เที่ยวตุรกี (Turkey) ดินแดนสองทวีป ที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินทั้งฝั่งเอเชียและยุโรป สถานที่ที่ขึ้นชื่อด้านเอกลักษณ์ และศิลปะที่น่าสนใจของศาสนาอิสลาม ประเทศเจ้าของสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และสิ่งก่อสร้างอลังการแปลกตา ที่ผสมผสามความเป็นยุโรป และอิสลามเข้าด้วยกันอย่างลงตัวเกินความคาดหมายเลยล่ะค่ะ งั้นทริปนี้เราขอพาไปตะลุยสถานที่เด็ดๆ แห่งเตอร์กีชกันนะค้า ลุยเล้ยยยยยย!! ~

 

เที่ยวสุเหร่าโซเฟีย, อิสตันบูล (Hagia Sophia, Istanbul)


ฮาเกีย โซเฟีย หรือ สุเหร่าโซเฟีย เดิมเคยเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนา นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสุเหร่า ในปัจจุบันกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ตั้งอยู่ที่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี จุดเด่นคือมีโดมขนาดใหญ่กลางวิหาร อายุ 1,500 กว่าปี ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง และยังเป็นสถานที่สำคัญของวงการศิลปะของโลกอีกด้วยจ้า โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่ถึงสามครั้ง ครั้งแรกโบสถ์ใหญ่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 360 และโบสถ์รองถูกสร้างขึ้นภายหลังในปี ค.ศ. 415

ต่อมาในวันที่ 13 มกราคมปี ค.ศ. 532 หลังเกิดการจลาจลของประชาชนจึงทำให้โบสถ์ถูกทำลายอย่างหนัก ในประวัติศาสตร์ระบุไว้ในสถาบันอิสตันบูลว่า เพียงไม่นานโบสถ์ก็ได้เริ่มถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 532 และใช้เวลาเพียงแค่ช่วงสั้นๆ โบสถ์แห่งนี้ก็กลับมามีชีวิตอีกครั้งโดยฝีมือของสถาปนิกที่มีชื่อเสียงอย่าง Isidoros (Milet) และ Anthemios (Tralles) ซึ่งมุมมองการออกแบบของพวกเขาทำให้รูปแบบของโบสถ์ ณ ปัจจุบันนี้ได้รับอิทธิพลมาตั้งแต่ตอนนั้น

โดยโครงสร้าง การออกแบบของสถาปนิกทั้งสองนั้น พวกเขาได้ติดตั้ง เสา 104 คอลลัมม์ แบ่งเป็น 40 คอลลัมม์ ในชั้นล่าง และ 64 คอลลัมม์ ไว้ในชั้นของแกลลอรี่ โดมถูกออกแบบให้มีความสูงถึง 56 เมตร จากระดับพื้นดิน ปูพื้นด้วยหินปูนที่ถูกวาดสีสันลวดลายเป็นวงกลมอย่างงดงาม การตกแต่งภายในถูกแต่งเติมไปด้วยหินอ่อน ภาพของพระเยซู จอนห์ผู้ล้างบาป พระแม่มารี รวมถึงจักรพรรดิแห่งดินีโซและพระสวามี คอนสแตนตินที่ 9 โมโนมาคุส ภาพเหล่านี้มีอายุเก่าแก่มากคาดว่าถูกทำขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่12 และทางเข้าโดมนั้นยังมีภาพโมเสคเทวทูตผู้พิทักษ์ 6 ปีกของพระเจ้าที่มีอายุกว่า 700 ปีประดับอยู่ 4 ตัว เขาว่ากันว่าเทวทูตเหล่านี้ถูกทำให้หลับใหลอยู่ในความมืดมากว่า 160 ปี หลังจากถูกปลดปล่อยเลยมีใบหน้าสว่างเมื่อพระอาทิตย์ในตอนกลางวันอยู่ตลอดเวลาค่ะ

นอกจากนี้แล้วกลางห้องโถงของวิหารสุเหร่าโซเฟียยังเป็นที่ตั้งบัลลังก์เก่าจักรพรรดิอีกด้วย ซึ่งใกล้ๆ กับบัลลังก์นั้นจะมีเสาประดับอยู่ เชื่อว่าเป็นเสารักษาโรค สร้างขึ้นเพื่อรักษาอาการไมเกรนของท่านจักรพรรดินั่นเองค่า ภายหลังเมื่อสิ้นสุดสงครามโรมมัน ฟาติ สุลต่าน มูฮาเหม็ด ได้พิชิตเมืองมาได้ในปี ค.ศ. 1453 โบสถ์แห่งนี้ได้ถูกปรังปรุงให้เป็นสถานที่ทำพิธีทางศาสนาของชาวอิสลาม ที่เรียกกันว่า “สุเหร่าโซเฟีย”











 

เที่ยวมัสยิดสีน้ำเงิน (Blue Mosque, Istanbul)


มัสยิดสีน้ำเงิน หรือ “บลูมอสก์” สถานที่สำคัญและโด่งดังระดับโลกของตุรกี ถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 1606 – 1615 แห่งยุคการปกครองของอาหม็ดที่หนึ่งค่ะ ภายในอาคารจะมีชั้นใต้ดินคือส่วนหลุมฝังศพของผู้รวมก่อตั้งมัสยิดแห่งนี้ ส่วนพื้นที่โถงด้านในจะเป็นพื้นที่ให้การศึกษา และบ้านพักสำหรับผู้ป่วยที่ยากไร้ ซึ่งตอนนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังสุดๆ อีกด้วยค่า

“มัสยิดสีน้ำเงิน” ชื่อนี้ถูกเรียกตามลักษณะของสถานที่แห่งนี้ โดยมีการตกแต่งออกแบบภายในด้วยกระเบื้องอิซนิคบนกำแพงชั้นในสีฟ้าสดใส เป็นลายดอกไม้ ทั้งอาคาร มีหอมินาเร็ตหรือหอสวดมนต 7 หอ การจัดวางพื้นที่ของอาคารต่างๆ ถูกจัดวางเป็นรูปตัวยูได้อย่างสวยงาม โดยลักษณะภายนอกสามารถมองเห็นได้จากสุเหร่าโซเฟีย เราจะเห็นมัสยิดสีขาวหินอ่อนที่ตั้งตระหง่าน ถูกยึดไว้ด้วยเสาคอลลัมม์ปลายยอดแหลมสูงเสียดฟ้านั้นดึงดูดสายตามากๆ เลยค่ะ







มัสยิดแห่งนี้สามารถเข้าชมได้ฟรีค่ะ แต่ว่าก็จะมีกฏเกณฑ์ต่างๆ ให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เช่น การแต่งกาย ซึ่งผู้ชายต้องแต่งตัวสำรวม ใส่กางเกงขายาว ส่วนผู้หญิงจะต้องแต่งตัวสำรวมใส่กางเกง หรือกระโปรงยาว และจำเป็นต้องใส่ผ้าคลุมหัวที่ทางมัสยิดจะจัดไว้ให้ แล้วก่อนที่จะเข้าไปด้านใน จะต้องถอดรองเท้าฝากใส่ถุงไว้เช่นกันจ้า ภายในก็จะมีป้ายบอกว่าให้เราสำรวม ไม่ส่งเสียงดัง เพราะสถานที่นี้ยังเป็นพื้นที่ที่มีการทำกิจกรรมเกี่ยวกับศาสนาอยู่ทุกๆ วันค่ะ อย่างเช่น ที่นี่จะมีการจัดละหมาด 5 ครั้งต่อวัน รวมถึงช่วงพิธีรอมฎอน มัสยิดนี้ก็จะมีการสวดอย่างต่อเนื่องตลอด 1 เดือนเต็ม แนะนำให้หลีกเลี่ยงช่วงเวลาดังกล่าว ในการไปท่องเที่ยวนะคะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.bluemosque.co/







 

เที่ยวเมืองคัปปาโดเชีย ขึ้นบอลลูน ชมนครใต้ดิน พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ (Cappadocia, Underground City, Göreme Open Air Museum)


เมืองคัปปาโดเชีย (Cappadocia) กำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว สถานที่ยอดฮิตที่ใครๆ ก็ต่างแชร์รูปบอลลูนหลากสีที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าชวนให้อยากจะรีบจองตั๋วบินไปตุรกีกันเดี๋ยวนั้น วันนี้เราจะพาไปทัวร์กันค่ะ ว่าที่นี่มีอะไรให้เช็คอินกันบ้าง!

เช็คอินแรกกับกิจกรรมสุดฮิต ทัวร์บอลลูน ชมเมืองคัปปาโดเชีย เมื่อขึ้นไปบนบอลลูนแล้ว เราจะได้เห็นวิวเมืองคัปปาโดเซียโดยรอบ เมืองนี้มีเอกลักษณ์สุดๆ ค่ะ  ภูมิประเทศของเมืองนี้แปลกตามากกกกก พื้นที่ของเมืองคัปปาโดเชียจะเต็มไปด้วยแท่งหินปูนที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อ 3 ล้านปีก่อน แล้วลาวาเหล่านั้นก็ได้ก่อตัวเป็นชั้นแผ่นดินใหม่ โดนลม น้ำกัดเซาะ จนกลายเป็นรูปกรวยคว่ำ เป็นทรงคล้ายกับกระโจม โดม กระจายอยู่เต็มเลยค่ะ จึงถูกขนานนามว่า “ดินแดนแห่งปล่องไฟนางฟ้า”  และเราก็จะได้เห็นวิวุมุมสูงของ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ ด้วยค่ะ

ซึ่งทัวร์บอลลูนมีให้บริการเกือบทุกวันนะคะ เริ่มตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ขึ้นเลยจ้า ระยะเวลาก็ประมาณ 1 – 1 ชั่วโมง 30 นาที แนะนำว่าก่อนไป ควรจัดแพลน และเช็คสภาพกาศดีๆ ก่อนนะคะ ไม่อยากให้พลาดเลย เพราะถ้าช่วงไหนที่อากาศไม่เหมาะสม ก็จะไม่สามารถขึ้นบอลลูนได้น้า เสียดาย... เช็ควันเวลาที่ให้บริการ และแพ็คเก็ตราคาทัวร์บอลลูนได้ที่นี่ค่ะ http://www.cappadociaturkey.net/cappadocia_tours.htm  อย่าลืมเตรียมกล้องไปให้พร้อมน้าาาา~













ลุยกันต่อที่ นครใต้ดิน (Underground City) แห่งคัปปาโดเชีย เมื่อ 2-3 พันปีก่อนคริสตกาล มีกลุ่มคนที่เรียกว่า อัสซีเรีย ได้มายึดพื้นที่คัปปาโดเชียสร้างเป็นอาณาจักรของตัวเอง ต่อมาภายหลังเริ่มเข้าในช่วงคริสตกาลแล้ว ได้มีการบุกรุกของชาวโรมัน ทำให้ก่อเกิดสงครามขึ้นบนแผ่นดินของเมืองนี้ อัสซีเรีย หรือ ชาวคัปปาโดเชีย

ยุคแรกก็ได้มีการขุดเจาะพื้นดินลึกลงไปกว่า 10 ชั้น สร้างเป็นเมืองใต้ดินเพื่อเป็นหลุมหลบภัย แต่สงครามครั้งนั้นกินระยะเวลายาวนานมาก พวกเขาทำการขุดเจาะไปเรื่อยๆ จนใต้พื้นดินคัปปาโดเชียกลายเป็นเมืองอีกหลายๆ เมือง แต่เมืองที่ใหญ่ที่สุด ชื่อว่า เดอรินกูยู (Underground City of Derinkuyu) มีทั้งหมด 8 ชั้น ลึก 85 เมตร ภายในมีทั้ง โบสถ์คริสจักร โรงเรียนสอนศาสนา โรงเก็บไวน์ คอกไม้ และบ่อน้ำ ยังมีอีกหลายส่วนที่ยังไม่ได้ขุดค้น

แค่นี้ก็น่าทึ่งสุดๆ แล้วจ้า คนสมัยโบราณนี้สุดยอด นับถือค่ะ! นครใต้ดินสามารถเข้าชมได้ช่วงฤดูร้อนเปิดเวลา 8.00 - 19.00 น. ส่วนช่วงฤดูหนาวจะเปิดเวลา 8.00 - 17.00 น. ค่าเข้าชม 20 TL หรือ ประมาณ 140 บาทค่ะ









เช็คอินที่สุดท้ายกับผลงานประวัติศาสตร์แห่งวงการศาสนาคริสต์ในดินแดนตุรกี ที่ได้รับบันทึกอยู่ใน UNESCO World Heritage List ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984 นั่นก็คือ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ (Göreme Open Air Museum) ซึ่งเกิดขึ้นจากการขุดเจาะถ้ำหินหลายลูก และสร้างเป็นโบสถ์ในยุคสมัยศตวรรษที่ 3 ถึง 8 ด้วยความต้องเผยแพร่ศาสนาคริสต์ค่ะ ภายในถ้ำจะถูกออกแบบให้ผนังสูง โค้ง ตกแต่งด้วยรูปปั้นจิตกรรมฝาผนัง ทาสีแดง ลักษณะแบบโบสถ์เซนต์บาร์บารา ส่วนของกำแพงโบสถ์นั้นก็จะถูกเจาะตามรูปทางเรขาคณิต

ถ้ามองจากด้านนอกนี่นึกว่าเป็นบ้านชนเผ่ายุคหินนะคะ แต่พอได้เข้าไปด้านในถึงได้รู้ว่า อ๋อออ อารมณ์คล้ายๆ วัดที่อยู่ในถ้ำบ้านเรานี่เอง 555 พิพิธภัณฑ์สามารถมาเยี่ยมชมได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00 - 19.00 น. ค่าเข้าชม 15 TL หรือ ประมาณ 103 บาทค่ะ









 

เที่ยวปามุคคาเล่ (Pamukkale)


ปามุคคาเล่ หรือ ปราสาทปุยฝ้าย สถานที่ท่องเที่ยวขั้นสุดยอดของตุรกี ตั้งอยู่ในเมืองเดนิซลี “เมืองแห่งสปา” นั่นเองค่า ที่นี่ถูกค้นพบโดยชาวโรมันหลายพันปีมาแล้ว เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงมากในหมู่นักท่องเที่ยว รวมถึงชาวตุรกีด้วย ปามุคคาเล่เป็นแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติ เกิดจากความดันความร้อนใต้พื้นดินที่ 35- 36 องศาเซลเซียส จึงให้เกิดการประทุน้ำมีแคลเซียมไฮดรอกซัลคาร์บอเนตออกมา รวมถึงพื้นที่ส่วนนี้มีการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกอยู่บ่อยครั้งจึงก่อให้เป็นแหล่งบ่อน้ำพุร้อนจำนวนมาก เมื่อบ่อน้ำพุร้อนหลายบ่อรวมตัวกัน ทำให้มีการก่อตัวของแร่ธาตุขนาดใหญ่

ว่ากันว่าน้ำพุร้อนแห่งนี้มีอายุมากว่า 14,000 ปี ทำให้ตะกอนที่ไหลฝั่งตัวทับรวมกันจนเป็นตะไคร่น้ำสีขาว และกลายเป็นปราสาทปุยฝ้ายแบบนี้นั่นเองค่า ส่วนน้ำสีฟ้าใสเหมือนแสงตกกระทบกับกระเบื้องหินอ่อนนั้นเกิดจากน้ำร้อนที่ได้สัมผัสกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และศูนย์เสียความร้อน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ได้สัมผัสกับอากาศ นั่นเลยทำให้แคลเซียมคาร์บอเนตตกตะกอน พื้นน้ำในบ่อน้ำพุร้อนเหล่านี้จึงมีสีฟ้าสวยสด

ใครมีแพลนจะมาแช่น้ำแร่ธรรมชาติที่นี่ก็สามารถไปได้ที่ อุทยานแห่งชาติปามุคคาเล่ (Pamukkale Natural Park) ค่ะ เสียค่าเข้าเพียง 20 TL หรือ ประมาณ 130 เท่านั้นจ้า ก่อนจะเดินเข้าไปในอุทยานจะมีป้ายติดไว้ว่าให้ถอดรองเท้าก่อนเดินเข้าไปนะคะ เล็กๆ น้อยๆ ช่วยกันรักษาธรรมชาติที่สวยงามนะคะ เมื่อเดินเข้าไปขออึ้งกับความใหญ่ของภูเขาเกลือแห่งนี้จริงๆ ธรรมชาติชั่งสรรค์สร้าง อึ้งอีกรอบกับนักท่องเที่ยว 555 ที่นี่ยุ่งตลอดทั้งปีจริงๆ ค่ะ แนะนำว่าให้ไปช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิจ้า เพราะน้ำจะเต็มทุกบ่อแล้วก็ไม่ร้อนมากไม่หนาวเกิน แต่ไม่ต้องกลัวค่ะ น้ำที่นี่ไหลทั้งปีเลย ใครไปช่วงหน้าร้อน น้ำก็จะแห้งๆ หน่อยนะคะ ส่วนหน้าหนาวสำหรับคนไทยก็ไม่แนะนำ เพราะพื้นที่ส่วนนี้ติดกับทะเล ทั้งลม ทั้งหิมะ ไข้กินแน่นอนค่ะ การจะลงไปแช่น้ำเสื้อผ้าที่ควรเตรียมไปก็จะดีถ้าเป็นกางเกงขาสั้นพอดีๆ กับ เสื้อยืดค่ะ ที่นี่ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดว่ายน้ำเพื่อลงไปแช่จ้า











มีตำนานเล่าว่าเคยมีหญิงสาวชาวโรมันคนหนึ่งมีหน้าตาน่าเกลียด เธอทั้งถูกรังเกียจ และไม่มีชายใดหมายปองที่จะแต่งงานด้วย ทำให้เธอคิดอยากตาย จึงมากระโดดหน้าผาหินที่นี่ แต่กลับเกิดปาฏิหารย์ขึ้นเมื่อเธอตกลงไปในบ่อน้ำ และไม่ตาย แถมยังมีหน้าตามีสดสวยงดงาม แล้วไปถูกตาต้องใจของท่านลอร์ดแห่งเมืองเดนิซลีอีกด้วย สุดท้ายทั้งคู่แต่งงานกัน แหมม อยากจะไปโดดบ้างเลย ฮิๆ >_<

จากตำนานที่เป็นเรื่องเล่าต่อๆ กันมาทำให้คนเชื่อว่าการมาแช่น้ำพุร้อนที่นี่จะช่วยเรื่องการบำรุงผิว และด้วยแร่ธาตุจากธรรมชาติของดิน การแช่น้ำแร่ที่นี่ช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือด ความดันโลหิต กระตุ้นร่างกายจากความอ่อนเพลีย และอีกหลายๆ โรค ซึ่งนั้นก็ทำให้ปามุคคาเล่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างมากค่ะ ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสปารีสอร์ทไปแล้วค่า





ระหว่างทางเดินไปปราสาทปุยฝ้าย เราจะต้องผ่าน นครโบราณเฮียราโปลิส (Hierapolis) เป็นเมืองโบราณที่มีอายุเก่าแก่ถึง 2,200 ปี ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงราว 200 เมตร ซึ่งเป็นแหล่งรวมแร่หินปูนขนาดใหญ่นั่นทำให้เมืองนี้แตกต่างจากที่อื่นๆ และได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจาก UNESCO ในปี 1970 ด้วยจ้า ซึ่งภายในเมืองโบราณจะมี โรงละครโรมัน (Roman Theatre)  สร้างขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์ของคนยุคโรมัน โดยการสกัดเข้าไปในไหล่เขา เพื่อให้เป็นที่นั่งสำหรับคนนั่งชมการแสดงค่า







 

เที่ยวมัสยิดสุเลย์มานิเย อิสตันบลู (The Mosque of Suleiman, Istanbul)


The Mosque of Suleiman หรือ Süleymaniye Mosque “มัสยิดสุเลย์มานิเย” สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1557 เพื่อเป็นบรรณาการให้กับสุลต่านสุเลย์มาน เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรม มีความโดดเด่นเรื่องของขนาด และเป็นผลงานชิ้นเอกของสถาปนิกชื่อดัง Mimar Sinan โดมของมัสยิดสุเลย์มานมีขนาดสูงถึง 47 เมตร ภายด้านในตกแต่งอย่างหรูหราอลังการ ด้วยกระเบื้องโมเสคเน้นสีทองเป็นหลัก ประดับอย่างปราณีตลงบนโครงสร้างหินอ่อนสีขาวนวล ลวดลายเรียบๆ ของผืนพรมสีแดงอิฐที่ตัดกันได้อย่างลงตัว กลางโถงมัสยิดมีฐานห้อยโคมไฟวงกลมขนาดใหญ่พร้อมกับดวงไฟที่ถูกแขวนไว้เรียงรายง่ายๆ ตอนกลางคืนเมื่อไฟถูกเปิดสถานที่แห่งนี้จะให้อารมณ์คล้ายกับโรงละครขนาดใหญ่เลยค่ะ

นอกจากนี้ด้านในของมัสยิดยังประกอบไปด้วย โรงเรียนสอนศาสนา ห้องครัว โรงพยาบาล ที่พักกองเกวียน ตลาดห้องสมุด และสุสานของสุลต่านสุเลย์มานกับภรรยาของเขา ซึ่งทางมัสยิดจะมีการจัดพาทัวร์แบบกลุ่ม และส่วนตัว เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านสุลต่าน ประวัติศาสตร์การก่อสร้างมัสยิด ทั้งในเชิงท่องเที่ยวและการศึกษา ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันตั้งแต่เวลา 9.00 น. ถึง 18.00 น. แต่จะปิดให้เยี่ยมชมในเทศกาลรอมฎอนค่ะ ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.sultanahmetcamii.org/













 

เที่ยวพระราชวังทอปกาปี (Topkapi Palace)


พระราชวังทอปกาปี หรือที่รู้จักกันในชื่อวังสุลต่าน เป็นอีกหนึ่งเเลนด์มาร์คของเมืองอิสตันบูลค่ะ สร้างขึ้นโดยสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 (Mehmed the Conqueror) ใช้เป็นที่ประทับของสุลต่านหลายพระองค์ต่อกันมาหลายศตวรรษ โดยมีทั้งหมด 3 ส่วนคือ พระราชวังชั้นนอก เป็นสวนขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ร่มรื่น น่าเดินเล่นมากๆ เลยค่า มีอาคารสไตล์ตุรกีดั้งเดิมที่ยังคงสภาพเดิมไว้อย่างดีสุดๆ ใช้เป็นสถานที่ออกว่าราชการและต้อนรับแขกคนสำคัญของเมืองค่ะ









พระราชวังชั้นใน เป็นที่พำนักของมเหสีและเหล่าสนม รวมถึงลูกหลานของสุลต่านด้วยค่ะ อ้อ! ส่วนของชั้นในนี้สมัยก่อนเป็นที่ต้องห้าม ผู้ชายห้ามเข้านะจ๊ะ





ฮาเร็ม สวรรค์ของสุลต่าน มีห้องพักมากมายกว่า 300 ห้อง และเต็มไปด้วยหญิงสาวที่ได้รับการฝึกอบรมความสามารถด้านต่างๆ เช่น การร้องเพลง เล่นดนตรี เต้นรำ เพื่อเอาใจสุลต่าน และต้องตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ตลอดชีวิตค่ะ









ปัจจุบันพระราชวังทอปกาปีกลายเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสำหรับจัดแสดงสมบัติอันล้ำค่าของสุลต่านองค์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โบราณวัตถุอันศักดิ์สิทธิ์ อาวุธในสมัยออตโตมันน์ เช่น ดาบ ปืน ธนู กระบี่ ขวาน ชุดเกราะ และเครื่องราชบรรณาการจากทั่วโลก รวมถึงเครื่องกระเบื้องของจีนกับญี่ปุ่นกว่า 12,000 ชิ้น โดยเครื่องถ้วยชามอันโด่งดังของจีน เรียกว่า เซลาดอน (Celadon) โดยสุลต่านจะให้ใส่อาหารลงไป ถ้ามียาพิษเจือปน เครื่องถ้วยนี้จะมีน้ำออกมาและเปลี่ยนสีนั่นเองค่า ล้ำมากกก





และเครื่องประดับสุดเลอค่า ทั้งทอง หยก มรกต ทับทิม ทีเด็ดที่ถือเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในพระราชวังก็คือ เพชรรูปหยดน้ำ 86 กะรัต ประดับด้วยเงินบริสุทธิ์ เคยใช้ทำเป็นแหวนมาก่อนด้วยนะคะ โอ้มายก้อดด ขอกราบที่ข้อนิ้วงามๆ แข็งแกร่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้วจ้า >,< ความงดงามอลังการของเพชรเม็ดนี้ โด่งดังจนถูกนำมาเขียนลงนิยายเรื่อง The Light Of Day และสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Topkapi ด้วยค่ะ



เครดิตรูปภาพจาก http://topkapisarayi.gov.tr/en/content/chinese-and-japanese-porcelains

นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ชมวิวชั้นเยี่ยม สามารถเห็นวิวของเมืองอิสตันบูลได้ชัดแจ๋ว ทั้งอ่าว Golden Horn, ทะเลมาร์มะรา (Marmara Sea) และช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus Strait)





 

เที่ยวตลาดแกรนด์บาซาร์ (Grand Bazaar)


ตลาดแกรนด์บาซาร์ เป็นตลาดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก! ก่อสร้างขึ้นมานานกว่า 1,500 ปี ถือว่าเป็นตลาดที่โด่งดังที่สุดในตุรกีเลยค่ะ มีนักท่องเที่ยวมาเดินช้อปปิ้งวันละ 2- 4 แสนคน และในปี ค.ศ. 2014 ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเข้าชมมากที่สุดในโลก โดยมากถึง 91 ล้านคนต่อปีเลยทีเดียวค่า ฮอตมากกก เต็มไปด้วยร้านค้ากว่า 5,000 ร้าน ถนน 65 เส้น มีจำนวนพนักงานหรือคนขายกว่า 26,000 คน นอกจากจะเป็นแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่แล้ว ยังเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมในอดีต มีมัสยิด ลานน้ำพุ ฮามัม มหาวิทยาลัยอิสตันบูล ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก

ใครมาที่นี่รับรองว่าต้องเสียเงินแน่ๆ จ้า เพราะมีสินค้าให้เลือกซื้อหลากหลาย ทั้งเครื่องเงิน ไข่มุก เครื่องปั้นดินเผา เสื้อผ้า ผ้าไหม นาฬิกา รองเท้า ของโบราณต่างๆ ของตกแต่งบ้าน สินค้าชื่อดังของที่นี่จะเป็นทองคำค่ะ ที่ออกแบบได้สวยงาม และขายได้มากถึงปีละ 100 ตัน เจ้าของร้านบางคนยังจ่ายค่าเช่าเป็นทองคำเลยนะคะ เดินเหนื่อยๆ ก็มีร้านร้านอาหาร ร้านกาแฟเก๋ๆ ให้นั่งพักผ่อน ตลาดจะเปิดทุกวันจันทร์ถึงวันเสาร์ เวลา 08.30 - 19.00 น. ปิดวันอาทิตย์ค่ะ













 

เที่ยวห้องสมุดเซลซุส (The Library of Celsus)


ห้องสมุดเซลซุส สุดยอดงานสถาปัตยกรรมเลื่องชื่อที่โดดเด่นไปด้วยศิลปะแบบเฮลเลนนิสติก (Hellenistic) ยิ่งใหญ่และสวยงามมากก ตั้งอยู่ที่เมืองเอฟิซัส (Ephesus) ซึ่งเป็นเมืองที่รุ่งเรือง และมั่งคั่งที่สุดในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และยังมีขนาดใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิโรมันและเขตเอเชียด้วยค่า

ห้องสมุดเซสซุสเป็นหนึ่งในโบราณสถานที่ยังหลงเหลืออยู่ เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองเอฟิซัสเลยก็ว่าได้ค่ะ สร้างขึ้นโดยลูกชายของเซลซัส โพเลเมียนุส (Celsus Polemaeanus) ผู้ปกครองแคว้นเอเชียไมเนอร์ของโรมัน ที่ต้องการสร้างอนุสาวรีย์ให้พ่อของเขา แต่เปลี่ยนใจมาสร้างห้องสมุดให้แทน และได้ฝังโลงศพของบิดาที่ทำจากหินเอาไว้ใต้หอสมุดแห่งนี้ค่ะ โดยมีทางเข้าทั้งหมด 3 ทาง หน้าประตูทางเข้ามีรูปแกะสลักเทพีอยู่ 4 องค์ ได้แก่ เทพีแห่งปัญญา (Sophia), เทพีแห่งคุณธรรม (Arete), เทพีแห่งความเฉลียวฉลาด (Ennoia) และเทพีแห่งความรู้ (Episteme)

ซึ่งนับว่าเป็นห้องสมุดใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก! ถึงจะเคยถูกเผาโดยชาวกอธ (Goth) และแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้เอกสารต่างๆ และอาคารบางส่วนถูกทำลาย ปัจจุบันเหลือแค่เฉพาะด้านหน้าของอาคาร แต่ก็ยังคงความงดงามที่ใครเห็นแล้วก็ต้องร้องว้าวกับความอลังการของห้องสมุดแห่งนี้แน่นอนค่า









 

เที่ยวเมืองโบราณเอฟิซัส (Ephesus)


เมื่อกี้ได้พูดถึงเมืองเอฟิซัส ที่ตั้งของห้องสมุดเซลซุสไปบ้างแล้ว จะบอกว่าความยิ่งใหญ่อลังการไม่ได้มีแค่นั้นนะคะ เอฟิซัสเป็นเมืองโบราณเก่าแก่ที่มีมาประมาณ 100 ปีก่อนยุคคริสตกาล ตั้งอยู่ในมหานครอิซเมียร์ (Izmir) ได้สถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงของโรมันและถูกขนานนามว่า เป็นมหานครแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในเอเชีย! เป็นศูนย์กลางการค้าและการเงิน เรียกได้ว่าร่ำรวยสุดๆ ถนนทุกสายปูด้วยหินอ่อน *0* ปังแค่ไหนถามใจเธอดู~

ข้าศึกจะบุกเข้าโจมตีตัวเมืองได้ยากมากค่ะ เพราะมีภูเขาขนาบสองข้าง ล้อมด้วยทะเล และมีทางเข้าแค่ทางเดียวเท่านั้น แต่ก็ถูกทำลายลงโดยแผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 614 ทำให้ชาวเมืองต้องหนีอพยพจนกลายเป็นเมืองร้างไป ปัจจุบันก็ยังเหลือร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน ซึ่งถือเป็นเมืองโบราณที่สวยและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกเลยทีเดียวค่า

และนอกจากห้องสมุดเซลซุสแล้ว ที่นี่ยังมีสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่งอีกมากมาย ทั้งโรงละครกลางแจ้งเอฟิซัส ที่จุคนได้ถึง 30,000 คน, มหาวิหารแห่งอาร์เทมิส (Temple of Artemis) หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณ, โรงอาบน้ำสกอลัสติเซีย (Bath of Scholasticia), โบสถ์เอเฟซุส (Church of Ephesus), โบสถ์นักบุญเซนต์จอห์น (Basitica of St.Jhon), ท่าเรือยิมเนเซียม (Harbor Gymnasium) เป็นต้น ซึ่งทุกอย่างเป็นศิลปะแบบเฮลเลนนิสติก (Hellenistic) ที่ประณีตและงดงาม เดินชมเดินถ่ายรูปกันได้แบบไม่มีเบื่อ รู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปในยุคกรีกโบราณเลยล่ะค่า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเอฟิซัสจึงเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของตุรกี













 

เที่ยวภูเขาเนมรุต (Mount Nemrut)


ภูเขาเนมรุต อยู่ใกล้กับเมืองอาดึยามัน (Adiyaman) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกีค่ะ มีความสูง 2,134 เมตร เป็นที่ตั้งของสุสานกษัตริย์แห่งอาณาจักรโคมายานา (Commagene Kingdom) และยังได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกอีกด้วย

สร้างขึ้นโดยกษัตริย์แอนทิโอคัสที่ 1 (Antiochos I) ซึ่งสุสานบนยอดเขาแบบนี้เป็นที่นิยมมากในอารยธรรมยุคโบราณ มีการแกะสลักรูปปั้นหินขนาดใหญ่กระจายอยู่เต็มยอดเขา มีรูปปั้นศีรษะคนแทนบุคคลสำคัญต่างๆ รูปปั้นบูชาเทพเจ้ากรีก เช่น เทพเจ้าซุส เทพเฮอร์คิวลิส รวมถึงสิงโต และนกอินทรีย์ซึ่งถือเป็นองครักษ์ผู้คุ้มครองสุสานแห่งนี้ด้วยค่ะ ขอบอกว่าขนาดของรูปปั้นนี่ใหญ่โตเว่อร์วังมาก มีความสูงถึง 10 เมตร แต่เวลาผ่านไปหัวของรูปปั้นก็ร่วงลงมา จึงจับมาวางเรียงกันเป็นแถว นี่แค่ส่วนหัวก็ 2 เมตรแล้วจ้า







และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เลิศสุดๆ มาประมาณตี 5 กำลังดีเลยค่ะ ช่วงเช้ามืดเราจะได้เห็นทั้งดวงดาวเต็มท้องฟ้า

เครดิตรูปภาพจาก https://apod.nasa.gov/apod/ap081216.html

พอพระอาทิตย์ขึ้น แสงแดดอ่อนๆ จะส่องไปที่รูปปั้น เป็นภาพที่งดงามมากๆ ใครที่เดินทางมาตุรกี ที่นี่เป็นอีกสถานหนึ่งที่ควรค่าแก่การมาเยือนเลยนะคะ โดยช่วงที่นักท่องเที่ยวนิยมมากันก็คือเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมค่ะ



 

เที่ยวโบดรัม (Bodrum)


โบดรัม เมืองตากอากาศที่ขึ้นชื่อของตุรกี นับเป็นดินแดนทางประวัติศาสตร์ที่หรูหราและร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก! บรรยากาศโรแมนติกมากกกถึงมากที่สุด มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสาย ยิ่งถ้าช่วงซัมเมอร์จะคึกคักมากเป็นพิเศษเลยล่ะค่า ผู้คนจะมานอนอาบแดดริมชายหาด นั่งปิกนิก ดูพระอาทิตย์ตก ดำน้ำชมฝูงปลา และทำกิจกรรมต่างๆ กัน

นอกจากนี้ยังมีแหล่งช้อปปิ้งที่ขายสินค้าพื้นเมืองต่างๆ มากมาย แถมราคาไม่แพงด้วยน้า อาหารทะเลก็สดมว้ากกก เหมือนได้ลงจับเองอย่างไงอย่างนั้นเลย อิอิ >,< มีสถานบันเทิงยามค่ำคืน และโรงแรมหรูๆ มากมาย ตัวอาคารบ้านเรือนเป็นสีขาว ตัดกับหน้าต่างสีน้ำเงินและสีฟ้าของน้ำทะเลได้อย่างลงตัว ระเบียงตกแต่งด้วยดอกไม้สีสันสดใส อารมณ์เหมือนได้อยู่ที่ซานโตรินีประเทศกรีซเลยค่า และตามบริเวณบ้านจะปลูกผลไม้ไว้ ถ้าเพื่อนบ้านหรือใครเดินผ่านก็สามารถเก็บกินได้เลย เพราะพวกเขาภูมิใจว่าเป็นเมืองสมบูรณ์นั่นเอง ปรับมือรัวจ้าๆๆๆ















เครดิตรูปภาพจาก https://bit.ly/2MjpHss

และเมืองโบดรัม ยังเป็นเมืองเเห่งโบราณคดีที่สำคัญที่สุดของประเทศอีกด้วยนะคะ ท่ามกลางความสวยงามและโรแมนติกนี้ก็ได้แฝงประวัติศาสตร์เอาไว้มากมาย มีซากปรักหักพังและวัตถุโบราณกระจายตัวอยู่ทั่วเมือง ทั้งป้อมปราการของชาวคริสต์ ปราสาทโบดรัมหรือปราสาทเซนต์ปีเตอร์ พิพิธภัณฑ์โบราณคดีใต้น้ำ ประตูเมืองเก่า โรงละครโบราณ และกังหันลมโบราณ เป็นต้น











ที่ห้ามพลาดชมเลยก็คือ สุสานมุสโซเลียม (The Mausoleum at Halicarnassus) เป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์โมโซลุส ที่มีขนาดใหญ่มาก ความสูงถึง 50 เมตร สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหมด ต่อมาได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นทำให้สุสานพังทลาย ปัจจุบันจึงเหลือแต่ซากปรักหักพังและแบบจำลองย่อส่วนของหลุมศพให้ได้ชมกันค่ะ และยังได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณอีกด้วย

เครดิตรูปภาพจาก https://bit.ly/2vnHyrI