5 ชั่วโมงในการเดินเรือไปกลับ และเที่ยวเรือจะข้ามฟากนั้นจะมีเฉพาะวันอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์ ของช่วงเดือนธันวาคม ถึง กุมภาพันธ์เท่านั้นค่ะ เรือจะพาเราไปส่งยังเกาะแมกดาเลนา สามารถเดินเล่นถ่ายรูปกับเหล่าเพนกวิน และสัตว์ทะเลทั้งหลายได้ 1 ชั่วโมงครึ่ง ค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนี้จะอยู่ที่ประมาณ 50,000 เปโซชิลี หรือ 2,400 บาท สำหรับผู้ใหญ่ และเด็กจะอยู่ที่ 25,000 เปโซชิลี หรือ 1,200 บาทค่ะ สามารถดูข้อมูลทัวร์เพิ่มเติม และจองตั๋วล่วงหน้าได้ที่ https://www.lonelyplanet.com/chile/punta-arenas/activities/magdalena-island-penguin-boat-tour-by-boat-from-punta-arenas/a/pa-act/v-6315PRTMAG/363290

 

เที่ยวพูคอน (Pucón)

พูคอน เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ในเชิงเขาของเทือกเขาแอนดีส ห่างออกไปทางตอนใต้ของซานติเอโกประมาณ 780 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของทะเลสาบทะเลสาบบียาร์รีกา (Lake Villarrica) และสามารถมองเห็นภูเขาไฟบียาร์รีกา (Villarrica Volcano) ที่ห่างออกไป 17 กิโลเมตรได้อย่างชัดเจน เราจะเห็นจากตัวเมืองได้เลยว่าภูเขาไฟแห่งนี้นั้นยังคงปะทุอยู่ตลอดเวลา เพราะความร้อนที่ตกกระทบกับปลายยอดเขาสูงที่มีหิมะปกคลุมนั้นทำให้เกิดกลุ่มควันขนาดใหญ่ค่ะ พูคอนถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ชอบกิจกรรมการแจ้ง และแอดเวนเจอร์ ดังนั้นเมืองเล็กๆ แห่งนี้จึงดึงดูดผู้คนได้เป็นอย่างมากเนื่องจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของเมืองที่มีความโดดเด่น ทั้งภูเขาไฟ ทะเลสาบ น้ำตกในเขตอนุรักษ์ รวมถึงน้ำพุร้อนด้วยค่ะ

ในช่วงฤดูร้อนนักท่องเที่ยวจะเริ่มหนาแน่นขึ้น เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการสนุกไปกับกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น การเดินป่า ล่องแพ ขี่ม้า ดูนก ตกปลา เล่นเรือใบ อาบแดดที่หาดทรายสีขาว ปลายาบลังกา(Playa Blanca) เที่ยวชมแม่น้ำทรานคูรา (Trancura River) แม่น้ำสายหลักของเมือง พายเรือคายัค สำรวจสำรวจหลุมอุกกาบาต และเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติบียาร์รีกา นอกจากนี้ใครที่มาเที่ยวชิลีในช่วงฤดูหนาวสำหรับสายลุยก็ห้ามพลาดที่จะไปเล่นสกี หรือสโนว์บอร์ดบนเนินเขาของภูเขาไฟบียาร์รีกานะคะ

 

เที่ยวบัลปาราอิโซ (Valparaiso)

บัลปาราอิโซ เรียกสั้นๆว่า บัลโป ( Valpo) “หุบเขาสวรรค์แห่งชิลี” หนึ่งในเมืองท่าที่สำคัญที่สุด และเป็นแหล่งศูนย์กลางของวัฒนธรรม ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศห่างจากเมืองหลวงซานติเอโกออกไป 120 กิโลเมตร เมืองแห่งสีสันของวัฒนธรรมโบฮิเมียน ไม่ว่าจะเดินไปมุมไหนๆ ของเมืองก็จะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวเรือ การเป็นอยู่ที่เรียบง่ายราวกับศิลปะที่ไร้กฎเกณฑ์ใดๆ สีสันของตึกราบ้านช่อง สถาปัตยกรรมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มีเนินเขาสูงเหมือนลักษณะอัฒจันทร์ ที่ธรรมชาติสรรสร้างเป็นเอกลักษณ์ของเมือง

นอกจากการเดินเที่ยวชมเมือง ถ่ายรูปกับจิตรกรรม เพลิดเพลินกับศิลปะและเตินตามริมทางถนนแล้ว การขึ้นไปบนยอดเขาชมวิวของเมืองเป็นอีกอย่างที่เราขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดค่ะ การนั่งกระเช้าไฟฟ้าในบัลปาราอีโซเป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ เมื่อไปถึงจุดหมายบนยอดเขาแล้ว เราจะได้เห็นวิวทิวทัศน์รอบเมืองบัลปาราอีโซเต็มๆ ตา ความสวยงามของภูมิทัศน์เมืองท่าเรือ และมหาสมุทรแปซิฟิก ยิ่งถ้าเป็นเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ฟ้าเริ่มมืด เมืองทั้งเมืองค่อยๆ ถูกประดับไปด้วยดวงไฟน้อยๆ จากบ้านทีละหลัง บอกเลยว่าโมเม้นต์นี้โรแมนติกสุดๆ ไปเลยค่า ฮิ้ววว ><