ใครที่ชอบเดินทางบ่อย ๆ คงจะรู้ดีว่าน้ำหนักกระเป่านี่ก็เป็นเรื่องน่ากังวลใจไม่น้อย ขาไปไม่เท่าไหร่ ขากลับนี่สิค๊าาาา ไหนจะกระเป๋างอก ไหนจะน้ำหนักเกิน ช้อปเพลินเกินห้ามใจอะไรก็ฉุดไม่อยู่  เรียกได้ว่าช่วงชั่งน้ำหนักกระเป๋าที่สนามบินนี่เป็นช่วงที่ต้องลุ้นระทึกกันเลยทีเดียว เพราะค่าธรรมเนียมกระเป๋าเกิน (Baggage Fee) นี่ทำให้ใครๆ ร้องไห้หนักมากกกก กันมาบ้างแล้ว  แต่ไม่ต้องตกใจไปค่ะวันนี้เรามีทริคดี ๆ เกี่ยวกับการโหลดกระเป๋าว่าน้ำหนักเท่าไหร่ถึงจะได้โหลดกระเป๋าฟรีมาฝากกันค่ะ

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนค่ะว่ากระเป๋าที่เราสามารถหิ้วขึ้นเครื่องและโหลดใต้ท้องเครื่องโดยทั่วไปนั้นมีน้ำหนักเท่าไหร่กันบ้าง

สัมภาระที่เราเอาติดตัวขึ้นไปบนเครื่องบินด้วย

กระเป๋าหรือสัมภาระที่เราสามารถหิ้วขึ้นเครื่อง หรือถือไว้กับตัวได้ตลอด ก็จะเป็นพวกกระเป๋าถือ กระเป๋าสะพายที่เราเอาไว้ใส่ของสำคัญต่างๆ เช่น กล้องถ่ายรูป พาสปอร์ต เงินสด ยาประจำตัวที่สามารถหยิบมาใช้ได้ทันที หรือส่วนที่เราจะสามารถถือไว้กับตัว ถือติดตัวไว้ตลอด เช่นพวกกระเป๋าถือ กระเป๋าสะพายเล็กๆ ที่เราไว้ใช้ใส่ของที่สำคัญๆ หรือของจำเป็นต้องเอาติดตัวไว้ตลอด โดยปกติสายการบินส่วนใหญ่จะกำหนดน้ำหนักสัมภาระที่เราเอาติดตัวขึ้นไปบนเครื่องบินด้วยได้นั้น ให้มีน้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัมค่ะ

สัมภาระที่เราสามารถโหลดไปใต้ท้องเครื่องบิน

ส่วนนี้ เป็นสัมภาระจำพวกเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว ที่เราไม่จำเป็นต้องใช้ในขณะเดินทาง เราก็จะนำสัมภาระส่วนนี้โหลดไว้ที่ใต้ท้องของเครื่องบิน โดยสายการบินส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ที่น้ำหนักไม่เกิน 20 กิโลกรัม สำหรับชั้นประหยัดค่ะ

 

เที่ยวอย่างไรให้เซฟเงินค่า Baggage Fee

แต่อย่างไรก็ตามน้ำหนักของกระเป๋าที่แต่ละสายการบินอนุญาตให้โหลดได้ก็มีไม่เท่ากันค่ะ ต้องลองเช็คกันให้ดีว่าสายการบินไหน ไหนให้โหลดได้กี่กิโลค่ะ  พอรู้หลักการคร่าวๆ แล้วเราลองมาดูทริคง่ายๆ ที่เราทำได้โดยไม่ต้องลุ้นระหว่างรอชั่งกระเป๋ากันค่ะ

  1. ถ้าเดินทางช่วงหน้าหนาวล่ะก้ไม่ต้องจัดกระเป๋าให้ครบวันที่ไปก็ได้ค่ะ เลือกเสื้อกันหนาวสีเข้มไปสัก ตัว-สองตัว ส่วนเสื้อด้านในก็เปลี่ยนใส่ได้ค่ะ ไม่มีใครรู้หร๊อกกก  อิอิ  ชิลๆ สบายๆ เหลือที่ว่างไว้ใส่ของฝากตอนกลับจะดีกว่า ส่วนหากใครไปหน้าร้อนหรือซัมเมอร์นี่สบายค่ะ เสื้อผ้าที่เอาไป หาแบบบาง ๆ ซักตากแห้งได้ในห้อง สลับกันใส่ขาไปจะได้หิ้วกระเป๋าสบาย ๆ ส่วนขากลับ ช้อปเพลินแค่ไหนก็ยังเหลือพื้นที่ในกระเป๋าอยู่
  2. อุปกรณ์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นไดร์เป่าผม รองเท้าแตะใส่ในห้อง  ไม่ต้องขนไปค่ะ โดยปรกติทางโรงแรมจะมีให้อยู่แล้ว หากไม่มีไม่ต้องกังวลไปค่ะ มัดๆ รวบๆ ง่ายๆให้สบายและสะดวกไว้ก่อน พวกครีมบำรุงก็เช่นกัน ซื้อเป็นซองพกไปสะดวกสบาย พกง่าย น้ำหนักเบาค่ะ
  3. แชร์โหลดกับเพื่อนสิคะ หากไปกันหลายคนเราสามารถเฉลี่ยน้ำหนักกระเป๋ากับเพื่อนๆ ได้ค่ะ เวลาไปเชคอินพร้อมๆ กันกับเพื่อน ตอนชั่งน้ำหนักกระเป๋าเราสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ค่า สมมุติว่า ไปกัน 3  คน น้ำหนักกระเป๋าเฉลี่ยรวมกัน ได้ประมาณ 60 Kgs.  เท่านี้ก็จะพอเซฟค่าใช้จ่ายได้แล้วล่ะค่ะ
  4. มีกระเป๋าผ้าสำรองไว้สักใบค่ะ เอาไว้ขากลับ ของฝากหรือของที่จำเป็นต้องโหลดก็ยัดไว้ในกระเป๋าแล้วโหลดลงท้องเครื่องเลยค่ะ ส่วนกระเป๋าผ้าที่เตรียมมาก็เอามาใส่เสื้อผ้าบางส่วนและของใช้ ไว้ใส่ขึ้นเครื่อง แบกกันตัวเอียงแต่หนักหน่อยไม่เป็นไร ศรีทนได้อยู่แล้วค่ะ
  5. ซื้อของเยอะทำไงดี น้ำหนักเกินแน่ๆ คราวนี้ อย่าพึ่งตกใจ ลองเช็คว่าปลายทางมีขนส่ง หรือโลจิสต์ติกที่ส่งของกลับไทยในราคาเป็นมิตรมั้ย ถ้ารู้ตัวว่าซื้อเยอะแล้วอาจจะโดนชาร์จค่ากระเป๋าแยะล่ะก็ขอแนะนำให้ส่งกลับมาบางส่วนก่อนเลยค่ะ อาจจะถึงช้าสักนิดแต่ก็ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักกระเป๋าเกินแน่นอน

 

เห็นมั้ยล่ะคะ เท่านี้ก้อช่วยเซฟค่า Baggage Fee ไปได้ตั้งเยอะเลยล่ะค่ะ จะเที่ยวให้สนุกทั้งทีต้องมีการวางแผนล่วงหน้านะคะ ไม่เฉพาะแค่ทริปการเดินทางที่ต้องเตรียมข้อมูลอย่างเดียว ทริคต่างๆ ที่ช่วยให้คุณเที่ยวได้อย่างสะดวกสบายและประหยัดก็สำคัญเช่นกันค่ะ