เที่ยวโครเอเชีย (Croatia) ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวแห่งยุโรป “สาธารณรัฐโครเอเชีย” ตั้งอยู่ระหว่างยุโรปกลาง ใต้ และตะวันออก ล้อมรอบไปด้วยทิวทัศน์ของน้ำทะเลสีฟ้าใสที่ทอดยาวเหนือจรดใต้ราวกับภาพวาดของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เรียกได้ว่าเป็นมนต์เสน่ห์แห่งโครเอเชีย ที่นี่ได้รวบ 10 มรดกโลกทางวัฒนธรรม และธรรมชาติ ที่ใครได้มาบอกเลยว่าสุดคุ้มไปกับการท่องเที่ยวเมืองเก่าแสนงดงาม ตามแบบฉบับกรีกโรมัน และพลาดไม่ได้!! สาวก Game of Thrones ต้องจัดอันดับให้โครเอเชียขึ้นแท่นเป็น Life’ s bucket list แล้ววว ><” เกริ่นมาขนาดนี้แพลนเที่ยวยุโรปรอบนี้สนุกกว่าครั้งไหนๆ แน่น๊อนนนน
*******************



เที่ยวดูบรอฟนิก (Dubrovnik)


ดูบรอฟนิก ตั้งอยู่ทางตอนใต้บนชายฝั่งดัลเมเชี่ยน โอบล้อมด้วยทะเลอาเดรียติกสีฟ้าใสทอดยาวราวกับภาพวาด ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ “ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก” City of Dubrovnik ถูกยกให้เป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโกในปี ค.ศ.1979 และยังเป็นที่ตั้งของเมือง King’ s Landing ในเรื่อง Game of Thrones อีกด้วย สำหรับสาวกซีรี่ย์เรื่องนี้บอกเลยว่าแลนด์มาร์คเพียบ! เตรียมมาร์คจุดตามซีรี่ย์ไว้ถ่ายรูปกันได้เลย แน่นอนว่านอกจากชื่อเสียงอันโด่งดังของซีรี่ย์ยอดฮิตที่ตอนนี้มีมาแล้วถึง 8 ซีซั่น ทำให้มีนักท่องเที่ยวที่เป็นแฟนๆ ของซีรี่ย์ให้ความสนใจที่จะมาเยี่ยมชมสถานที่ถ่ายทำจริงเยอะขึ้น เราสามารถจ้างไกด์ให้นำเที่ยวของ Game of Thrones ได้โดยเฉพาะเลยค่ะ จัดไปให้หนำใจเก็บให้ครบทุกจุดไฮไลท์ห้ามพลาด อินและฟินแบบจุกๆ กันไปเลยค้าบบ

ส่วนใครที่ไม่ได้เป็นแฟนซีรี่ย์ขอบอกเลยว่าดูบรอฟนิกเหมาะสำหรับ ชาวอินสตราแกรมเมอร์ สายโซเชียล มีจุดเช็คอินให้ถ่ายรูปโพสต์อวดฟอลโล่เวอร์เพียบ! กำแพงเมืองเก่าดูบรอฟนิก (The Old City Walls of Dubrovnik) เป็นหนึ่งสถานที่ที่มีชื่อเสียงระดับโลกที่นักท่องเที่ยวหลายคนยกให้เป็นหนึ่งแลนด์มาร์คในฝัน ที่นี่คือเสื้อเกราะชั้นดีในยุคสงคราม 100 ปี แต่สำหรับนักท่องเที่ยวกำแพงเมืองดูบรอฟนิกคือ จุดชมวิวที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเมือง เราสามารถเดินเล่นสบายๆ ทอดมองไปยังทิวทัศน์อันงดงามทะเลเอเดรียติก หรือจะหันหน้าเข้าฝั่งที่สามารถมองเห็นใจกลางเมืองเก่าที่มีเสน่ห์แห่งนี้ได้อย่างเต็มตา แต่แนะนำว่าให้มาช่วงฤดูใบไม้ผลิระหว่างเดือนมีนาคม ถึง มิถุนายน หรือ จะเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงในเดือนสิงหาคม ถึง ตุลาคม 2 ช่วงเวลานี้อากาศเหมาะกับการเดินเที่ยวแบบสบายๆ อยู่ที่ 8 – 17 องศา สำหรับช่วงฤดูร้อนก็สามารถมาเที่ยวได้แดดดีเหมาะกับการถ่ายรูป แต่ห้ามลืมครีมกันแดดเด็ดขาดนะคะเพราะแดดแรงมากกกกกก ระวังผิวไหม้กันด้วยจ้า ในช่วงฤดูหนาวอากาศจะอยู่ที่ประมาณ ลบ 5 - ลบ 10 องศาใครที่ชอบอากาศหนาวก็สามารถมาได้ค่ะ แต่ว่าช่วงหน้าหนาวกับเมืองริมชายฝั่งแบบนี้อากาศจะปิดเวลาถ่ายรูปอาจจะหาแสงที่ดียาก

ยังมีจุดเช็คอินอื่นๆ อย่าง หอคอยมินเซต้า (Tvrdava Minceta) และ หอคอยโบก้า (Tvrdava Bokar) ที่ตั้งอยู่ในเขตของ 2 ป้อมปราการได้แก่ ป้อมปราการเซนต์ลอว์เรนซ์ (Fort Lovrjenac) ที่มีลักษณะเป็นเกาะเล็กๆ ยื่นออกมาจากตัวเมืองอย่างโดดเด่น และ ป้อมปราการ (Revelin Fortress) ซึ่งป้อมปราการทั้งสองนั้นสามารถเข้าชมได้โดยต้องผ่านประตูเมืองพาล์ย (Pile Gate) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่ต้องแวะถ่ายรูป ไฮไลท์หลังประตูเมืองแห่งนี้ก็คือ มุมถ่ายรูปที่สามารถมองเห็นเมืองเก่าดูบรอฟนิกได้แบบ 360 องศา จากป้อมปราการเซนต์ลอว์เรนซ์นั่นเองค่ะ เตรียมชุดไปให้พร้อม หาท่าโพสไว้รอได้เลยนะจ๊ะ เพราะรับประกันว่ารูปจะต้องออกมาสวยยอดไลค์พุ่งกระฉูด >O<” สำหรับค่าเข้าชมสำหรับผ่านเข้าประตูเมืองจะอยู่ที่ 50 คูน่า หรือประมาณ 250 บาทต่อคน แต่สำหรับใครที่สนใจทัวร์ Game of Thrones หรือ ทัวร์เมืองเก่า ราคาอยู่ที่ 190 คูน่า หรือประมาณ 900 บาทเท่านั้นค่ะ ระยะเวลาทัวร์ 2 ชั่วโมง ไกด์สุดแสนจะเฟรนด์ลี่ได้เก็บครบทุกจุดสำคัญ มีแต่คุ้มกับคุ้มนะเนี๊ย!!

นอกจากนี้ยังมี อาคารศาลาว่าการประจำเมือง (City Hall) หอระฆัง (Bell Tower) โรแลนด์ คอลัมน์ (Roland’ s Column) ลานน้ำพุมินิโอโนฟริโอ (Grand Fountain of Onofrio) รวมถึงพระราชวังอีกสองแห่ง นั่นก็คือ พระราชวังสปอนซา (Sponza Palace) และพระราชวังเรคเตอร์ส (Rector’ s Palace) อ่อ! สาวกซีรี่ย์ Game of Thrones อย่าลืมแวะไป ท่าเรือฝั่งตะวันตก (West Harbour) ที่เป็นอีกมุมยอดฮิตจากซีรี่ย์ด้วยน้า ไปเดินชิวๆ ถ่ายรูปกันแบบหนำใจเลยจ้า





















แต่...ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ดูบรอฟนิกมีเคเบิ้ลคาร์ให้เราขึ้นไปชมเมืองแบบเต็มอิ่มจุใจด้วยน้า ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเช็คลิสต์ Don’ t Miss! ตั๋วจะมีทั้งแบบไปกลับ หรือ รอบเดียว แล้วแต่ว่าใครอยากจะนั่งลงหรือขึ้นเลือกได้เลยค่ะ ราคาจะอยู่ที่ 30 คูน่าต่อ 1 เที่ยวหรือประมาณ 140 บาท และ 50 คูน่าสำหรับ Round Trip ประมาณ 250 บาทสำหรับผู้ใหญ่ เด็กอายุระหว่าง 4 -12 ปี 15 คูน่าหรือ 70 บาท และแบบ Round Trip 20 คูน่า ประมาณ 92 บาท เด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี ขึ้นฟรีนะค้า ระยะทางในการนั่งเคเบิ้ลคาร์ชมเมือง 10 นาทีนี้อาจจะเก็บไปฝันต่อได้อีก 10 วันเลยนะคะ บ้านเมืองและทิวทัศน์ด้านหลังที่สวยงามราวกับภาพวาดชั้นดี ถ้าได้มากับคนรักด้วยคงสุดแสนจะโรแมนติ๊ก โรแมนติก ♡





 
*******************



เที่ยวทะเลสาบพลิตวิเซ่ (Plitvice Lakes) หรือ อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิตวิเซ่ (Plitvice Lakes National Park)


อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิตวิเซ่ เป็นอุทยานที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุด อุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตภูเขาของเทือกเขา Mala Kapela และเทือกเขา LičkaPlješivica เป็นหนึ่งในสถานที่ที่สวยและมีชื่อเสียงที่สุดโครเอเชีย มีเส้นทางเดินเท้าที่ง่าย ให้นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดินได้ตามระยะทางที่ต้องการทั้งหมด 7 เส้นทางระยะเวลาก็จะแตกต่างกันออกไปตั้งแต่ 2 ชั่วโมงจนถึง 8 ชั่วโมง ตามเส้นทางเดินของอุทยานแห่งนี้จะคล้ายกับเราเดินอยู่เหนือพื้นน้ำสีฟ้าคราม และมีไฮไลท์คือ จุดชมวิวที่สวยงาม มีภาพพื้นหลังประกอบฉากด้วยน้ำตกที่เป็นจุดถ่ายรูปเช็คอิน ถ้ามองลงไปจะเห็นทะเลสาบสีเขียวใสราวกับมรกต

ด้วยความงดงามและความสมบรูณ์ของธรรมชาติ ที่นี่จึงถูกยกให้เป็น อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของโครเอเชีย และรับการยกย่องให้เป็น ทะเลสาบที่มีความสวยงามและโดนเด่น โดยองค์การยูเนสโกได้เพิ่มลงในรายชื่อมรดกโลกในปี 1977 อุทยานแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยพืชพรรณไม้ป่าเป็นหลัก หัวใจหลักอย่างทะเลสาบพลิตวิเซ่นั้นเป็นเพียงแค่ 1% ของอุทยานแห่งชาตินี้เท่านั้น สำหรับใครที่อยากมาชื่นชมธรรมชาติกับวิวทะเลสาบกลางป่าที่สวยจนอาจจะเผลอหยุดหายใจไปเลย อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิตวิเซ่เปิดให้เข้าชมตลอดทั้งปีไม่มีวันหยุด ไปต่างฤดูก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศที่ต่างกันในทุกๆ ช่วงปีนะคะ

สำหรับค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 250 คูน่าหรือประมาณ 1200 บาท และใครที่ถือบัตรนักเรียนจะได้รับส่วนลดเหลือเพียง 160 คูน่า ประมาณ 750 บาทเท่านั้น ถ้าไม่มีเวลามากนักอย่างจะแค่แวะชมขอแนะนำเป็นเส้นทาง A เลยค่ะ ระยะเวลาของเส้นทางนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2 -3 ชั่วโมง ได้เห็นทั้งทะเลสาบ แวะจุดถ่ายรูปสุดฮิต นั่งริมทะเลสาบโพสต์ท่าถ่ายรูปสวยๆ อวดเพื่อน ลงสตอรี่ไอจี แค่นี้ก็เลิศแล้วค่าาา

















 
*******************



เที่ยวเมืองฮวาร์ (Hvar Town)


เกาะฮวาร์ เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงที่สุดของโครเอเชียตั้งอยู่กลางชายฝั่งดัลเมเชี่ยน ใช้เวลานั่งเรือข้ามฟาก 2 ชั่วโมงจากเมือง Split เมืองนี้ยังคงไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่อุดมสมบูรณ์แบบ แถมยังเป็นเมืองท่าที่สามารถมากขึ้นเรือเพื่อออกไปท่องเที่ยวได้อีกด้วยค่ะ นี่คือจุดเด่นของเมืองฮวาร์เลย เพราะถ้าใครมาเยี่ยมชมเมืองนี้จะได้เห็นเรือยอชต์จอดเรียงรายกว่าหลายร้อยลำ เพื่อรอให้บริการนักท่องเที่ยวที่รักการล่องเรือ สังสรรค์ปาร์ตี้บนเรือนั่นเองค่ะ

เกาะฮวาร์ถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้นๆ แหล่งท่องเที่ยวชั้นเยี่ยมของโครเอเชีย ครึกครื้นสุดๆ ในช่วงฤดูร้อนเพราะเมืองนี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ใครที่กำลังตามหาเมืองพักร้อนที่ดีที่สุดอยู่แล้วละก็ เมืองนี้มีกิจกรรมมากมายเช่น การล่องเรือยอชต์สุดหรูหรา ชมทุ่งลาเวนเดอร์ เยี่ยมเยือนหมู่บ้านโบราณ เที่ยวไร่องุ่นบนเขา ไนท์ปาร์ตี้ที่คนรักการเที่ยวกลางคืนห้ามพลาด ให้เราเลือกได้อย่างอิสระ หนึ่งเมืองสวรรค์แห่งการพักผ่อนที่หลายคนวาดฝันค่ะ













 
*******************



เที่ยวเมืองโรวินจ์ (Rovinj)


เมืองโรวินจ์ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของทะเลเอเดรียติก หนึ่งในเมืองที่สวยงามที่สุดในมหาสมุทรเมดิเตอร์เรเนียน เมืองแห่งรีสอร์ตและการท่องเที่ยวสุดยอดนิยม มีรีสอร์ตสวยๆ สไตล์ยุโรป ให้เลือกเข้าพักมากมายแถมยังขึ้นชื่อเรื่องความเป็นส่วนตัวสูงมาก ไม่วุ่นวาย ที่นี่เป็นเมืองท่าโบราณของโครเอเชียทางชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิสเตรีย (Istria Peninsula) มี 2 ภาษาทางการ ทั้งอิตาลีและโครเอเชีย เนื่องจากในยุคก่อนมีการค้าขายระหว่างประเทศกับอิตาลี รวมถึงการอพยพทำให้เราสามารถเจอคนอิตาลีได้ทั่วไปค่ะ ลักษณะเมืองนี้เป็นชุมชนหนาแน่นจนติดชิดขอบทะเล ที่พักอาศัยจะถูกปลูกสร้างบนเนินเขาเตี้ยๆ ที่ห้อมล้อมไปด้วยโรงแรมสไตล์รีสอร์ทยาวตลอดทั้งทางทิศเหนือและทิศใต้ของเมือง ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยคาบสมุทรที่มีรูปร่างเหมือนไข่ มีหอคอยโบสถ์ที่สูงเด่นอยู่กลางเมืองเป็นเอกลักษณ์ หอคอยแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ โบสถ์เซนต์ยูโฟเมีย (The Church of St. Euphemia) หรือที่รู้จักกันในนามมหาวิหารแห่งเซนต์ยูโฟเมีย ลักษณะเป็นโบสถ์สไตล์บาโรกตั้งอยู่ในใจกลางย่านประวัติศาสตร์ของเมืองโรวินจ์ โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1725–36 โบสถ์คริสเตียนยุคแรก หลักฐานการอุทิศตนของนักบุญจอร์จและยูโฟเมีย แต่ปัจจุบันอุทิศให้กับนักบุญยูเฟเมียเท่านั้น อีกหนึ่งอาคารถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1883 เพื่อเก็บพระบรมธาตุของนักบุญยูเฟเมีย ได้มีการเก็บรักษาไว้ในโลงศพโรมันจากศตวรรษที่ 6 โบสถ์แห่งนี้มีสมบัติและงานศิลปะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นโกธิคจากศตวรรษที่ 15 ภาพวาดจากศตวรรษที่ 16 และ 17 เช่น รูปภาพพระกระยาหารมื้อสุดท้าย และพระคริสต์ในเกทเสมนี ไฮไลท์คือ หอระฆังมีลักษณะคล้ายหอคอยของมหาวิหารเซนต์มาร์กในเวนิส ที่ไม่ว่าเราจะอยู่มุมในของเมืองนี้เราก็จะสามารถเห็นหอคอยแห่งนี้ได้ การออกแบบทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของประติมากรชาวเวนิส ชื่อว่า จีโรลาโม ลอเรียท (Girolamo Laureate) ชาวอิตาลีค่ะ

นอกจากประวัติศาสตร์แล้วยังมีอีกหนึ่งจุดพักสุดฮิตของเมืองนี้นั่นก็คือ อ่าวโลน (Lone Bay) ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองโรวินจ์หนึ่งในชายหาดหินกรวจของหมู่เกาะโรวินจ์ จาก 14 เกาะที่อยู่นอกเขตเมือง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของคาบสมุทรอิสเตรียในช่วงฤดูร้อน และได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากค่ะ



















 
*******************



เที่ยวเมืองซาเกร็บกอร์นจิกราด (Zagreb's Gornji Grad)


ซาเกร็บ เป็นเมืองหลวงของประเทศโครเอเชีย กอร์นจิกราด หนึ่งในเขตของเมืองหลวงซาเกร็บ ที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง ในที่รู้จักกันว่า Upper Town เราจะได้เจอกับบรรยากาศของยุดกลางในกอร์นจิกราด เขตเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเมืองหลวงแห่งนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่งเช่น โบสถ์เซนต์มาร์ค (St. Mark's Square) โบสถ์ศตวรรษที่ 13 หนึ่งในอาคารที่โดดเด่นที่สุดของซาเกร็บ ตกแต่งด้วยหลังคามุงกระเบื้องสีสันสดใสสร้างขึ้นในปี 1880 ตัวอาคารจะมีสัญลักษณ์ของชาวโครเอเชียน ดัลเมเชี่ยน และสโลวาเนียอยู่ทางด้านซ้าย ในฝั่งขวาจะเป็นสัญลักษณ์ของชาวซาเกร็บ ระหว่างทางเดินผ่าน ประตูเมือง (Stone Gate) เผื่อไปยังโบสถ์เราก็จะได้เจอกันแผ่นหินสักรูป และประวัติบุคคลสำคัญแห่งโครเอเชียใน Plaque of Nikola Tesla นิโคลา เทสลา คือบุคคลสำคัญชาวโครเอเซียน ผู้คิดค้นเรื่องกระแสไฟฟ้าและสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้เราได้ใช้กันทุกวันนี้ค่ะ โครเอเชียเป็นประเทศที่ทุกๆ เมืองจะมีป้อมปราการเพื่อใช้ในการต่อสู้สงครามสมัยก่อน เมืองหลวงแห่งนี้มี หอคอยลอทร์สชาค (Lotrščak Tower) หรือ “หอระฆังแห่งโจร" เล่ากันว่าจะมีเสียงระฆังดังเป็นสัญญาณเตือนก่อนประตูเมืองปิดเพื่อตั้งรับการโจมตีค่ะ ป้อมปราการถูกสร้างขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ในครั้งประวัติศาสตร์ที่สร้างไว้สู้รบกับตุรกี ปัจจุบันซึ่งทุกๆ เที่ยงวันจะมีการยิงปืนใหญ่เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นและทำสืบทอดกันมาเป็นร้อยปีแล้วค่ะ ด้านบนสุดของหอคอยสามารถขึ้นไปถ่ายรูปชมวิวได้ เป็นหนึ่งในจุดชมวิวยอดนิยม และจุดถ่ายรูปที่ดีเพราะเราจะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้จากมุมนี้จ้า

อีกหนึ่งกิจกรรมสายเจ้าแม่คาเฟ่พลาดไม่ได้! ต้องแวะไป Tkalčićeva Street ดูสักครั้งนะคะ ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สามารถมองเห็นวิวของเมืองซาเกร็บได้ ถนนเส้นนี้จะเต็มไปด้วยร้านอาหาร บาร์ และคาเฟ่ อาคารตกแต่งด้วยสีสันน่ารั๊กน่ารัก เหมาะแก่การถ่ายรูปแบบวินเทจมากค่ะ น้อยมากๆ ที่จะเจอย่านคาเฟ่คิ้วท์ๆ ในยุโรปที่อยู่ท่ามกลางประวัติศาสตร์หลายยุคแบบนี้ คำเตือน! ระวังติดใจจนไม่อยากกลับนะจ๊ะ><”























 
*******************



เที่ยวพระราชวังไดโอคลีเชียน (Diocletian's Palace in Split)


พระราชวังไดโอคลีเชียน เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่ถูกอนุรักษ์ไว้อย่างสมบรูณ์แบบที่สุด ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1979 เดิมแล้วพระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับช่วงฤดูร้อนของจักรพรรดิไดโอคลีเชียน แต่สำหรับแฟนๆ ซีรี่ย์ Game of Thrones ที่นี่มี มังกร!! พระราชวังแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังแห่งเมือง King’s Landing ซึ่งเป็นถ้ำใต้ดินลับที่พระมหากษัตริย์นั้นขังมังกรไว้ค่ะ แฟนตาซีมากสุดๆ แฟนซีรี่ย์ต้องฟินสุดๆ >.,< แต่ปัจบันพื้นที่ส่วนถ้ำใต้ดินนั้นถูกจัดไว้เป็นที่ขายของที่ระลึกค่ะ

เมื่อเดินลอดถ้ำใต้ดินผ่านเข้าประตูวังมาแล้วก็จะเจอกับโบสถ์คริสที่เก่าแก่ที่สุด มหาวิหารเซนต์ดอมิเนียส (Cathedral of Saint Domnius) เดิมแล้วโบสถ์แห่งนี้เป็นสุสานของจักรพรรดิไดโอคลีเชียนค่ะ ด้านบนของโบสถ์จะมี หอระฆังเซนต์ดอมิเนียส (the Belfry of Saint Domnius) ถ้าขึ้นไปถึงบนยอดหอคอยเราจะสามารถมองลงมาเห็นวิวของสปริตอย่างสวยงามเลยค่ะ

พระราชวังไดโอคลีเชียนจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนด้วยถนนสายหลักสองสาย ทางตอนใต้ของวังจะเป็นที่พักของจักรพรรดิ จะมีอาคารไว้เพื่อพิธีการทางศาสนา และกิจกรรมทางราชการ ทางฝั่งตอนเหนือจะเป็นที่สำหรับผู้พิทักษ์จักรพรรดิ ทหารคนรับใช้ และที่เก็บของในวัง ลักษณะของวังจะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีหอคอยขนาดใหญ่ 4 แห่งตั้งอยู่ตามมุมประตูแต่ละด้านทั้งสี่ด้าน และหอคอยขนาดเล็กสี่แห่งบนผนัง ส่วนล่างของผนังไม่มีช่องเปิด ที่ชั้นบนของอาคารจะเป็นระเบียงขนาดใหญ่อยู่ทางทางทิศใต้ มีห้องโถงตกแต่งด้วยหน้าต่างโค้งใหญ่ 3 ด้าน ภายในประดับตกแต่งไปด้านงานปั้นศิลปะอย่างสวยงาม ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาชาวเมืองพาเลซ และพลเมืองของสปลิตได้ดัดแปลงส่วนต่าง ๆ ของพระราชวังตามความต้องการของตัวเอง ดังนั้นอาคารภายในเช่นเดียวกับกำแพงด้านนอกที่มีหอคอยจึงถูกเปลี่ยนรูปลักษณ์จากเดิมไปค่ะ แต่โครงร่างของพระราชวังยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไฮไลท์ของพระราชวังแห่งนี้ต้องยกให้ ห้องด้นหน้าของพระราชวัง (Vestibule) ลานกว้างที่ล้อมรอบไปด้วยกำแพงหินสีขาวสูงโปร่งเป็นวงกลม ราวกับป้อมปราการกลางพระราชวัง ห้องโถงแห่งนี้ถูกเป็นทางเดินสำหรับจักรพรรดิเพื่อเข้าสู่ส่วนที่อยู่อาศัยของพระองค์ค่ะ สำหรับที่สนใจพระราชวังไดโอคลีเชียนเข้าชมได้ฟรี ไม่เสียเงินนะค้า













 
*******************



เที่ยวเมืองคอร์คูล่า (Korcula Town)


เกาะคอร์คูล่า มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของประเทศโครเอเชีย เกาะแห่งนี้มีชื่อเสียงในเรื่องป่าทึบและชาวกรีกโบราณ มีอีกชื่อเรียกว่า เกาะแบล็กคอร์คูล่า (Kerkyra melaina) ที่พักอาศัยส่วนใหญ่ในเมืองนี้จะเป็นรีสอร์ต เนื่องจากสิ่งก่อสร้างต่างๆ ถูกออกแบบตามยุคกลางของยุโรปที่นี่จึงถูกเรียกว่า "ลิตเติ้ล ดูบรอฟนิก Little Dubrovnik" มีทั้งจัตุรัสสมัยกลาง โบสถ์ พระราชวัง และบ้านเรือน คล้ายกับที่ เวล่า ลูก้า (Vela Luka) และ ลุมบาร์ดา (Lumbarda) ในเมืองดูบรอฟนิกนั่นเองค่ะ

คอร์คูล่าหนึ่งในเกาะทางใต้ที่เปรียบราวกับของล้ำค่าที่สุดของโครเอเชีย ถึงแม้อาจจะไม่ได้โด่งดังเท่ากับเกาะทางตอนเหนืออย่าง บรัค (Brac) และฮวาร์ (Hvar) ด้วยเพราะเกาะแห่งนี้อยู่ห่างออกไปจากเมืองใหญ่ๆ กว่าที่อื่น แต่การเดินทางก็สะดวกสบายด้วยบริการเรือข้ามฟากไปยังเกาะที่เปิดให้บริการในช่วงฤดูร้อนเท่านั้นนะจ๊ะ ใครที่มีแพลนจะมาเที่ยวเมืองนี้แนะนำแพลนทริปมาในช่วงซัมเมอร์นะคะ เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางค้าบ ^^

กิจกรรมหลักๆ สำหรับเกาะคอร์คูล่านั้นจะอยู่ในช่วงระหว่างเดือนของฤดูร้อน หรือช่วงพีคซีซั่น ประมาณกลางเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน จะมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามามากมายทั่วเมือง เพื่อมาร่วมสนุกสนานไปเพลิดเพลินไปกับ "มินิเทศกาล" ที่จะจัดงานรื่นเริงขึ้นในช่วงฤดูร้อน มีทั้งกิจกรรมการจัดนิทรรศการศิลปะ การแสดงพื้นบ้าน การร้องเพลงเต้นรำ และมีวงดนตรีของชาวประมงในช่วงเย็น หนึ่งในกิจกรรมหลักของเทศกาลนี้คือ การแสดงเต้นรำ Moreska ที่มีชื่อเสียงของโครเอเชีย ซึ่งจะมีเพียงสองครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้นค่ะ



















 
*******************



เที่ยวชายหาดซลาตนี่แรท (Zlatni Rat Beach)


ซลาตนี่ แรท หนึ่งในชายหาดที่สวยที่สุดบนชายฝั่งโครเอเชีย และเป็นจุดเช็คอินที่ดีที่สุดของ เมืองโบล (Bol) เป็นชายหาดที่มีรูปร่างแปลกตาคล้ายๆ ลิ้นที่ส่วนปลายเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับลมทะเลในแต่ละวัน ชายหาดแห่งนี้ยาวประมาณครึ่งกิโลเมตร สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของคาบสมุทรเมดิเตอร์เรเนียนได้แบบพาโนรามา เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่พื้นดินตั้งฉากกับแนวชายฝั่ง ชายหาดแห่งนี้ประดับประดาก้อนกรวดสีขาวละเอียดน่าเดินเล่นเป็นที่สุด นั่งโพสท่าถ่ายรูปใส่บิกินนี่ก็ไม่ต้องกลัวเจ็บจ้า ภายใต้น้ำทะเลใสสีเทอร์ควอยซ์ มีแนวปะการังใต้น้ำที่แพร่ขยายคล้ายรูปลิ้นขนาดเล็กลึกลงไป 500 เมตรในทะเล

หาดซลาตนี่ แรท อยู่ห่างจาก เมืองโบลเพียง 2 กิโลเมตร สามารถเดินทางไปยังชายหาดไม่ว่าจะด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือใครอยากเดินเล่นริมทะเลชิวจากตัวเมืองไปก็ได้นะคะ ใช้เวลาเดินริมทะเลเพียง 20 นาทีเท่านั้น และในช่วงฤดูร้อนทุกครึ่งชั่วโมงจะมีบริการของรถไฟท่องเที่ยวขนาดเล็กที่จะพาเราไปส่งที่ชายหาด ใครที่ชื่นชอบการว่ายน้ำดำน้ำ พายเรือ ขับเจ็ทสกี ชายหาดแห่งนี้ตอบโจทย์ทั้งเรื่องกิจกรรมและวิวทิวทัศน์ที่สุดแสนจะงดงาม นอกจากกิจกรรมใต้ท้องทะเลแล้ว ใครที่เป็นสายชิล เดินเล่น กินลม ชมวิว เน้นถ่ายรูปเก็บบรรยากาศ ที่ชายหาดแห่งนี้ก็มีทุกอย่างพร้อมอำนวยความสะดวกทั้งร้านอาหาร ร้านขนมต่างๆ ถูกใจกันทั้งครอบครัว และแก๊งเพื่อนซี้แน่น๊อน!

















 
*******************



เที่ยวอุทยานแห่งชาติคอร์นาติ (Kornati National Park)


อุทยานแห่งชาติคอร์นาติ ตั้งอยู่บนเนินเขาเกาะคอร์นาติ (Kornati Island) ถูกค้นพบว่ามีการตั้งถิ่นฐาน และการป้องกันจากมนุษย์ยุคหินใหม่ ได้สรุปว่าชาวลิเบียนเคยอาศัยอยู่ในหมู่เกาะช่วงยุคเหล็กและชาวโรมันเข้ามาอาศัยต่อ อุทยานแห่งชาติคอร์นาติถูกเรียกว่า "สวรรค์แห่งทะเล" ตามสื่อการท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาตินี้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะคอร์นาติ ที่ประกอบด้วยเกาะเล็กๆ ในเขตเกาะคอร์นาติ 140 เกาะ เป็นระยะ 300 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นหมู่เกาะหินโดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ระหว่างซีเบนิกและซาดาร์เป็นหมู่เกาะที่งดงามไม่มีผู้คนอยู่อาศัย เกาะที่ใหญ่ที่สุดมีชื่อว่า คอร์นาท (Kornat) บนเกาะแห่งนี้มีการตั้งรกรากถิ่นฐาน แม้ว่าจะไม่มีคนอาศัยอยู่โดยถาวร แต่จะมีบ้าน 2-3 หลังให้เช่า มีร้านอาหารสองแห่งเปิดเฉพาะในช่วงฤดูร้อน แต่บอกไว้ก่อนว่าที่พักเป็นเพียงที่พักธรรมดาไม่หรูหรา เหมาะสำหรับคนที่หนีความวุ่นวายมาเพื่อใช้ชีวิตเรียบง่าย ท่ามกลางธรรมชาติที่เลอค่ากว่าวัตถุที่สร้างขึ้น ใครติดหรูไม่แนะนำนะจ๊ะ

วิธีเดินทางไปอุทยานแห่งชาติคอร์นาติ จำเป็นต้องเดินทางด้วยเรือเพียงอย่างเดียว เราสามารถไปใช้บริการเรือขนส่งของคนเรือท้องถิ่น หรือตัวแทนท่องเที่ยวได้ที่เกาะ เมอร์เทอร์ (Murter) เป็นตั้งอยู่ทางฝั่งเหนือของชายฝั่งดัลเมเชี่ยน สำหรับราคาทัวร์ต่อวันมักจะอยู่ที่ประมาณ 35 - 40 ยูโรต่อคน หรือประมาณ 1200 – 1400 บาท ในราคานี้จะรวมค่าเรือ ค่าเข้าอุทยาน เครื่องดื่มต้อนรับ อาหารกลางวัน คู่มือท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังสามารถซื้อตั๋วกิจกรรมอื่นๆ เพิ่มได้สำหรับคนที่สนใจกะว่ามาครั้งเดียวก็ต้องจัดให้คุ้มไปเลยไม่ว่าจะเป็นการตกปลาและดำน้ำลึก สายลุย สายกิจกรรม Adventure กดไลค์ กดถูกใจ ทริปนี้รัวๆ เลยค่า



















 
*******************



เที่ยวเมืองเก่าโทรเกียร์ (Trogir)


โทรเกียร์ เมืองบนชายฝั่งเอเดรียติกตอนกลางของโครเอเชีย เมืองเก่าที่ถูกอนุรักษ์ไว้ เป็นที่รู้จักในด้านการผสมผสานของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอาคารแบบบาโรกและโรมันตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่และเกาะจิโอโว่ (Ciovo Island) ด้วยสะพานข้ามคลองเล็กๆ มีมหาวิหารเซนต์ลอว์เรนซ์แห่งศตวรรษที่ 13 ที่ตั้งของโบสถ์ยุคเรอเนซองส์ของเซนต์จอห์นและสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันกว้างไกลจากหอระฆัง บางส่วนของกำแพงเมืองในยุคกลางยังคงถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี เป็นเมืองเก่ายังคงรักษาอาคารที่คงสวยงามและสมบูรณ์แบบเอาไว้มากมาย ตั้งแต่ยุคแห่งความรุ่งเรืองในศตวรรษที่ 13 ถึง 15 และในปีค.ศ. 1997 ได้รับยกย่องให้เมืองนี้เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมและสมบัติทางศิลปะของโลก มีการสะสมอนุรักษ์อาคารแบบโรมาเนสก์และเรเนสซองไว้ได้อย่างทรงคุณค่า เมืองโทรเกียร์สามารถเดินทางมาจากเมืองสปริตอย่างสะดวกสบาย

การตั้งถิ่นฐานบนเกาะแห่งนี้มีอายุย้อนไปถึงยุคขนมผสมน้ำยาศิลปะ (Hellenistic period) หรือยุคที่มีการขยายตัวของอิทธิพลกรีกและเผยแพร่ความคิดของตนหลังจากการตายของอเล็กซานเดอร์ มีและได้มีการนำปรับมาใช้ให้เข้ากับยุคปัจุบัน ทุกตารางเมตรของเมืองโทรเกียร์นั้นเป็นศิลปะที่ยอดเยี่ยม ส่วนที่สวยที่สุดของเมืองคือ การเดินเล่นริมแม่น้ำรีว่า (Riva) เหมาะสำหรับคู่รักที่ไปพักผ่อนเสพศิลปะในเมืองเก่ายามฤดูร้อน และอย่าลืมแวะไปจุดชมวิวที่สวยที่สุดของเมืองที่ จุดชมวิวคาเมอร์เลนโก (Kamerlengo viewpoint) เป็นปราสาทเก่าที่มีกำแพงสูง และป้อมปราการ ซึ่งปัจจุบันถูกจัดให้เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของเมืองนี้ค่ะ























 
*******************