เที่ยวจีนภาคตะวันตกเฉียงใต้ ดินแดนขนาดใหญ่ที่ร่ำรวยทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม แต่น้อยคนที่พูดถึง หรือเคยมาสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นมรดกโลก อุทยานแห่งชาติจิ่วไจ้โกว พระราชวังโปตาลา ศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้าเฉิงตู และนั่งรถไฟเส้นสายไหมค่ะ

มาถึงตอน 2 แล้ว หญิงปุ๊กขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนกันต่อเลยค่า เมืองจีน ไม่ได้มีแค่กำแพงเมืองจีน

 

เที่ยวอุทยานแห่งชาติจิ่วไจ้โกว (Jiuzhai Valley National Park), จิ่วไจ้โกว

อุทยานแห่งชาติจิ่วไจ้โกว (Jiuzhai Valley National Park) เราจะพบความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติอันบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ทั้งน้ำตก ทะเลสาบบนเทือกเขาสูง (Alpine Lake) ทุ่งหญ้าอันเงียบสงบ วิวภูเขาหิมะขาวโพลน และหมู่บ้านชาวทิเบต อุดมไปด้วยพันธ์ุไม้นานาชนิดทั้งพันธ์ุไม้โบราณหายาก รวมถึงสัตว์ป่า สัตว์สงวน และนกนานาพันธ์ุ อื้อหือออ!! เมืองในนิทานชัดๆ

ที่นี่จะสวยจริงจังขึ้นไปอีกหากมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ทั้งภูเขา หุบเขา เพราะทะเลสาบจะถูกปกคลุมไปด้วยสีสันของฤดูไม้ร่วง ในวันที่อากาศเย็นสบาย กลางคืนเย็นยะเยือก ใบไม้เปลี่ยนสีเหลือง แดง และเขียว ปกคลุมไปทั้งหุบเขา และสะท้อนบนน้ำสีฟ้าใสของทะเลสาบ ช่างงดงามราวกับภาพวาด ดีต่อใจสุดๆ ค่า

โดยในปี ค.ศ. 1992 อุทยานแห่งชาติจิ่วไจ้โกวได้รับถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) และในปี ค.ศ.1997 ก็ได้รับการยกย่องสถานะให้เป็นเขตสงวนมนุษย์และชีวมณฑลโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO Man and Biosphere Reserve)

หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในจิ่วไจ้โกว จึงถูกปิด และเปิดอีกครั้งในเดือนมีนาคม 2018 ที่ผ่านมานี้เองจ้า รัฐบาลได้วางแผนให้จำกัดการเข้าชมอยู่ที่ 2,000 คนต่อวันเท่านั้นจ้า ห้ามพลาดเลยน้า นี้แค่เห็นในภาพ ยังสวยจนใจละลาย ไปเที่ยวของจริงนี้ต้องฟินเกินร้อยแน่ๆ

 

เที่ยวอุทยานแห่งชาติหวงหลง (Huanglong National Park), จิ่วไจ้โกว

อุทยานแห่งชาติหวงหลง (Huanglong National Park) ตั้งอยู่ในเขตซ่งพาน (Songpan) เขตปกครองตนเองอาป้า (County of Aba) มณฑลเสฉวน (Sichuan Province) โดยอุทยานประกอบไปด้วย หุบเขาหวงหลง (Huanglong Valley) ช่องแคบตันหยุน (Danyu Gorge) ยอดเขาเซวี่ยเป๋า (Xuebao Peak) และ หุบเขามูนี่โกว (Munigou Valley)

อุทยานแห่งชาติหวงหลงอยู่ที่ความสูง 3,000-5,588 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล  สูงสุดยอดดจริงๆ ค่า โดยมียอดเขาเซวี่ยเป๋า (Xuebaoding) ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของภูเขาหมินซาน (Mt. Minshan) ทอดยาวเป็นระยะทางกว่า 3.6 กิโลเมตร ลักษณะคล้ายๆ กับมังกรสีเหลืองทองขนาดใหญ่กำลังวิ่งผ่านป่าอันอุดมสมบูรณ์ จึงถูกเรียกว่า มังกรเหลือง (Huanglong) นั่นเองจ้า  จุดพีคที่สุดห้ามพลาดคือ ทะเลสาบสีหินอ่อนทราเวอร์ทีน (Travertine Lakes) บึงน้ำสีสันและรูปร่างหลากหลายกว่า 3,400 บึง หุบเขาลึกที่คดเคี้ยวไปมา ป่าทึบ และมีภูเขาหิมะที่สวยตระหง่านท่ามกลางป่าอันเงียบสงบดูลึกลับน่าค้นหาเข้าไปใหญ่ เป็นที่อยู่ของสัตว์ใกล้สูญพันธ์ุมากมายเช่น แพนด้ายักษ์ (Giant Panda) ลิงจมูกเชิดสีทองเสฉวน (Sichuan Golden Snub-nosed Monkey)

ทิวทัศน์สวยเวอร์วังอลังการดาวล้านดวงขนาดนี้ ทำให้ที่นี่ถูกเรียกว่า สิ่งมหัศจรรย์บนโลก (Wonder on the World) หรือสวรรค์บนดิน (Heaven on the Earth) จนปี ค.ศ. 1992 จึงได้รับยกย่องเป็นแหล่งมรดกทางธรรมชาติ (World Natural Heritage Site) ในปี ค.ศ.1997 ก็ได้รับการยกย่องสถานะให้เป็นเขตสงวนมนุษย์และชีวมณฑลโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO Man and Biosphere Reserve) ในปี ค.ศ.2001 รับประกาศนียบัตรเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ลูกโลกสีเขียว 21 (Green Globes 21) และอีกมากมาย อื้มหืมม ปรบมือรัวๆ สิคะ รออะไร

ลักษณะภูมิอากาศช่วงฤดูหนาวจะค่อนข้างยาวนาน อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ 7 องศาจ้า แนะนำให้เที่ยวช่วงเมษายนไปจนถึงพฤศจิกายนจ้า แต่ถ้าให้เลิศต้องมาช่วงกันยายนถึงตุลาคมเพราะเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ดีงามค่า

เทศกาลวัดหวงหลง (Huanglong Temple Fair) เป็นงานวัดประจำปีของหลายชนเผ่าในท้องถิ่น จัดช่วงวันที่ 12 มิถุนายน-15 มิถุนายน นอกจากได้ชื่นชมความงามทางธรรมชาติสุดบรรยายของที่หวงหลงแล้ว ยังจะได้มีโอกาสชมชาวฮุย (Hui) แต่งกายในชุดรื่นเริงมาร่วมร้องเพลงเชียง (Qiang Song) ด้วยนะจ๊ะ งานนี้มีชาวทิเบตมากมายจากเมืองชิงไห่ (Qinghai) กานซู่ (Gansu) เหมียนหยาง (Mianyang) และอาป้า (Aba) มาร่วมงานอีกด้วย

[caption id="attachment_19202" align="alignnone" width="600"] เครดิตภาพ: https://www.chinatours.com[/caption]

 

ที่ยวศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้าเฉิงตู (Chengdu Research Base of Giant Panda Breeding), เฉิงตู

หมีแพนด้า หรือที่รู้จักกันดีว่าฟอสซิลที่ยังมีชีวิต (Living Fossil) อีกหนึ่งในสัตว์ที่หายากที่สุดในโลก พี่เค้าไม่เพียงแค่ได้รับการยกย่องว่าเป็นแค่สมบัติประจำชาติของประเทศจีนเท่านั้นนะ ยังได้รับความรักและเอ็นดูจากคนจากทั่วทุกมุมโลกอีกด้วย *0* หากใครที่รักและอยากสัมผัสความน่ารักน่าฟัดของเจ้าแพนด้า ขอบอกว่าเฉิงตูเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องนะคร๊าบบ>,<

ศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้าเฉิงตู (Chengdu Research base of Giant Panda Breeding) หรือ ฐานแพนด้าเฉิงตู (Chengdu Panda Base) จ้า เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี ค.ศ.1993  รัฐบาลจีนลงทุนด้านการค้นคว้า วิจัย ผลิตภัณฑ์รักษาและปกป้องสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธ์ุ โดยสร้างนิเวศน์วิทยาจำลองที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตให้เจ้าแพนด้าน้อยใหญ่รวมถึงสัตว์ป่าหายากอื่นๆ เช่น หมีแพนด้าสีแดง (Red Panda) นกกะเรียนคอดำ (Black-Necked Crane)  ตอนนี้เค้ามีแพนด้าขนาดใหญ่กว่า 100 ตัวเชียวนะ

พื้นที่สีเขียวที่นี่มีอัตราครอบคลุมราวๆ 96% โอ้โห!! นี่มันป่าขนาดย่อมๆ เลยนะคะ ดีงามมอ่ะ นอกจากนี้ยังมีตึกสำหรับการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ โรงพยาบาลสัตว์ บ้านสัตว์ ลานกิจกรรมสำหรับเหล่าแพนด้าอีกด้วย สุดยอดมั้ยล่า ยังไม่หมดๆ ยังมีพิพิธภัณฑ์แพนด้า ครัวแพนด้า และอีกมากมาย แต่ที่เด็ดสุดๆ คือมีพื้นที่โล่งขนาดใหญ่สำหรับแพนด้าไว้สำหรับเดินเล่น เที่ยวเตร่ตามอัธยาศัย กินอาหาร เล่น และเข้าสังคมกับเพื่อนๆ อีกด้วยนะจ๊ะ ไฮโซสุดๆ เลย แบบนี้ให้ สิบ สิบ สิบ ไปเลยจ้า น่าร๊ากกก

 

[caption id="attachment_19212" align="alignnone" width="1171"] เครดิตภาพ: https://blooloop.com, https://asiatravelagency.info[/caption]

เมื่อเข้ามาในพิพิธภัณฑ์แพนด้าแห่งแรกและแห่งเดียวของโลก ที่นี่มีห้องโถงขนาดใหญ่ 3 โถงได้แก่ โถงแพนด้า (Giant Panda Hall) โถงผีเสื้อ (Butterfly Hall) และโถงสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง (Vertebrate Hall) ซึ่งจะมีข้อมูลทั้งภาพ หุ่นจำลอง ฟอสซิล ตัวอย่าง รวมถึงการนำเสนอในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับแพนด้าแก่ผู้เข้าชม มีการนำเสนอการอนุรักษ์ และช่วยเหลือในการปรับปรุงสายพันธ์ุหมีแพนด้าของพี่จีนอีกด้วยจ้า ไม่เท่านั้นนะที่นี่ยังรวบรวมหนังสือ และวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแพนด้าทั้งหมด ซึ่งเขียนโดยนักเขียนจากทั่วโลกไว้ด้วย อู้หูววว ได้ใจหญิงปุ๊กไปเต็มๆ เล้ยย

ที่นี่เปิดบริการเวลา 7.30 น. – 18.00 น. เข้าชมโดยการเดินหรือนั่งรถชมก็ได้จ้า ถ้าจะมาดูตอนเค้าป้อนอาหารแพนด้าให้มาช่วง 09:00น. – 11:00น. แพนด้าเป็นสัตว์ขี้ร้อนค่ะ ช่วงกรกฏาคม-สิงหาคมจึงมักจะหลบเข้าไปเล่นในห้องปรับอากาศ ดังนั้นหากใครมาช่วงนี้อาจไม่ได้เห็นแพนด้ากลางแจ้งนะจ้ะ แต่ก็สามารถชมแพนด้าน้อยในห้องอนุบาลแทนได้

 

เที่ยวพระราชวังโปตาลา (Potala Palace), ลาซา

ใครที่หลงใหลชื่นชอบในสถาปัตยกรรมแบบทิเบต ต้องไม่พลาดที่นี่ พระราชวังโปตาลา (Potala Palace) ที่เมืองลาซา (Lhasa) ประเทศทิเบตนั่นเอง ที่นี่สวยงามยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ และจัดเป็นสัญลักษณ์ของทิเบตเลยก็ว่าได้ด้วยพระราชวังขนาดใหญ่ ภายในประกอบไปด้วย บ้าน หอคอย โบสถ์ และอีกมากมาย ด้วยทำเลที่ตั้งทำให้ที่นี่ได้ถูกจดบันทึกในกินเนส เวิลด์ เรคคอร์ด (Guinness World Records) ว่าเป็นพระราชวังที่สูงที่สุดในโลก!!! สูงที่ระดับ 3,700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่มีสไตล์งดงามมว๊ากกที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยจ้า*0* พระราชวังโปตาลาถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 7 และได้รับการบูรณะใหม่หลายครั้ง สร้างมามากกว่า 1300 ปีแล้ว อาคารหลักของพระราชวังโปตาลาตั้งอยู่ที่เทือกเขาแดง (Red Hill) ข้างแม่น้ำลาซา (Lhasa River)

และในฐานะที่ลาซา พระราชวังโปตาลา วัดโจคัง (Jokhang Temple) พระราชวังโนร์บูกลิงกา (Norbulingka) มีความงามและคุณค่าทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก จึงได้รับการจดทะเบียนขึ้นเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site) อีกด้วยจ้า นี่แหล่ะคุณค่าที่คุณคู่ควร

พระราชวังโปตาลาจัดเป็นหนึ่งในสุดยอดสถาปัตยกรรมที่สร้างบนเนินเขาสูงชันเลยก็ว่าได้ ตัวพระราชวังแบ่งเป็นชั้นนอก 13 ชั้น สูงทั้งหมด 117 เมตร สร้างด้วยไม้และหิน กำแพงเป็นหินแกรนิตหนา 2-5 เมตร หลังคาและชายคาสร้างด้วยไม้ที่มีการแกะสลักเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

พระราชวังถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ พระราชวังสีขาว และพระราชวังสีแดง พระราชวังสีขาว ส่วนที่ล้อมรอบ เป็นที่อยู่อาศัยขององค์ดาไลลามะ (Dalai Lama) และเป็นส่วนของสำนักงานที่จัดการกับกิจกรรมทางการเมืองและพุทธกิจทั้งหลาย ส่วนพระราชวังสีแดงอยู่ตรงกลางด้านใน คืออาคารหลักยาว 117 เมตร ประกอบไปด้วยห้องโถงทางศาสนาที่มีรูปแบบแตกต่างกันไป รวมถึงโบสถ์ และห้องสมุดอีกด้วยจ้า

ภายในพระราชวังสวยงามอลังการนั้นตกแต่งด้วยผลงานวิจิตรศิลป์ ที่โดดเด่นสุดๆ นั่นคือภาพเขียนฝาผนัง 698 บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของทิเบต อย่างเช่น การมาทิเบตของเจ้าหญิงเหวินเฉิง (Princess Wencheng to Tibet) หรือเรื่องราวของผู้นำทางจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงอย่างองค์ดาไลลามะที่ 5 เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีทังก้า (Thangkas) มากมาย ซึ่งเป็นภาพวาดบนผืนผ้า แทนสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวทิเบต เปรียบเสมือนพระพุทธรูปนั่นเอง รวมไปถึงงานฝีมือนำเสนอชีวิตท้องถิ่นชาวทิเบต ภาพวาดยูเรเนี่ยมบนผืนผ้าไหม ผ้าหรือกระดาษล้อมกรอบด้วยผ้าซาติน งานเค้าดีจริงค่ะ

ในสมัยโบราณ ที่นี่เคยเป็นโรงเรียนสอนพุทธศาสนามาก่อน และเป็นที่เก็บสถูปขององค์ดาไลลามะองค์ก่อนๆ เอาไว้ด้วย รวมถึงรูปปั้นอันทรงคุณค่า เช่น พระสองขะปะ (Tsongkhapa) องค์คุรุปัทมสัมภวะ (Padmasambhava) องค์ศากยมุนี (Sakyamuni) องค์ดาไล ลามะ (Dalai Lama) และ พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา (Medicine Buddha) เหล่านี้จัดเป็นผลงานที่ผสมผสานศิลปะทางพุทธศาสนาอันหลากหลาย เข้ากับราชวงศ์ฮั่น (Han Dynasty) อินเดีย และเนปาล จึงนับเป็นสมบัติอันทรงคุณค่าอีกอย่างหนึ่งของที่นี่ งานนี้บอกเลยว่า อันซีนสุดๆ ค่า สวยลึกลับ น่าค้นหาจริง

 

เที่ยวเส้นทางสายไหมด้วยการนั่งรถไฟ (Silk Road Train)

เส้นทางสายไหมด้วยการนั่งรถไฟ (Silk Road Train) หรือรถไฟสายพิเศษ ฉางอันห้าว (Changan Hao) รถไฟสาย Y206/207 เปิดบริการอย่างเป็นทางการตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2014 ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 11 วันโดยมีผู้โดยสารร่วมเดินทางกว่า 600 คนร่วมสำรวจเส้นทางแห่งดินแดนลึกลับ

การเดินทางด้วยรถไฟเริ่มสตาร์ทจากเมืองซีอาน ผ่านมณฑลกานซู่ (Gansu Province) เมืองอุรุมชี (Urumqi) เมืองเป่ยถุน (Beitun) เมืองเทอร์ปาน (Turpan) ซึ่งเป็นเขตปกครองตนเองซินเจียง (Xinjiang) รับรองว่าได้ชมวิวสองข้างทางรถไฟบนเส้นทางสายไหมกันทั้งวันทั้งคืน ยัง ยังไม่พอ ยังได้สัมผัสวัฒนธรรม ประเพณีโบราณ บนเส้นทางสายนี้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีไฮไลท์มากมายอย่างเช่น วัดถ้ำแห่งตุนหวง (Dunhuang) ถ้ำโม่เกา (Mogao Caves) ภูเขาหมิงซา (Echoing sand Mountain) ทะเลสาบจันทร์เสี้ยว (Crescent Lake) อันโด่งดัง  ดีงามมเลอค่าสุดๆ ไปเลย>,<

รถไฟสายนี้ถูกออกแบบมาอย่างดี มีเครื่องอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยสะดวกสบาย มีทั้งหมด 12 ตู้ แบ่งเป็นตู้นอนแบบไม่มีประตู 8 ตู้ มีเตียงทั้งหมด 60-66 เตียง และตู้นอนแบบมีประตู 4 ตู้ มีเตียงทั้งหมด 36 เตียง สามารถรองรับผู้โดยสารได้ทั้งหมด 666 คน โหห เลขสวยจริงๆ เมื่อรถไฟหยุดแวะตามจุดต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ลงเพื่อชื่นชมกับแหล่งท่องเที่ยว งานนี้ไม่ต้องกลัวตกรถไฟ เพราะถ้าผู้โดยสารมาไม่ครบรถไฟไม่ออกนะจ๊ะ

ราคาค่าตั๋วรถไฟ ตั้งแต่ 2,780 หยวนเป็นต้นไป เป็นราคาไป-กลับ รวมตู้นอนแบบมีและไม่มีประตู ค่าตั๋วรถไฟ อาหาร ประกันการเดินทาง ค่าไกด์แนะนำ รถ และค่าเข้าชมที่ท่องเที่ยวจ้า ทริปเกร๋ๆ ดีงามพระรามแปดเบอร์นี้พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงจร้า

เที่ยวภูเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon Snow Mountain), ลี่เจียง

ภูเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon Snow Mountain) เป็นภูเขาทางใต้ที่มียอดหิมะปกคลุมมากที่สุดในทางซีกโลกเหนือ ที่นี่ขึ้นชื่อสุดๆ ในเรื่องของวิวทิวทัศน์ทางธรรมชาติที่สวยจนแทบลืมหายใจ ซึ่งชนเผ่าพื้นเมืองน่าซี (Naxi) ได้อาศัยอยู่กันมายาวนาน

ภูเขาหิมะมังกรหยกมีความยาวเหนือจรดใต้ถึง 35 กิโลเมตร และมียอดเขาสูงถึง 13 ยอด โดยยอดที่สูงที่สุดคือ ซ้านจือโต่ว (Shanzidou) สูงถึง 5,596 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล โดยปกติภูเขามักจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวและหมอกบนท้องฟ้า ถ้าเรามองจากระยะไกลจะคล้ายกับมังกรสีขาวเงินนั่นเอง และตรงจุดยอดสุดของภูเขาก็สามารถมองเห็นได้จากเมืองเก่าลี่เจียง (Old Town of Lijiang) อีกด้วยจ้า และด้วยความสูงระดับเทพขนาดนี้ คนหัวแข็งมาทดสอบกันหน่อยเร็ว หัวเข่ากับหัวใจอะไรจะแข็งแรงกว่าค่า *0* ฮิ้ววว

จุดชมวิวที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ ได้แก่ สวนธารน้ำแข็ง (Glacier Park) ทุ่งหญ้าแห่งที่ราบสูงทะเลแห้ง (Ganhaizi Meadow) ทุ่งหญ้าจามรี (Yak Meadow) แม่น้ำขาว (White River) หรือหุบลำธารพระจันทร์สีฟ้า (Blue Moon valley) ทุ่งหญ้าหยุนซานผิง (Yunshanping) หรือทุ่งหญ้าบนที่ราบสูงดงสน (Spruce Meadow) และการแสดงสุดแสนประทับใจของลี่เจียง (Lijiang Show) แชะภาพรัวๆ ระวังนิ้วล็อคนะก๊ะ เก๊าห่วง

เราสามารถขึ้นกระเช้าเคเบิ้ลชมวิวรอบๆ และธารน้ำแข็งได้ด้วยจ้า ถูกใจหญิงปุ๊กสุดๆ เพราะให้เดินขึ้นอย่างเดียวคงจะไม่ไหว แหะๆ >,<  พอลงจากกระเช้าปุ๊ป ขึ้นบันไดต่อไปที่ความสูง 4,680 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ถึงแม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ แต่เล่นเอาหอบเลยจร้า แต่สู้ขาดใจเพื่อวิวแบบพาโนรามาด้านบน บอกเลยสวยมว๊ากกก กล้องรุ่นไหนๆ ก็ถ่ายสวยไม่ต้องพึ่งมีดหมอ เอ๊ย!!! Photoshop

แนะนำมาช่วงประมาณพฤศจิกายนไปจนถึงเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หิมะจะก่อตัวมากพอ และท้องฟ้าก็โปร่งเป็นใจให้ได้เห็นวิวสวยๆ ของพี่มังกรบนภูเขานั่นเองจร้า เปิดตั้งแต่ 7:00น.-18:00น. ใครอยากได้วิวระดับเทพ อัพเฟสมีติดว้าวต้องรีบมาเช็คอินที่นี่ด่วนเลยค่ะซิส

เที่ยวเมืองเก่าลี่เจียง (Lijiang Old Town), ลี่เจียง

เมืองเก่าลี่เจียง (Lijiang Old Town) ในเมืองลี่เจียง (Lijiang) เป็น 1 ใน 4 เมืองเก่าของประเทศจีน ที่ล้วนถูกอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดี อีก 3 เมืองที่เหลือได้แก่ เมืองเก่าหลางจงใน มณฑลเสฉวน (Langzhong Ancient Town in Sichuan) เมืองเก่าผิงเย๋าในมณฑลซานซี (Pingyao Ancient City in Shanxi) และเมืองเก่าเซ่อเสี้ยนในมณฑลอันฮุย (Shexian Ancient Town in Anhui)  ได้รับการจดทะเบียนขึ้นเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) ในปีค.ศ. 1997

ที่นี่มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า เมืองเก่าต้าเหยียน (Dayan Old Town) เป็นเมืองเก่าของชาวน่าซีพื้นเมือง (Naxi Ethnic Group) ประกอบไปด้วย 1 เขตเมืองเก่า และ 4 ตำบล รวมทั้งย่านเมืองใหม่ของลี่เจียง เมืองเก่าต้าเหยียน เมืองเก่าซู้เหอ (Shuhe Old Town) เมืองเก่าไป๋ซา (Baisha Old Town) และรวมไปถึงพื้นที่บางส่วนของหุบเขาเสือกระโจน นั่นเองจร้า

ที่นี่ถูกสร้างในช่วงราชวงศ์ซ่ง (Song Dynasty) ตอนปลายไปถึงหยวน (Yuan Dynasty) ตอนต้น ประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 800 ปีแล้ว! สถาปัตยกรรมทั้งหมดของเมืองเก่าลี่เจียงจะมีความแตกต่างจากที่อื่นๆ ในจีน เนื่องจากเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมของชาวน่าซีพื้นเมือง ซึ่งเป็นหนึ่งใน 56 กลุ่มชนพื้นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเผ่าหนึ่งของจีนทีเดียว โดยสถาปัตยกรรมแบบน่าซีได้รับอิทธิพลมาจาก ชาวฮั่น ไป๋ และทิเบต ทำให้ลักษณะที่อยู่อาศัยของที่ลี่เจียง จะมีหลังคามุงกระเบื้องซึ่งทำจากดินและไม้ หรือดินและหิน ประตูหน้าต่างมีการแกะสลักด้วยสีสันสะดุดตา มีต้นไม้ ดอกไม้ในและนอกบ้าน รวมถึงสร้างแบบเรียงติดๆ กันไปจนเกิดเป็นตรอก ซอก ซอย เก๋ไก๋ แปลกตาสุดๆ ปัจจุบันมีอาคารบ้านเรือนกว่า 6,200 หลัง มีคนอาศัยอยู่ในเมืองเก่ากว่า 25,000 คน และกว่า 30% เป็นชาวน่าซีนั่นเอง

หากเปรียบให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ที่นี่มีถนนอันเก่าแก่ทำหน้าที่เหมือนเป็นโครงข่ายที่เชื่อมเมืองเก่าเข้าไว้ด้วยกัน สายน้ำที่ไหลเปรียบเสมือนเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนในเมือง ร้านค้าและบาร์แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน และความเชื่อขนบธรรมเนียมของชาวน่าซี ก็เป็นเหมือนวัฒนธรรม และจิตวิญญาณของเมืองเก่าลี่เจียงนั่นเอง

เมืองเก่าลี่เจียงตั้งอยู่บนที่ราบสูงหยุนกุ้ย (Yungui Plateau) ที่ความสูง 2,400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เมืองเก่าแห่งนี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากภูเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon Snow Mountain) สามารถมองเห็นยอดเขาได้ด้วย หากไม่หนำใจก็เที่ยวภูเขาต่อเล้ยย

ของขึ้นชื่อที่นี่ก็มีเยอะนะจ๊ะ อย่างเช่น ขนมกินเล่นของชาวน่าซี พวก สลัด (Salad) เยลลี่ถั่วจีโต้ว (Jidou Pea Jelly) ลี่เจียงปาปา (Lijiang Baba) เป็นเค้กแบบชาวลี่เจียง หม่าปู้ผลไม้แปรรูป (Mabu Preserved Fruit) ชาถั่ว (Buttered Tea) เอ๋อร์ไขว้ (Er Kuai) เป็นเค้กข้าว หรือแม้แต่ชาบูหม้อทองแดงน่าซี (Naxi Copper Pot) โอโห้ งานนี้นอกจากกระเป๋าตังค์จะสั่นรัวๆ แล้ว ระวังน้ำหนักขึ้นด้วยน้า สลัดทิ้งก่อนกลับไม่ทันแล้วจ้า

[caption id="attachment_19303" align="alignnone" width="545"] เครดิตภาพ: https://www.3rdpoletour.com[/caption]

[caption id="attachment_19301" align="alignnone" width="562"] เครดิตภาพ: https://welcometochina.com.au[/caption]

 

เที่ยววัดทิเบตซงจ้านหลินซื่อ (Ganden Sumtseling Monastery), แชงกรีลา

วัดทิเบตซงจ้านหลินซื่อ (Ganden Sumtseling Monastery) จัดเป็นวัดทิเบตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยูนนาน (Yunnan) ที่นี่เรียกอีกชื่อว่า วัดกุยฮว่า (Guihua Monastery) ในเมืองแชงกรีลา (Shangri-La County) เริ่มสร้างในปีค.ศ.1679 แล้วเสร็จในเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้นเอง ตัววัดคล้ายๆ กับการกระจุกตัวของปราสาทโบราณ ซึ่งประกอบด้วยวัดทิเบต 2 วัด ได้แก่ จาชัง (Zhacang) และ จีฆัง (Jikang) ลักษณะของวัดมีหลังคาทองแดงที่ปิดด้วยทองช่วยทำให้วัดมีกลิ่นอายในแบบทิเบต มีเสาหินจำนวน 108 ต้นซึ่งเป็นเลขมงคลในทางพุทธศาสนา และบันไดที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์ในแบบชาวฮั่น (Han Natioanlity) อีกด้วย

ภายในห้องโถงหลักของวัด ทั้งซ้ายและขวาของห้องถูกวาดด้วยจิตรกรรมฝาผนังแสดงเรื่องราว และตำนานความเชื่อของชาวพุทธ และมีลานทางเดินภายในที่ถูกประดับไปด้วยรูปปั้นประติมากรรม และจิตรกรรมฝาผนัง ที่ประณีตวิจิตรงดงามยิ่งใหญ่อลังการดาวล้านดวงสุดๆ ไปเลยค่ะ

ภายในวัดเต็มไปด้วยรูปปั้นพระพุทธรูปแบบจีนทองคำขนาดใหญ่ โคมไฟทองคำ กระถางธูปทำด้วยเงิน และอีกมากมาย ซึ่งถูกเก็บสะสมเป็นคอลเลคชั่นเรื่อยมาจากแต่ละราชวงศ์ ถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาวทิเบตและชาวฮั่น สวยงามเลอค่าประทับใจหญิงปุ๊กจริงๆ

ในปีค.ศ. 1679 องค์ดาไลลามะได้ทำการเลือกสถานที่นี้ผ่านการทำนายดวงชะตา จนกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตติดลมบนของมณฑลยูนนานในปัจจุบัน ด้วยสไตล์ของสิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์พิเศษบวกกับบรรยากาศแบบลึกลับเบาๆ ทำให้ที่นี่มีฉายาว่าเป็นพระราชวังโปตาลาเล็ก (The Little Potala Palace) อีกด้วย

ทุกปีช่วง 26-29 ธันวาคมตามปฏิทินชาวทิเบต จะมีการจัดงานเทศกาลเกตุง (The Gedong Festival) ของชาวทิเบต แต่งกายใส่หน้ากากม้า วัว แกะ อีกา จามรี มารวมตัวกันที่จัตุรัสวัดทิเบต ซงจ้านหลินซื่อ ร่ายรำ ภายในวัดจะมีผู้คนคอยร่วมสวดมนต์หน้าพระพุทธรูป

วัดทิเบตซงจ้านหลินซื่อตั้งอยู่ที่ความสูง 3,300 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ที่นี่จะมีหิมะตกในช่วงสิงหาคม และมีฝนตกหนักในช่วงมิถุนายนไปจนถึงกันยายน แนะนำให้มาช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนจะดีที่สุดนะจ๊ะ

 

เที่ยวพระใหญ่เล่อซาน (Leshan Giant Buddha), เล่อซาน

พระใหญ่เล่อซาน (Leshan Giant Buddha) คือพระพุทธรูปของพระศรีอริยเมตไตรย (Maitreya) ซึ่งปกติเราจะเห็นเป็นพระโพธิสัตว์ขนาดใหญ่ มีรอยยิ้มกว้างๆ หน้าอก และท้องเปลือยเปล่าในท่านั่ง พระใหญ่เล่อซานประดิษฐานอยู่ทางตะวันออกของเมืองเล่อซานมณฑลเสฉวน (Sichuan Province) เป็นจุดที่แม่น้ำสามสายไหลมาบรรจบกันได้แก่ แม่น้ำหมิน (Min River) แม่น้ำชิงอี (Qingyi River) และแม่น้ำต้าตู้ (Dadu River) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) ในปี ค.ศ. 1996 กับเค้าอีกด้วย บอกเลยสวยงามยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ จ้า

พระใหญ่เล่อซานเริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 713 ในช่วงราชวงศ์ถัง (Tang Dynasty) และแล้วเสร็จในปีค.ศ. 803 ใช้กำลังคนเป็นพันๆ ชีวิตทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจรวมถึงภูมิปัญญาในการสร้าง และใช้เวลากว่า 90 ปีในการแกะสลัก จนกลายมาเป็นพระพุทธรูปหินแกะสลักที่ใหญ่ที่สุดในโลก และปรากฏในบทกวี เพลงและเรื่องราวต่างๆ มากมาย

ลักษณะพระพุทธรูปจะหันหน้าไปทางแม่น้ำ มีองค์ประกอบที่สมมาตรสวยงามอยู่ในท่าทางสงบนิ่ง เคร่งขรึม ดูสง่างาม องค์ท่านมีความสูง 71 เมตร นิ้วมือยาว 8.3 เมตร ฝ่าเท้ากว้าง 9 เมตร มากพอที่จะให้คนสักร้อยคนนั่งได้สบายๆ ใหญ่จริงอะไรจริงค่ะ! นอกจากนี้ไหล่ขององค์พระยังกว้างถึง 24 เมตรกว้างพอๆ กับสนามบาสเกตบอลเลยทีเดียว ว้าวว!!

การสร้างพระใหญ่เล่อซานนั้นเล่าขานกันว่า มีพระรูปหนึ่งชื่อ ไฮ่ทง (Hai Tong) ได้ริเริ่มที่จะสร้างองค์พระขึ้นที่จุดรวมแม่น้ำสามสายแห่งนี้ เพราะบริเวณนี้มักเกิดอุบัติเหตุทางเรืออยู่เป็นประจำ จึงคิดสร้างองค์พระขึ้นเพื่อให้คนที่นั่งเรือมาสังเกตได้จากระยะไกล มีเวลาเตรียมตัวนั่นเอง นอกจากนี้การแกะสลักองค์พระใหญ่เล่อซานไว้ข้างแม่น้ำเชื่อว่าพระองค์จะช่วยควบคุมสายน้ำได้ และหินที่ตกลงสู่แม่น้ำระหว่างการแกะสลัก ก็จะช่วยลดแรงของน้ำบริเวณนั้นได้อีกด้วย เป็นความเชื่อผสมกับภูมิปัญญาอันชาญฉลาดจริงๆ ปรบมือให้รัวๆ เลยค่ะ

เสน่ห์ของพระใหญ่เล่อซานไม่ได้อยู่เพียงแค่ขนาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่มีเรื่องของความสวยงามทางด้านศิลปะสถาปัตยกรรมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นศรีษะขององค์พระที่มีมวยเกศาถึง 1,021 จุด ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและชำนาญเป็นอย่างมากในการสร้าง อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่เป็นไฮไลท์คือ ระบบการระบายน้ำที่มีการวางรางและช่องกระจัดกระจายซ่อนอยู่ตรงบริเวณศีรษะ แขน หลังหู และในเสื้อผ้า ช่วยปกป้ององค์พระจากน้ำฝนทำให้องค์พระด้านในแห้ง หรือแม้แต่หูขนาดใหญ่ทั้งสองข้างที่ยาวถึง 7 เมตรสร้างด้วยไม้และตกแต่งพื้นผิวด้วยโคลน จากฝีมือคนเมื่อ 1,000 ปีมาแล้ว!! สุดยอดด งานดีเบอร์นี้ ไม่พูดเยอะละค่ะ เจ็บคอ 555

[caption id="attachment_19314" align="alignnone" width="500"] เครดิตภาพ: https://whc.unesco.org[/caption]

เที่ยวภูเขาเอ๋อเหมยซาน (Mount Emei), เล่อซาน

ภูเขาเอ๋อเหมยซาน (Mount Emei) ตั้งอยู่ในเมืองเล่อซาน (Leshan City) มณฑลเสฉวน (Sichuan) เอ๋อเหมยซานเป็นภูเขาที่สูงตระหง่านสวยงามและลึกลับ มองดูเผินๆ เหมือนฉากสีเขียวขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของที่ราบเฉิงตู ขดไปขดมา รูปทรงที่สวยงามของมันก็จะคล้ายๆ คิ้วของเด็กผู้หญิง นับเป็นหนึ่งในเขาลูกที่สูงที่สุดในประเทศจีนเลยทีเดียว

จุดชมวิวบนภูเขาที่สวยที่สุด ได้แก่ วัดเป้ากั๋ว (Baoguo Temple) วัดว่านเหนียน (Wannian Temple) (Qingyin หงชุนผิง (Hongchun Buddhist Convent) ฝูหู่ซื่อ (Fuhu Temple) เซิ่งจีซื่อท๋งถ่า(Shengji Temple Pavillion with Bronze Bell) จุดที่สูงที่สุดของที่นี่นั้นสูงถึง 3,077 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลเลยทีเดียว บนจุดนี้จะเห็นวิวของภูเขาหิมะทางตะวันตกคู่ไปกับที่ราบกว้างใหญ่ทางตะวันออก ไปยืนชมเมฆด้านล่างนึกว่าตัวเองเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ อร๊ายยย >,<

ความมหัศจรรย์ของที่นี่ คือต้นไม้จะมีสีเขียวตลอดทั้งปี น้ำตกและทิวทัศน์โดยรอบสวยงามและเงียบสงบ สีสันบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปตามความสูง อากาศ และฤดูกาล และแน่นอนด้วยความอันซีนของที่นี่ ทำให้เค้าได้รับการจดทะเบียนขึ้นเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) ไปตามระเบียบจร้า

ภูเขาเอ่อเหมยซานมีประวิติศาสตร์ที่ยาวนานมาก หากดูจากข้อมูลทางโบราณคดีพบว่า คนสมัยโบราณเคยอาศัยอยู่ที่นี่ แม้กระทั่งจักรพรรดิซวันหยวน (Emperor Xuanyuan) ก็เคยมาเพื่อศึกษาปรัชญาเต๋าเมื่อ 5,000 ปีก่อนอีกด้วย OMG นานมว๊ากก!! ปัจจุบันนี้วัฒนธรรมทางพุทธศาสนาได้กลายมาเป็นวัฒนธรรมหลักของเอ๋อเหมย ดังจะเห็นได้จากสถาปัตยกรรม ดนตรี การวาดภาพในถ้ำ หรือภูเขา

ที่นี่ยังมีพันธ์ุพืชมากมายกว่า 3,200 ชนิด นอกจากนี้ยังมี ชาเอ๋อเหมย (Mount Emei tea) จัดเป็นชาที่ขึ้นชื่อมว๊ากๆ ของประเทศจีน กลิ่นหอมงานดีฝุดๆ เล้ยย หากใครจะมาที่นี่เค้าเปิดวันที่ 1 พฤษภาคมถึง 7 ตุลาคม เวลา 6:00น.-18:30น. และอีกช่วงคือวันที่ 8 ตุลาคมถึงวันที่ 30 เมษายนเวลา 7:00น.-17:30น. เล่ามาขนาดนี้รีบจัดทริปตามมาด่วยเลยค่า We Love China..