เที่ยวโบลิเวีย (Bolivia) เมืองทิเบตแห่งอเมริกา ตั้งอยู่ห่างไกลออกไปเกือบสุดซีกโลกตะวันตก ประเทศใจกลางอเมริกาใต้ที่หลากหลาย วัฒนธรรม เชื้อชาติ และภูมิศาสตร์ เป็นที่พักพิงของชาวชนพื้นเมืองที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งสืบทอดกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ค่ะ โบลิเวียไม่สามารถเข้าถึงได้ทางทะเล เพราะถูกล้อมรอบไว้ด้วยประเทศใหญ่ๆ อย่าง บราซิล เปรู ปารากวัย และชิลี แต่เป็นหนึ่งประเทศตั้งอยู่ติดกับลุ่มน้ำที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง ‘อเมซอน’ ไหนใครเป็นสาวกอนาคอนด้าบ้างยกมือขึ้น! ปลุกใจกันมาขนาดนี้ พร้อมที่จะไปลุยกับทริปโบลิเวียหรือยังคะ... โก โก โก๊!

 

เที่ยวซาลาร์เดออูยูนิ (Salar de Uyuni)


ซาลาร์เดออูยูนิ หรือ ทะเลเกลืออูยูนิ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งเคยเป็นทะเลสาบในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ถูกทิ้งร้างให้แห้งระเหยค่ะ ตั้งอยู่ในเขตโปโตซีประเทศโบลิเวีย ที่นี่อยู่ห่างสนามบินลาปาซไปเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ซาลาร์เดออูยูนิมีพื้นที่มากกว่า 10,000 ลูกบากศ์กิโลเมตร กลางที่ราบแห่งนี้มีความหนาของเกลือสูงมากกว่า 10 เมตร ช่วงฤดูแล้งทะเลเกลือแห่งนี้จะแห้ง และเกาะกลุ่มก้อนกองเกลือเป็นรูปร่างต่างๆ ราวกับประติมากรรมที่ธรรมชาติสร้างสรรค์  ในฤดูฝนพื้นผิวของที่ราบแห่งนี้จะปกคลุมไปด้วยน้ำฝนบนพื้นผิว สะท้อนแสงกระทบกับดวงอาทิตย์อย่างสวยงามราวกับภาพวาด และยังมีองค์ประกอบพื้นหลังเป็น เกาะ Isla Incahuasi เนิ่นเขาหินขนาดใหญ่ มีลักษณะคล้ายกับสวน Cactus หรือ สวนกระบองเพชร ที่ตั้งเด่นอยู่กลางที่ราบเกลือแห่งนี้ ทุกมุมของทะเลเกลือซาลาร์เดออูยูนิ เหมาะกับการยืนเขย่งเท้า ทำตัวลอยๆ สะบัดกระโปรงพริ้ว ช็อตนี้เลยค่ะ! กดชัตเตอร์อัพโหลดรูปลงโซเชี่ยล พร้อมแคปชั่น ลาลาลอย in Bolivia ให้ฟอลโลเวอร์อิจฉา ต้องรีบแพ็คกระเป๋าตามมาแน่นอน!















นอกจากความสวยงามแล้ว ซาลาร์เดออูยูนิยังเป็นแหล่งพลังงานสกัดเกลือ และลิเธียมซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งการสร้างพลังงานให้กับแล็ปท็อป มือถือสมาร์ทโฟน และรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย รวมถึงบริเวณใกล้เคียงยังมีสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่าง พาลาสิโอ เดอ ซาล (Palacio De Sal) หรือ โรงแรมเกลือ ซึ่งโครงสร้างของโรงแรมแห่งนี้ถูกก่อสร้างขึ้นโดยเกลือที่นำมาจากซาลาร์เดออูยูนิทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผนัง พื้น เพดาน เตียง โต๊ะ เก้าอี้ ล้วนทำมาจากเกลือค่ะ!  ใครที่มีแพลนจะไปที่จะซาลาร์เดออูยูนิ อย่าพลาดที่จะจองโรงแรมเกลือล่วงหน้าเลยนะคะ เพราะว่าทริปนี้กลางคืนก็สวยไม่แพ้กลางวันแน่นอน เพราะท้องฟ้ายามค่ำคืนของทะเลเกลือแห่งโบลิเวียนี้จะไม่ทำให้เราผิดหวังแน่นอนค่ะ

เราสามารถจองทัวร์ล่วงหน้าเพื่อไปชมซาลาร์เดออูยูนิได้จาก https://www.amaszonas.com/en-us/ ระยะเวลาการเยี่ยมชมทะเลเกลือเริ่มต้นที่ 130 ดอลล่าร์ ประมาณ 4,300 บาท ต่อ 1 ชั่วโมง แบบทริปไปกลับ หรือใครที่สนใจจะไปพักค้างคืนก็สามารถดูรายละเอียดการรับส่งได้ในเว็บไซด์ แต่แก๊งค์ไหนที่ชอบเดินทางกันแบบขาลุย ก็สามารถจองรถทัวร์นอนจากตัวเมืองลาปาซได้จาก http://www.transomar.com/es/ ที่นี่ค่ะ ราคาต่อเที่ยวอยู่ที่ 30 – 40 ดอลล่าร์ หรือ ประมาณ 1,200 – 1,400 บาท











 

เที่ยวลาปาซ (La Paz)


ลาปาซ หรือ Nuestra Señora de La Paz “Our Lady of Peace” เมืองหลวงที่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง 3,250 และ 4,100 เมตร ท่ามกลางหุบเขาแอนดีส (The Valleys of the Andes) และศูนย์กลางของเมืองนี้ยังมีหุบเขาลึกลงไปกว่า 430 เมตร หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า ที่ราบอัลทิพลาโน (Altiplano) หรือ ที่ราบสูงแห่งชีวิต เชื่อมต่อระหว่างพรหมแดนเปรู และโบลิเวีย มีแม่น้ำโชกียาปู (Choqueyapu River) เป็นหัวใจหลักของเมือง ลาปาซเป็นเมืองที่มีประชากร และนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามามากที่สุดในโบลิเวียค่ะ เมืองลาปาซมีลักษณะโดดเด่นในด้านภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย ทุกซอกมุมของเมืองนี้เต็มไปด้วยอารยธรรม วัฒนธรรม ที่ชวนให้หลงใหลราวกับเข้าไปเดินอยู่ในภาพวาดในโปสการ์ดตามร้านของฝากเลยค่ะ











นอกจากนี้เมืองลาปาซยังมีพื้นหลังที่สวยงามจากวิวทิวทัศน์ของภูเขาไฟที่สูงเป็นอันดับที่ 2 ของโบลิเวีย อย่าง ภูเขาไฟ Illimani หรือ ที่ชาวท้องถิ่นเรียกว่า ผู้พิทักษ์แห่งลาปาซ (Guardian of La Paz) เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา Cordillera Real ของภูเขาแอนดีส ยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะนั้นมีความสูงถึง 6,402 เมตร ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง ใครเป็นสายลุย ชื่นชอบการปีนเขา ก็สามารถเตรียมชุด และอุปกรณ์การปีนเขาไปเพื่อพิชิตยอดภูเขาไฟ Illimani ได้ค่ะ เราจะได้สัมผัสกับภาพวิวทิวทัศน์ของเมืองที่สูงที่สุดในโลกได้อย่างเต็มๆ ตาแน่นอน









อีกหนึ่งตัวเลือกของเมืองนี้คือ การเดินเล่นพร้อมกับกล้องคู่ใจชมเมืองลาปาซเป็นกิจกรรมที่แนะนำค่ะ เพราะการเดินเที่ยวรอบเมืองเสพศิลป์ ชมวัฒนธรรม สามารถเข้าชม พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์เด็ก พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยาและคติชนวิทยา พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติ และตลาดแม่มด (Mercado de Brujas) ที่โด่งดังเรื่องการขายเครื่องสมุนไพรทำยาต่างๆ รวมทั้งยังเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์สินทรัพย์ทางวัฒนธรรมของเมืองลาปาซอีกด้วยนะจ๊ะ









 

เที่ยวทะเลสาบติติกากา (Lake Titicaca)


ทะเลสาบติติกากา เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้ และสูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่ความสูง 3,812 เมตร จากระดับน้ำทะเล ตามความเชื่อของชาวแอนเดียน อินคาโบราณ ทะเลสาบติติกากาคือ บ้านเกิดของดวงอาทิตย์ ที่สถิตอยู่ของ เทพพระเจ้าแห่งความสมบรูณ์ (Kotakawana) ต่อมาเมื่อมีการกำเนิดศาสนาได้มีการก่อสร้างคริสตจักร Virgin of Copacabana ขึ้นเพื่อเป็นที่ศักการะเทพพระเจ้าที่ชาวโบลิเวียมีความเชื่อ เลื่อมใสในความศักดิ์สิทธิ์ของทะเลสาบแห่งนี้

การไปเยี่ยมชมทะเลสาบติติกาสามารถเดินทางด้วยเท้าผ่านเชิงเขาเข้าไปได้ การเดินทางที่คุ้มค่าจะเกิดขึ้นมาเราไปถึงจุดหมาย ภาพของน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้ม มีเกาะเล็ก เกาะน้อย ถูกตกแต่งโดยธรรมชาติด้วยต้นไม้ และหญ้าเขียวนั้นบอกได้ว่า ทะเลสาบติติกาอันกว้างใหญ่ด้านหน้าของเราจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับการฝ่าความร้อนเข้าที่นี่ค่ะ ขอแนะนำให้โบกครีมกันแดดไปเยอะๆ เลยนะคะ เพราะที่นี่คือบ้านเกิดของดวงอาทิตย์ยังไงล่ะ! แดดเผาเกรียมแน่นอนค่ะ ควรสวมเสื้อผ้าแขนยาวขายาวที่สามารถระบายความร้อนได้ดี โปะครีมกันแดดหนาๆ ถ้าไม่อยากตัวไหม้ หน้าไหม้นะจ๊ะ เตือนแล้วนะ อย่าม่อมแม่มกลับบ้านน้า 5555555











 

เที่ยวโบลิเวียน อเมซอน (Bolivian Amazon)


โบลิเวียน อเมซอน พื้นที่ป่าฝนเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผืนป่าโบลิเวียนั้นมีความกว้างกินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศมากกว่า 1,000 กิโลเมตรค่ะ ทางเข้าโบลิเวียอเมซอนที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ ทางเข้ารูร์เรนาบาเก (Rurrenabaque Gateway) เมืองรูร์เรนาบาเกตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงลาปาซไปทางเหนือประมาณ 400 กิโลเมตร ผ่านเมืองรูร์เรนาบาเกเข้าไปสู่ อุทยานแห่งชาติมาดิดิ (Madidi National Park)  แน่นอนว่าเข้าป่า เราก็ต้องไปลุยกันกับกิจกรรมเดินป่า ล่องลุ่มน้ำอเมซอน ชมสัตว์ป่าเขตร้อน ทางอุทยานจะมีการจัดทัวร์ให้เราสามารถเลือกได้ โดยทัวร์ของทางโบลิเวียนอเมซอนมีให้เลือก 2 รูปแบบได้แก่







เดอะพัมพาส The Pampas จะเป็นทัวร์ที่พาเราไปล่องลุ่มน้ำอเมซอนกันแบบ 3 วัน มีการตั้งแคมป์ แต่ส่วนมากจะเป็นการทัวร์อยู่บนเรือ โดยมีไกด์ค่อยให้ข้อมูลเป็นระยะๆ การล่องเรือชมสัตว์ป่าแห่งอเมซอน เราจะได้เจอกับ ลิง นกหลากหลายพันธุ์ รวมทั้ง ไคแมน คาปิบารา เต่า โลมาแม่น้ำสีชมพู และอนาคอนดา! อึ้งไปเลยใช่ไหมคะ เราจะได้เห็นอนาคอนด้าจริงๆ หรอ ...แต่คงไม่ได้ตัวใหญ่เท่าในหนังเน๊อะะะะ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมตกปลาปิรันย่า ว่ายน้ำกับโลมาสีชมพู และส่องจระเข้ตอนกลางคืนด้วยค่ะ มีแต่อะไรน่าตื่นเต้นทั้งนั้นเลย ว่าแต่ปลาปิรันย่านี่ ย่างกินจะอร่อยมั้ยนะ อิอิ สำหรับทัวร์พัมพาสจะอยู่ที่ราคา 200-300 ดอลล่าร์ ตีเป็นเงินไทยประมาณ 6,500 – 10,000 บาท ยังไม่รวมค่าเข้าอุทยานอีกประมาณ 20 ดอลล่าร์หรือประมาณ 700 บาท

ส่วนทัวร์ที่ 2 คือ จังเกิล ทัวร์ Jungle Tour จะเป็นทัวร์เดินป่า ระยะเวลา 2-5 วัน แล้วแต่เราจะเลือกค่ะ กิจกรรมของจังเกิลทัวร์จะแบ่งออกเป็นตอนกลางวัน และตอนเย็น ในช่วงกลางวันไกด์จะพยายามเราไปส่องสัตว์ เราจะมีโอกาสได้เห็น กวางเพกคารี ลิงคาโปบาบา และนกพันธุ์แปลกๆ หลากหลายชนิด ในช่วงเย็นถึงกลางคืนไกด์จะพาเราออกไปส่องสัตว์ที่ออกหากินช่วงกลางคืนอย่าง อาร์มาดิลโล งู สมเสร็จ และนกกลางคืน แต่ไฮไลท์สำหรับคนที่แต้มบุญสูงๆ เราอาจจะเสียงเสียงคำรามของเสือจากัวร์ที่ออกหากินตอนกลางคืนด้วยค่ะ! และอีกหนึ่งกิจกรรมคือ การไปบุกรังของเจ้านกแก้วมาคอร์ค่ะ ไกด์จะพาเราไปสำรวจรังของเจ้านกสีสวยเหล่านี้ในตอนเช้า ราคาของจังเกิลทัวร์จะแพงกว่าพัมพาสอยู่เล็กน้อย และยังไม่รวมค่าเข้าอุทยานเช่นกัน สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมของทัวร์ได้ที่นี่ค่ะ https://www.findlocaltrips.com/

















 

เที่ยวถนนยุงกัส (Yungas Road)


เส้นทางที่อันตรายที่สุดในโลก ถนนยุงกัส ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวงลาปาซ ได้ชื่อว่าเป็น ถนนแห่งความตายของโบลิเวีย (Bolivia’ Death Road) ถนนสายนี้จะนำทางจากลาปาซไปสู่โคโรโก ระหว่างจะถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขา และหน้าผาที่ขรุขระอันตรายยาวกว่า 69 กิโลเมตร ระดับความสูงของหน้าผาที่สุดสูงถึง 4,650 เมตร และค่อยๆ ลดระดับลงเรื่อยเมื่อใกล้ถึงเมืองโคโรโก เป็นเส้นทางตัดผ่านป่าอเมซอนไปยังเมืองหลวง นอกจากเป็นเส้นทางสำหรับการคมนาคมผ่านไปยังเมืองอื่นแล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมสำหรับสายหมอบ ใครที่ชื่นชอบการปั่นจักรยานวิบาก เส้นทางยุงกัสคือ หนึ่งความท้าทายสำหรับชีวิตคุณค่ะ ในแต่ละปีจะมีนักปั่นมาจากทั่วทุกมุมโลก ตั้งขบวนกันปั่นจักรยานเพื่อพิชิต Death Road แห่งนี้