30 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวสแกนดิเนเวีย Scandinavia ฟินแลนด์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน
ฟินแลนด์
กรุงเฮลซิงกิ เป็นเมืองหลวงของประเทศฟินแลนด์ ขนาดของเมืองไม่ใหญ่โตมากนัก แต่มีหลากหลายวัฒนธรรมทั้งตะวันออกและตะวันตก เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่อันงดงามและสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ผสมผสานกับเทคโนโลยีชั้นสูงได้อย่างลงตัว อีกทั้งทำเลที่ตั้งอยู่กลางหมู่เกาะมากมายในทะเลบอลติก รายล้อมไปด้วยความงามของธรรมชาติ ทำให้เฮลซิงกิได้รับฉายาว่าเป็น ธิดาแห่งทะเลบอลติก และยังได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรปด้วยค่า นับเป็นเมืองขนาดกะทัดรัดที่มีเสน่ห์ มีชีวิตชีวา ผู้คนก็อัธยาศัยดีเป็นมิตร และที่สำคัญเมืองเฮลซิงกิ ยังมีชื่อเสียงในเรื่องของการท่องเที่ยวอีกด้วย
เที่ยวซเนท สแควร์ Senate Square
เซเนท สแควร์ เป็นจตุรัสกลางเมืองที่สำคัญของเฮลซิงกิค่ะ ใช้สำหรับจัดกิจกรรมใหญ่ๆ ของเมือง มีอนุสาวรีย์พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ประดิษฐานอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ ณ ใจกลางจตุรัส โดยรอบรายล้อมด้วยตึกทั้งสี่หลังด้วยกันค่ะ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรปอันเก่าแก่ที่มีความงดงามให้เหล่านักท่องเที่ยวได้ชื่นชมกัน ได้แก่ มหาวิหารเฮลซิงกิ ตึกมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ ทำเนียบรัฐบาล และหอสมุดแห่งชาติฟินแลนด์
เที่ยวโบสถ์เทมเปลิโอคิโอ Temppeliaukio Church
โบสถ์แห่งความรักเทมเปลิโอคิโอ หรือที่รู้จักกันในชื่อ โบสถ์หิน (Rock Church) ค่ะ เริ่มสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2511 ใช้เวลาในการก่อสร้าง 1 ปีเต็ม ถือเป็นโบสถ์ที่แปลกตามากค่า ดูภายนอกแล้วอาจจะไม่เหมือนโบสถ์ซักเท่าไหร่ 5555 แต่เดิมเป็นภูหินแกรนิตใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางเมือง สร้างขึ้นจากการระเบิดชั้นหินธรรมชาติ ออกแบบโดย Timo และ Tuomo Suomalainen เป็นสถาปนิกพี่น้องชาวฟินแลนด์ และเปิดอย่างเป็นทางการในปี 1969 ค่ะ
เมื่อเข้ามาภายในโบสถ์ จะได้เห็นความสวยงามตั้งแต่กำแพงที่สร้างด้วยหินเหมือนธรรมชาติ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในถ้ำ จนถึงหลังคาที่ประดับด้วยลวดทองแดง นำมาขดเป็นวงกลมใหญ่ สร้างความสวยงามสะดุดตา ลักษณะของโดมคล้ายกับท้องฟ้าจำลอง มีช่องด้านบนแบบโปร่งแสงเพื่อให้แสงสว่างสามารถลอดผ่านเข้ามาได้ค่ะ
ปัจจุบันโบสถ์แห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม โดยมีนักท่องเที่ยวมาที่โบสถ์แห่งนี้ปีละกว่า 500,000 คนเลยทีเดียว โดยผู้คนมีความเชื่อว่า ใครที่มาจุดเทียนอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องความรักจะสมหวังทุกประการ และคู่รักที่มาแต่งงานกัน ณ โบสถ์แห่งนี้จะครองรักกันยืนยาวค่า หาคู่กันมาด่วนๆ เล้ยยย ฮิฮิ
เดินเที่ยวเล่นรอบเมือง และช้อปปิ้งถนน Aleksanterinkatu
ภายในตัวเมืองสามารถเดินเล่นได้สะดวกเลยค่ะ วางผังเมืองดีทำให้เดินง่าย ในส่วนของถนนช้อปปิ้งนั้น ชื่อถนน Aleksanterinkatu เป็นถนนสายที่สำคัญของเมืองและบรรดาขาช้อปทั้งหลาย เป็นถนนที่มีความยาวที่สุดของเมือง อยู่ใกล้กับทำเนียบประธานาธิบดี และสถานที่ที่มีชื่อเสียงอีกหลายแห่งค่ะ ทั้งสองฝั่งถนนนั้นเต็มไปด้วยร้านค้าขายของแบรนด์ดังต่างๆ และร้านอาหารอีกมากมายที่ดึงดูดผู้คนเป็นจำนวนมาก นับเป็นถนนคนเดินที่มีชีวิตชีวา คึกคักไปกับแสงสี เหมาะแก่การพบปะ รวมตัว สังสรรค์ โดยจะเป็นที่นิยมอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อนค่ะ
และทุกๆ ปีในเดือนพฤศจิกายน ช่วงวันคริสต์มาส นักท่องเที่ยวจะแห่มาชมการตกแต่งไฟคริสมาสต์ที่สวยงามตระการตา แต่ละร้านมีการประดับประดาด้วยแสงไฟ ยิ่งทวีคูณความสวยงามและคึกคักของถนนเส้นนี้ไปอีกค่า Aleksanterinkatu นับเป็นถนนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งเลยนะคะ เพราะได้ทั้งช็อปปิ้ง เที่ยวชมสถานที่ และฉลองเทศกาลวันหยุดอีกด้วย
นอกจากเที่ยวเมืองหลวงของฟินแลนด์แล้ว สิ่งที่น่าสนใจมากๆ ที่ฟินแลนด์คือ การมาล่าแสงเหนือ และมาเยี่ยมลุงซานต้าที่บ้านเกิดค่า จะสนุกขนาดไหน ไปชมกันเลยจ้า
เที่ยวโรงแรมเรือนกระจก Glass Igloo, Kakslauttanen Arctic Resort
ประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้นอนในรีสอร์ทเรือนกระจก Glass Igloo ที่มีแห่งเดียวในโลก ที่ Kakslauttanen ประเทศฟินแลนด์ ตั้งอยู่ใกล้ Urho Kekkonen อุทยานแห่งชาติในฟินแลนด์ เอกลักษณ์พิเศษที่ชวนดึงดูดสายตาที่สุด ใครเห็นก็จะต้องหลงใหล คือ เพดานกระจกที่สวยงาม และยิ่งมีหิมะมาปกคลุมด้วยแล้ว คือสุดยอดไปเลยค่า ซึ่งเลียนแบบมาจาก igloo ของเอสกิโม ที่ทำจากหิมะ แต่อันนี้ทำจากกระจก เก๋จริงๆ ได้นอนหลับอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ บนเตียงที่แสนอบอุ่น สงบสุข สุขใจจริงเชียว คือฟินจริงจริ๊งงงงงงง ประทับใจมากกกกกก และเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการล่าแสงเหนือมากๆ ค่า
เครดิตภาพ
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสนุกๆ ให้เล่น ได้แก่
ขี่สโนว์โมบิลมันส์ๆ Snowmobile
นั่งกวางเรนเดียร์ลากเลื่อน Reindeer Sledding
เยี่ยมบ้านซานต้า Santa's Home
เล่นสกีที่สกีเซนเตอร์
และถัดไปอีกเมืองนึง
เที่ยวที่หมู่บ้านซานตาคลอส Santa Claus Village
หมู่บ้านซานต้าครอส อยู่ที่ โรวาเนียมิ (Rovaniemi) ดินแดนตอนเหนือของประเทศฟินแลนด์ ตั้งอยู่บนเส้น Archtic พอดิบพอดีค่ะ และได้ชื่อว่าเป็น The Official Hometown of Santa Claus ซึ่งหมายความว่า ที่นี่แหละเป็นบ้านที่แท้จริงของลุงซานต้านั่นเอง
ภายในหมู่บ้านมีพิพิธภัณฑ์ของเล่นเล็กๆ ร้านอาหาร ที่พัก ร้านขายของที่ระลึก และกิจกรรมสนุกๆ มากมาย เช่น การนั่งหิมะลากเลื่อนหิมะด้วยกวางเรนเดียร์ หรือสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ สโนว์โมบิล แต่ที่นิยมกันมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น การถ่ายรูปคู่กับคุณลุงซานต้าเจ้าของหมู่บ้านแห่งนี้ค่ะ และยังมีที่ทำการไปรษณีย์ สำหรับส่งของขวัญและจดหมาย แถมได้ติดแสตมป์ที่ประทับตราพิเศษของ Santa Claus Village ส่งไปอวยพรคนสำคัญของคุณด้วยน้า พร้อมรวบรวมบรรดาจดหมายที่เด็กๆ ทั่วโลกส่งถึงซานตาครอส เพียงแค่จ่าหน้าซองถึง Santa Claus ไม่ต้องเขียนที่อยู่ จดหมายก็จะเดินทางไปยังสำนักงานแห่งนี้ทันที สุดยอดไปเลยย โดยแต่ละวันคุณลุงซานต้าได้รับจดหมายจากทั่วโลกเฉลี่ยแล้วกว่าสามหมื่นฉบับเลยทีเดียวววค่ะ ฮอตมากๆ 55555
บริเวณใกล้เคียงกัน ยังเป็นที่ตั้งของซานต้า พาร์ก (Santa Park) ซึ่งเป็นสวนสนุกในแถบขั้วโลกเหนือเพียงแห่งเดียว ที่ถูกสร้างอยู่ใต้ดิน ภายในมีทั้งเครื่องเล่น และโซนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริสต์มาสมากมายเลยค่า
เดนมาร์ก
ไปต่อกันที่เมืองโคเปนเฮเกน Copenhagen เมืองหลวงของประเทศเดนมาร์กเลยค่า ผู้คนต่างเรียกขานเมืองนี้ว่าเป็นเมืองในเทพนิยาย เพราะมีสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่จัดว่าเพอร์เฟคเลยก็ว่าได้ค่ะ ทั้งยังห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม มีลักษณะของการผสมผสานวิถีชีวิตที่หลากหลาย นับเป็นเมืองที่น่าสนใจมาก ถ้าได้มาสัมผัสบรรยากาศจะต้องรู้สึกผ่อนคลายดั่งต้องมนต์อย่างลืมไม่ลงแน่นอนค่า ฮิฮิฮิ
เที่ยวสวนสนุกทิโวลี่ Tivoli Gardens
สวนสนุก Tivoli Gardens เป็นสวนสนุกที่เก่าแก่มากที่สุด เป็นอันดับ 2 ของโลก อายุ 173 ปีเอ้งงงง ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี 1843 ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในวันหยุดพักผ่อนชั้นเยี่ยมสำหรับครอบครัว โดยรองรับนักท่องเที่ยวกว่า 4 ล้านคนต่อปีค่ะ การเดินทางก็แสนจะง้ายง่ายยยค่ะ สามารถเดินหรือขี่จักรยานมาได้จากโรงแรมในตัวเมือง สถานีรถไฟเซ็นทรัลนั้นตั้งอยู่ใกล้ๆ มีที่จอดรถให้บริการในถนนละแวกนั้นด้วยค่ะ
ในยามค่ำคืน ถ้าได้มาเดินเล่นรอบสวนขนาด 21 เอเคอร์ที่เชื่อมต่อกับสวนสนุก จะได้สัมผัสประสบการณ์อันน่าตื่นเต้น จากแสงของหลอดไฟ 100,000 ดวงที่ประดับไว้ตามทางเดินและต้นไม้ ช่างสวยงามตระการตาเป็นที่ซู้ดดด เป็นสวนที่ตกแต่งได้สวยงาม ร่มรื่น มีต้นไม้ดอกไม้มากมายหลายชนิด มีบ่อน้ำให้ชมปลาและนกเป็ดน้ำว่ายเล่น บรรยากาศดีซะจนอาจจะลืมไปเลยว่าอยู่ในใจกลางเมืองหลวงเลยแหละ
เที่ยวท่าเรือนูฮาวน์ Nyhavn
ท่าเรือนูฮาวน์ Nyhavn เป็นเขตท่าเรืออันเก่าแก่ของโคเปนเฮเกน ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของตัวเมือง ตามประวัติได้กล่าวไว้ว่า พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 5 ทรงรับสั่งให้สร้างท่าเรือใกล้ๆ ตัวเมืองหลวง เพื่อให้สะดวกง่ายต่อการขนย้ายสินค้า และใช้เป็นท่าเรือพาณิชย์สำหรับเรือจากทั่วทุกมุมโลกมาเทียบท่า ในวันอากาศดีๆ ถือเป็นศูนย์รวมของนักท่องเที่ยว สามารถเลือกทานอาหารชมบรรยากาศชิลๆ หรือล่องเรือชมเมืองและอ่าวก็ได้ค่า
เที่ยวพระราชวังโรเซนเบิร์ก Rosenborg Palace
พระราชวังโรเซนเบิร์ก เป็นพระราชวังที่ตกแต่งด้วยศิลปะแบบดัตช์เรอเนสซองส์ สร้างในสมัยพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 เป็นอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่พระองค์ภาคภูมิใจ เพราะนอกจากความงามของตัวตึกภายในและภายนอกที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ด้วยวัตถุที่ล้ำค่ามากมายแล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์ในบริเวณชั้นใต้ดิน ใช้เป็นที่เก็บเครื่องเพชร มหามงกุฎ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของราชวงศ์เดนมาร์กอีกด้วยค่า ซึ่งในอดีตพระราชวังแห่งนี้ถูกสร้างเพื่อจุดประสงค์ใช้ในการพำนัก พักร้อนของเชื้อพระวงศ์ในสมัยนั้น ทั้งยังเคยถูกวางเพลิงจากกองทัพอังกฤษถึง 2 ครั้งเลยนะคะ คือในปี 1794 และปี 1801
เมื่อเดินออกไปด้านนอกกำแพงปราสาท จะได้พบและเพลิดเพลินกับพื้นหญ้าเขียวชอุ่มและทางเดินใต้ร่มเงา นั่นก็คือ สวนคิงส์การ์เด้น ที่อยู่รอบปราสาท เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ให้ชาวโคเปนเฮเกนได้พักผ่อน ปิคนิค และทำกิจกรรมต่างๆ กันค่ะ
เที่ยวชมทหารเปลี่ยนเวร ที่พระราชวังอมาเลียนบอร์ก Amalienborg Palace
พระราชวังอามาเลียนบอร์ก เป็นพระราชวังฤดูหนาวของราชวงศ์เดนมาร์ก ตั้งอยู่ริมน้ำทางเหนือของตัวเมืองโคเปนเฮเกนค่ะ สร้างขึ้นเมื่อกลางศตวรรษที่ 18 เพื่อเฉลิมฉลองวาระการครบรอบ 300 ปีของราชวงศ์โอลเดนบวร์ก และใช้เป็นที่พำนักของเหล่าราชวงศ์ 4 ครอบครัว
ซึ่งบางส่วนของพระราชวังเปิดให้นักท่องเที่ยวแวะเข้าไปเที่ยวชม และยังเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กจัดแสดงงานศิลปะ ภาพเขียน เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับอัญมณี สิ่งประดิษฐ์อื่นๆ และเอกสารทางประวัติศาสตร์ ที่มีการเก็บรวบรวมในช่วงเวลา 400 ปีเลยทีเดียว และยังมีรูปปั้นขนาดใหญ่ของพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 5 ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างพระราชวังทั้ง 4 หลัง ซึ่งว่ากันว่า เป็นรูปปั้นทรงม้าที่สวยงามที่สุดอันหนึ่งของโลกเลยทีเดียวค่า
เป็นโอกาสดีมากๆ เลยนะคะที่จะได้เข้ามาชมที่ประทับของราชวงศ์ ได้เดินไปยังห้องต่างๆ ในพระราชวัง ถ้าใครโชคดีก็จะได้เห็นพิธีเปลี่ยนเวรยามของทหารที่เฝ้าอยู่ภายในเขตพระราชวัง แถมยังได้เห็นธงของทางสำนักพระราชวังถูกชักขึ้น เพื่อแสดงว่าพระราชินีมาร์เกรเธอที่ 2 ทรงประทับอยู่ภายในพระราชวัง ซึ่งเป็นบรรยากาศที่คึกคักมาก นักท่องเที่ยวนิยมกันเก็บภาพทหารกันอย่างสนุกสนาน นับเป็นสถานที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเมื่อได้มาเมืองนี้ค่า
เดินชมเมืองจักรยาน แวะช้อปปิ้งถนนสตรอยเยท Stroget
สตรอยเยท ได้ถูกตั้งเป็นชื่อเล่นของถนนคนเดินแห่งนี้ ซึ่งแปลว่า การเดินเล่น โดยใช้ตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมาค่ะ เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดของโคเปนเฮเกน มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอยู่ ณ ในใจกลางเมือง Str get ที่นี่นับเป็นถนนคนเดินยาวที่สุดในโลกเลยล่ะค่า! ครอบคลุม ถนน 4 สายด้วยกันคือ Frederiksberggade, Nygade, Vimmelskaftet และ stergade โดยมีความยาวถึง 1.1 กิโลเมตรเลยทีเดียววว แต่สำหรับนักช๊อปอย่างเราแล้ว 10 กิโลก็ไม่หวั่นค่า กร๊ากกกก
ถนนสตรอยก์ถูกประกาศให้เป็นเขตปลอดรถยนต์ตั้งแต่ปี 1962 ค่ะ แต่ในช่วงแรก เจ้าของกิจการหลายรายไม่เห็นด้วยกับการปิดถนน เพราะเกรงจะเป็นผลเสียต่อธุรกิจ แต่ทุกวันนี้ได้ทำให้ผู้คนได้เดินอย่างสนุก และสะดวกสบาย
ที่นี่คึกคักไปด้วยผู้คนประมาณแสนคนต่อวันเชียวค่ะ เรียงรายไปด้วยร้านค้าที่มีคุณภาพ มีตั้งแต่สินค้าราคาถูกไปจนถึงสินค้าแบรนด์เนมที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ขายสารพัดอย่างค่ะ มีร้านอาหารมากมาย แถมยังมีนักดนตรีริมทางที่มาช่วยบรรเลงเพลงให้ความบันเทิงระหว่างเดินเล่น เพลิดเพลินไม่รู้เบื่อสมชื่อจริงๆ ค่า
นอกจากนี้กรุงโคเปนเฮเกน ได้รับการขนานนามจากคนทั่วโลกว่าเป็นเมืองจักรยานค่าาา ประชากรเกินครึ่งใช้จักรยานเป็นพาหนะในการเดินทาง เหตุผลสำคัญคือรัฐบาลส่งเสริมให้ประชาชนสุขภาพแข็งแรง และลดปริมาณคาร์บอนที่สร้างมลพิษแก่สิ่งแวดล้อม จึงออกแบบผังเมือง เพื่อรองรับนักปั่นและคนเดินเท้า ให้ได้รับความสะดวกและปลอดภัย ปั่นๆๆๆๆ ปั่นปั้นปั่น
เที่ยวชมรูปปั้นนางเงือกน้อย The Little Mermaid
รูปปั้นนางเงือกน้อย The Little Mermaid ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือริมอ่าวโคเปนเฮเกนค่ะ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นของขวัญแก่กรุงโคเปนเฮเกน เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2456 โดย คาร์ล จาค็อบเซน บุตรชายของผู้ก่อตั้งบริษัทเบียร์คาร์ลสเบิร์ก ได้มีความประทับใจจากการดูบัลเล่ต์ เรื่อง The Little Mermaid ผลงานของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน เป็นอย่างมาก จึงว่าจ้างศิลปินชาวเดนมาร์กชื่อ เอ็ดวาร์ด อีริกเซน มาปั้นรูปเงือกน้อยนี้ โดยนำแบบใบหน้ามาจากนักเต้นบัลเลต์ชื่อ เอลเลน ไพรซ์ ส่วนร่างกายที่เป็นหญิงเปลือยนำแบบมาจากภรรยาของตัวเขาเองค่า อุ๊ย แอบเอาเรือนร่างภรรยาตัวเองมาโชว์ซะงั้น คิคิ >,<
รูปปั้นเงือกน้อยนี้นั่งอยู่บนก้อนหิน มีขนาดความสูงประมาณ 1.25 เมตร น้ำหนักประมาณ 175 กิโลกรัม บริเวณรอบๆ มีสวน Langelinie จะได้สัมผัสกับความผ่อนคลาย ฟังเสียงร้องของนกนางนวลและชมเรือสำราญที่จอดเทียบท่าอยู่ มีผู้คนนำมาปิคนิคกันที่สวน เพื่อพักผ่อนริมน้ำไปเพลินๆ สบายอารมณ์จริงจริ๊งงง ฮ่าๆๆ
และที่นี่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมือง โดยในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวมากกว่า 1 ล้านคนมาเที่ยว เพื่อเก็บภาพคู่กับรูปปั้น The Little Mermaid นับเป็นสถานที่ยอดฮิตที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยค่า และถ้าเรามาถึงโคเปนเฮเกนทั้งที จะพลาดได้ยังไงล่าาาา
โรงแรม D'Angleterre Hotel
โรงแรม D'Angleterre Hotel ก่อตั้งขึ้นในปี 1755 โดยฌอง มาร์คแชลค่ะ เป็นหนึ่งในโรงแรมที่เก่าแก่และหรูหราที่สุดในโคเปนเฮเกน มีความสง่างามสมบูรณ์แบบ และมีสไตล์ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้อย่างดีทีเดียว จนได้รับการจัดอันดับเป็นโรงแรม 5 ดาวด้วยค่า
และเมื่อถึงเทศกาลวันคริสต์มาส โรงแรมจะมีการตกแต่งและประดับไฟอย่างสวยงาม ถือเป็นประเพณีที่สำคัญของที่นี่ค่ะ ในจะมีจัดงานปาร์ตี้คริสต์มาส ตั้งแต่ 18.00 น.ถึง 1.30 น.สามารถเพลิดเพลินกับบุฟเฟ่ต์สุดพิเศษกับอาหารมากมาย ไวน์ เบียร์ และเครื่องดื่มต่างๆ ฉลองสังสรรค์ท่ามกลางเสียงดนตรีสด เหมาะกับเทศกาลฉลองอย่างแท้จริงค่า ถ้าได้มาเมืองโคเปนในช่วงคริสต์มาสแล้วละก็ อย่าลืมแวะมาที่นี่กันนะคะ^^
ใครเห็นก็ต้องถ่ายรูปนะค้าาาาาา อยากจะขึ้นไปยืนอยู่บนนั้น อร๊ายยยย น่าร๊ากกกกก
ชิมขนมที่ร้านเบเกอรี่เก่าแก่ Conditiori La Glace
ที่นี่เป็นสวรรค์ของคนรักของหวานโดยแท้เลยค่า เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบชา กาแฟ ช็อกโกแลต และเค้ก ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ในย่าน Shopping Street ถนน Skoubogade เป็นร้านเบเกอรี่เก่าแก่และมืชื่อเสียงที่สุดของโคเปนเฮเกนค่ะ
เล่าถึงประวัติของร้านกันนิดนึงนะคะ ร้านนี้ผ่านการตกทอดมาแล้วถึง 6 รุ่นด้วยกัน เปิดขายตั้งแต่ปี 1870 นับถึงตอนนี้อายุก็ปาเข้าไปร้อยกว่าปีแล้วค่ะ โอ้โหวววว คืออยู่มาได้ร้อยกว่าปีแล้วก็ยังขายดิบขายดี คนเต็มร้านขนาดนี้ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ที่นี่เค้าการันตีเรื่องช็อคโกแลตแท้ ทั้งขนม และเครื่องดื่ม โดยเค้กที่ขึ้นชือของที่นี่คือ เค้กเนื้อฟู 3 ชั้น สอดแทรกด้วยครีมผลไม้สดตามฤดูกาลที่คัดสรรมาอย่างดี จะได้สัมผัสรสชาติความหอมของเนื้อเค้กที่นุ่มฟูแทบจะละลายในปาก (นึกภาพตามนะคะ 55555 ฟินนนนน) ส่วนมากจะทานกันในวันเกิดหรือในช่วงโอกาสพิเศษต่างๆ ไม่แปลกใจเลยค่ะที่เมนูนี้จะเป็นเมนูเค้กแนะนำตลอดกาล และเมื่อได้ทานกับช็อคโกแลตร้อนสุดฮิตของที่นี่แล้วล่ะก็ จะเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอย่างแน่นอนนนน!
บรรยากาศร้านอันแสนอบอุ่น พร้อมเมนูของหวานที่มีให้เลือกมากมาย ถ้ามีโอกาสไปโฮเปนเฮเกนก็ลองจัดดูสักครั้งนะคะ ไม่งั้นอาจจะถือว่าไปไม่ถึงน้าาา คิคิ ที่นี่เปิดให้บริการวันจันทร์ถึงวันเสาร์ค่า ส่วนวันอาทิตย์จะเปิดปิดตามฤดูกาล วิธีมาก็ง่ายมาก ลงรถไฟใต้ดินสถานี Kongens Nytorv แล้วก็เดินเข้า Stroeget เลยค่ะ
นอร์เวย์
ต่อมาไปเที่ยวกรุงออสโล เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์กันจ้ะ ที่นี่เป็นเมืองรวยทะเลสาบ และอุดมสมบูรณ์ไปด้วยผืนป่าสีเขียว ใกล้น้ำ ใกล้ธรรมชาติ และยังใกล้ชิดกับศิลปะอีกด้วยค่า จนเป็นที่ยอมรับกันว่า เป็นเมืองหลวงที่สำคัญในด้านวัฒนธรรมของยุโรป แม้แต่ในสวนสาธารณะก็ยังมีงานศิลปะโชว์ ทุกหย่อมหญ้าของออสโลมีศิลปะและธรรมชาติแทรกตัวอยู่ ในเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวที่จะมาแนะนำก็ล้วนแต่เลิศและสวยงาม รับรองไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนค่า
เที่ยวโอเปร่าเฮ้าส์ออสโล Oslo Opera House
ถ้าอยากเพิ่มความสุนทรีย์ล่ะก็ มาที่นี่เลยค่า โอเปร่าเฮ้าส์ออสโล แลนด์มาร์คสำคัญ เป็นศูนย์วัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุดในนอร์เวย์ เป็นที่ตั้งของคณะอุปรากรและบัลเล่ต์ระดับชาติ อาคารรูปทรงเลขาคณิตที่สร้างจากกระจกและหินอ่อนขนาดใหญ่สไตล์โมเดิร์น มีดีไซน์อันสะดุดตา ออกแบบให้ดูเหมือนธารน้ำแข็งยักษ์โผล่ขึ้นมาจากน้ำ และมีสะพานที่ลาดเอียงสีขาวโพลน
ภายในมีเวทีสามแห่ง และมีมากกว่า 1,000 ห้อง จัดแสดงโอเปร่าและบัลเล่ต์ สามารถเข้าชมตอนฝึกซ้อมได้ด้วยนะคะ และยังมีศูนย์เพื่อการศึกษาของโอเปร่า ที่มีมีการนำเสนอเบื้องต้นเกี่ยวกับงานแต่ละส่วนที่จะเปิดม่านแสดง
การเดินทางก็สะดวกมากมาย สามารถขึ้นรถไฟ NSB ไปยังสถานีออสโลเซ็นทรัล เพื่อไปยังโอเปร่า เฮ้าส์ได้เลยค่า
เที่ยวสวนประติมากรรมวิกเกอร์แลนด์ Vigeland Sculpture Park
Vigeland Sculpture Park ตั้งอยู่ในเขตอุทยาน Frogner เป็นสวนประติมากรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้จัดแสดงงานประติมากรรมการแกะสลักรูปเหมือนจากหินแกรนิต และสำริดในหลากหลายอิริยาบถที่เสมือนจริงราวกับมีชีวิตเลยล่ะค่ะ สร้างสรรค์โดย Gustav Vigeland ศิลปินชื่อดังชาวนอร์เวย์
จุดที่โดดเด่นที่สุดของที่นี่คือ เสาโมโนลิท (Monolith) ที่มีความสูงประมาณ 17 เมตร เป็นรูปปั้นคนจำนวนมากมายปีนป่ายกันอยู่บนเสานี้ เพื่อไปให้ถึงจุดสูงสุดของชีวิต โดยใช้เวลาในการสร้างรวม 22 ปีเลยทีเดียว ส่วนบริเวณรอบๆ จะมีกลุ่มรูปปั้นที่ทำจากหินแกรนิต แสดงอารมณ์ต่างๆ ในหลากหลายท่าทาง แสดงความสัมพันธ์ของมนุษย์ในแต่ละวัยค่ะ
เที่ยวท่าเรือเอเคอร์บรูค Aker Brygge
กว่าร้อยปีมาแล้ว Aker Brygge เคยเป็นที่ตั้งของท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในนอร์เวย์ค่ะ ปัจจุบันถูกปลุกให้ฟื้นกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หลังมีการปรับปรุงเป็นย่านที่อยู่อาศัยที่ทันสมัย มีบ้านเรือน และร้านค้ามากมาย เป็นแหล่งรวมผับบาร์ ร้านอาหารเก๋ๆ คาเฟ่ชิลๆ นอกจากนี้ยังมีทั้งผับ โรงหนัง โรงละครและห้างสรรพสินค้า ไม่เว้นแม้แต่ร้านเสริมสวยนะคะ เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมความบันเทิงยอดนิยมที่ครบครันจริงๆ เหมาะสำหรับการพักผ่อนเพลิดเพลินกับมื้อค่ำในบรรยากาศที่แสนรื่นรมย์ เดินเล่นไปชมนักดนตรีข้างถนนร้องเพลงไป ย่านนี้ของออสโลจึงไม่เคยเงียบเหงา และยังดึงดูดนักท่องเที่ยวมากกว่า 12 ล้านคนต่อปีเลยทีเดียว
ที่นี่เปิดทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ มีระบบขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบคอยอำนวยความสะดวก ทั้งรถไฟ รถราง รถโดยสารประจำทาง เรือ และยังมีที่ลานกว้างไว้เป็นที่สำหรับจอดรถด้วยค่า
เที่ยวพิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง Viking Ship Museum
ในสมัยก่อน ชาวไวกิ้งใช้เรือในการรบ ทำการค้า และออกสำรวจหาดินแดนใหม่ๆ หรือเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันเลยก็ว่าได้ จึงถือว่าเรือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของพวกเขา และพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็ได้จัดแสดงเรือสามลำจากยุคที่ชาวไวกิ้งปล้นสะดม ขณะเดินทางข้ามยุโรปมาไว้ที่นี่ด้วยค่ะ
พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งนี้ เป็นที่เก็บมหาสมบัติทางโบราณคดีของบรรพบุรุษชาวนอร์เวย์ ที่ได้รวบรวมซากเรือต่างๆ ไว้ ทั้งยังมากไปด้วยประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าอันมากมายที่สำคัญ เรือที่เด่นสง่าที่สุดในพิพิธภัณฑ์ คือ เรืออุสแบนนิ มีขนาดยาว 22 เมตร ทำจากไม้โอ๊ค ต้องใช้ฝีพายถึง 30 คน สันนิษฐานกันว่า น่าจะสร้างขึ้นเพื่อให้กษัตริย์ไวกิ้งใช้ในการเดินทางระยะสั้นๆ และที่ไม่ค่อยมีคลื่นลมมากนัก โดยใช้เวลาถึง 20 ปี ในการซ่อมแซมบำรุงรักษา ก่อนที่จะนำมาแสดงในพิพิธภัณฑ์ให้ชมกันค่ะ
เที่ยว Kjeragbolten
Kjeragbolten ก้อนหินคั่นกลางเขา ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขา Kjerag ในโรกาแลนด์ ประเทศนอร์เวย์ มีความสูงกว่า 984 เมตร ใครที่ใจกล้า ชอบความตื่นเต้น ก็สามารถเดินขึ้นไปบนก้อนหินนั้นได้ หรือใครจะกระโดด ตีลังกาอะไรก็ตามสไตล์ แต่โปรดระวังตัวด้วย เพราะข้างล่างนั้นเหวลึกสุดๆ ไม่มีใครไปช่วยแน่นอนจ้า
ไม่ทราบที่มาต้นฉบับของภาพ
เที่ยวโทรลส์ทุงกา Trolltunga
Trolltunga หน้าผาที่เสียวที่สุดของฟยอร์ดนอร์เวย์ เป็นภาษานอร์เวย์ แปลว่า ลิ้นของโทรลล์ (Troll s Tongue) ตามลักษณะที่เป็นหินแผ่นบางยื่นออกไปจากหน้าผา ที่ความสูง 2,300 ฟุตเหนือทะเลสาบ Ringedalsvatnet ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ S rfjorden Fjord ในเมือง Odda ทางตะวันตกของประเทศนอร์เวย์ เราจะได้เห็นวิวงดงาม เป็นฟยอร์ด Fjord ที่มีลักษณะเป็นหุบเขาเว้าแหว่งบริเวณปากอ่าว ระยะทางในการเดินไม่ใช่เล่นๆ แค่ 11 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ขึ้นลงรวม 22 กิโลเมตร พระเจ้า.. ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 12 ชั่วโมง
นอกจากนี้ Trolltunga จำกัดช่วงเวลาให้เข้าชมเป็นฤดูกาล ไปได้เฉพาะช่วง กลางเดือนมิถุนายน จนถึง กลางเดือนกันยายน เพียง 3 เดือนเท่านั้น ใครที่ร่างฟิต กายพร้อม ใจพร้อม ก็ลองไปลุยดูสักตั้งค่า ใครไปยืนตรงนั้นได้นี่ เท่ห์สุดๆ ไปเลย
เที่ยว Pulpit Rock หรือ Preikestolen
Preikestolen ผาสูงสุดเสียว อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวน่าท้าทาย ด้วยความสูง 1,982 ฟุต (604 เมตร) จากระดับน้ำทะเล พื้นที่ส่วนบนของหน้าผาเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณ 82 x 82 ฟุต (25 x 25 เมตร) ใช้เวลาในการเดินขึ้นเขา 2 ชั่วโมง ในระยะทาง 3.8 กิโลเมตร ถ้าร่างกายฟิตก็ลุยเลยนะจ้ะ รับรองว่าขึ้นไป เห็นวิวแล้วหายเหนื่อยค่าาา
เที่ยวชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน Midnight Sun
สำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในกลุ่มประเทศเหนือเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล ไม่ว่าจะเป็นรัฐอลาสกา ประเทศสหรัฐ หมู่เกาะกรีนแลนด์ ประเทศเดนมาร์ก รวมถึงประเทศแคนาดา ไอซ์แลนด์ สวีเดน ฟินแลนด์ และนอร์เวย์ ต่างต้องเคยผ่านประสบการณ์ที่มีดวงอาทิตย์ส่องแสงวันละ 24 ชั่วโมงในช่วงฤดูร้อน ที่เรียกว่า ปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน ซึ่งจะเกิดขึ้นปีละครั้ง และจุดชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนที่สวยงามที่สุด จะอยู่ในประเทศนอร์เวย์ ในบริเวณ The North Cape, The Svalbard Islands และ Tromso เป็นต้น ซึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไปชม คือเดือนมิถุนายน และกรกฎาคมค่ะ
เที่ยวถนนข้ามทะเล แอตแลนติก Atlantic Ocean Road
Atlantic Ocean Road ตั้งอยู่ในประเทศนอร์เวย์ ถนนสายนี้มีความยาว 8.3 กิโลเมตร เป็นถนนที่เชื่อมระหว่างแผ่นดินใหญ่ และเกาะต่าง ๆ ในนอร์เวย์ มีสะพาน Storseisundet เป็นสะพานโค้งยาว 260 เมตร ถือเป็นสะพานสวยงามที่สุดในบรรดาสะพานทั้งหมด และยังได้รับฉายาว่า The road to nowhere
เครดิตภาพ https://en.wikipedia.org/wiki/Atlantic_Ocean_Road
สวีเดน
และสุดท้ายขอปิดท้ายด้วยกรุงสตอกโฮล์ม Stockholm ประเทศสวีเดน เป็นเมืองหลวงที่มีขนาดใหญ่ และเป็นนครหลวงที่งดงาม สวยถึงขั้นได้รับขนานนามว่า ความงามบนผิวน้ำ (Beauty on Water) หรือราชินีแห่งทะเลบอลติก เลยทีเดียววว จัดเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้า ที่ทั้งสวยและร่ำรวยด้วยประวัติศาสตร์ เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าเมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวเด็ดๆ อะไรบ้างงง
เที่ยวย่านเมืองเก่า Gamla Stan
Gamla Stan ในภาษาสวีเดน แปลว่า เมืองเก่า ที่นี่มีมาตั้งแต่สมัยเริ่มก่อตั้งเมืองสตอกโฮล์มนู่นนนนค่ะ เป็นส่วนที่เก่าแก่และล้ำค่าทางประวัติศาสตร์มากที่สุดในเมืองเลยทีเดียว เป็นสถานที่ตั้งของพระราชวังหลวง และยังคงกลิ่นอายย้อนยุคของศตวรรษที่ 17 ผสมผสานกับความทันสมัยเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัวค่ะ
บริเวณแถบพระราชวัง มีตรอกซอกซอยต่างๆ เต็มไปด้วยร้านค้าที่มีให้เลือกชมมากมาย เรียงรายไปด้วยร้านกาแฟและร้านหนังสือ ให้เราได้เดินกันไม่รู้เบื่อเลยล่ะค่ะ ทั้งยังได้เที่ยวชมสิ่งปลูกสร้างบ้านเรือนมีความสวยงามในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบสวีเดน อาคารบ้านเรือนสมัยโบราณราวคริสต์ศตวรรษที่ 13 ซึ่งปัจจุบันยังคงรักษาสภาพอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ที่ได้อย่างดีเยี่ยมจริงๆ
เป็นสถานที่เที่ยวที่มีทั้งพระราชวังและสถาปัตยกรรมย้อนยุคสวยๆ ให้เราได้ถ่ายรูปกันจนจุใจ รวมไปถึงแหล่งช้อปปิ้งมากมาย ถือเป็นสถานที่โปรดของนักท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งเลยทีเดียวค่า
เที่ยวชมสถานีรถไฟใต้ดินสตอกโฮล์ม Stockholm Metro
หนึ่งในเมืองที่มีสถานีรถไฟใต้ดินที่สวยที่สุดในโลก คือกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดนค่า เสมือนเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะใต้ดินที่ใหญ่ และยาวที่สุดในโลก เปิดให้บริการในปี ค.ศ. 1950 ปัจจุบันมีจำนวน 100 สถานี โดยเป็นสถานีใต้ดิน 47 สถานี และยกระดับ 53 สถานี มีจำนวน 10 เส้นทาง จัดเป็นกลุ่มสาย 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสายสีน้ำเงิน แดง และเขียว มีระยะทางยาวกว่า 110 กิโลเมตรเลยทีเดียว
โดยสถานีที่น่าสนใจ ได้แก่
Blue line: Kungstr dg rden / T-centralen /R dhuset / Solna Centrum / Tensta
Green line: H torget / Thorildsplan / Bagarmossen
Red line: Tekniska H gskolan / Stadion
ซึ่งแต่ละสถานี จะมีความเป็นเอกลักษณ์ มีธีมโดยเฉพาะ ตกแต่งด้วยสีสันสดใส ลวดลายสวยงาม ทั้งสวย ทั้งน่าตื่นตาตื่นใจ ถูกสร้างสรรค์โดยศิลปินกว่า 150 คน โดยนอกจากเราจะได้ชื่นชมในศิลปะแล้ว ยังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของรถไฟใต้ดินไปพร้อมๆ กันอีกด้วยค่า ใครที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวกรุงสตอกโฮล์ม ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยค่ะ ไม่งั้นเรียกว่า มาไม่ถึงนะจะบอกให้
พิธีมอบรางวัลโนเบล ณ ศาลาว่าการเมืองสตอกโฮล์ม Stockholm City Hall
ศาลาว่าการเมืองสตอกโฮล์ม ในภาษาท้องถิ่นเรียกว่า Stadshuset เป็นสถานที่ทำงานของนักการเมือง และข้าราชการจำนวนหนึ่ง แต่ก็เปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งของเมืองสตอกโฮล์มด้วยนะคะ เพราะได้มีการจัดแสดงทั้งศิลปะและโบราณวัตถุต่างๆ หลากหลายประเภทให้คนเข้าชม เป็นอาคารที่มีความสวยงามสะดุดตา ด้วยคุณลักษณะพิเศษของตัวอาคารที่ก่อสร้างด้วยอิฐสีแดง ดูมีมนต์เสน่ห์ และทรงพลัง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเกาะที่ยิ่งใหญ่ ทั้งวิวทิวทัศน์ บรรยากาศโดยรอบยังสวยงามไม่แพ้กัน ใช้เวลาสร้างถึง 12 ปี ที่สำคัญ ที่นี่ยังใช้เป็นสถานที่ในการมอบรางวัลโนเบล รางวัลอันทรงเกียรติและทรงคุณค่าของโลกอีกด้วยค่ะ
เที่ยวพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง Skansen
Skansen เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งแรกในโลก ตั้งอยู่บนเกาะ Djurgarden ค่ะ เปิดขึ้นในปี 1891 ที่นี่ได้รวบรวมบ้านเก่าแก่ของสวีเดน ตั้งแต่ภาคเหนือจรดใต้มาไว้ในที่เดียว เพื่อเป็นแหล่งศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของคนของคนสวีเดนในยุคก่อน ซึ่งเค้าจะจำลองวิถีชีวิต บ้านเมือง ผู้คน สิ่งแวดล้อม ตลอดจนวัฒนธรรมเก่าๆ มาไว้ให้เราได้ชมกัน
พิพิธภัณฑ์และสวนสัตว์ Skansen เปิดให้บริการทุกวันค่ะ เหมาะแก่การหอบหิ้วลูกหลานมาเที่ยว หรือจะมาเที่ยวยกแกงค์กับเพื่อนฝูงก็สนุกอย่างแน่นอนค่า ใครพลาดชมที่นี่คงน่าเสียดายแย่เลย ฉะนั้นห้ามพลาดดดดค่ะ!
นอกจากนี้ยังมีสวนสัตว์ซึ่งรวบรวมพันธุ์สัตว์หายากในแถบสแกนดิเนเวียมากกว่า 300 สายพันธุ์ เปิดบริการให้เข้าชมได้ด้วย ทั้งหมีสีน้ำตาล หมาป่า ลิงบาบูน และสัตว์สายพันธุ์ท้องถิ่นอื่นๆ อย่างใกล้ชิด เจ้าสิงโตทะเลนี่น่ารักไม่เบา เรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวได้มากมายเลยค่ะ พวกมันคงหิวโซแล้วหละ รอเจ้าหน้าที่มาให้อาหารอย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ
เที่ยวพิพิธภัณฑ์วาซา Vasa Museum
พิพิธภัณฑ์วาซา Vasa Museum, Stockholm สวีเดน เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ตั้งอยู่บนเกาะ Djurgarden ในเขต Ostermalm ของสตอกโฮล์ม เป็นพิพิธภัณฑ์เรือรบโบราณที่เป็นทรัพย์สมบัติที่โดดเด่นและล้ำค่าเป็นอย่างมากค่ะ
วาซา คือเรือรบแห่งราชอาณาจักรสวีเดน เป็นเรือรบที่ยิ่งใหญ่สง่างามจริงๆ ประดับประดาด้วยรูปแกะสลักสมัยโบราณนับร้อยชิ้น ว่ากันว่าทำมาจากไม้โอ๊กทั้งลำ ทำให้เรือลำนี้ทรงอานุภาพ น่าเกรงขาม และมูลค่าลงทุนแพงที่สุดในเวลานั้น ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการทำสงคราม แต่กลับยังไม่มีโอกาสที่จะได้ออกไปพบศัตรูเลยค่ะ ก็ได้จมลงสู่ก้นทะเลหลังจากได้ถูกปล่อยลงน้ำได้เพียง 30 นาทีเท่านั้น และถูกทิ้งให้จมอยู่ใต้ทะเลบอลติกนานถึง 333 ปีเลยทีเดียว ก่อนที่จะได้รับการกู้ขึ้นมาในศตวรรษที่ 17 และถูกนำมาตั้งแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั่นเองค่ะ เนื่องจากสามารถรักษาโครงสร้างและชิ้นส่วนเดิมของเรือไว้ได้กว่า 95 เปอร์เซ็นต์แน่ะ
เรือวาซา ถือได้ว่าเป็นทรัพย์สมบัติทางศิลปะที่โดดเด่น และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของสวีเดน ลองไปชมความยิ่งใหญ่ของเรือรบนี้ด้วยตาตัวเองกันนะคะ
เที่ยวชมสะพาน Oresund สะพานยาวที่สุดในยุโรป เชื่อมเดนมาร์กและสวีเดน
สะพาน resund Bridge เป็นสะพานที่ยาวที่สุดของยุโรป ยาวประมาณ 12 กม. เป็นสะพาน 8 กม. และเป็นอุโมงค์ใต้ทะเล 4 กม. เปิดใช้เมื่อปี 2000 เชื่อมต่อเมืองโคเปนเฮเก้น ประเทศเดนมาร์กกับ Malmo สวีเดน สะพานนี้มีความสวยงาม โดดเด่นมาก และใช้ได้ทั้งรถยนต์ และรถไฟ ถ้าใครมีโอกาสเดินทางระหว่างสองประเทศนี้ ก็อย่าลืมแวะไปถ่ายรูป ตอนข้ามสะพานนี้กันนะค้า
ถ่ายรูปกับมงกุฎทองอร่ามบนสะพาน Skeppsholmen Bridge
ภาพมงกุฏสีทองสวยงามอร่ามที่ดูคุ้นตาในโปสการ์ดของสวีเดน ทำให้ที่นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึก โดยมีภาพเมืองเก่าปรากฏเป็นฉากหลังจ้า
สะพาน Skeppsholmen Bridge เป็นสะพานใจกลางเมืองหลวงกรุงสตอกโฮล์ม โดยเชื่อมต่อจาก Blasieholmen มายังเกาะ Skeppsholmen ตัวสะพานนั้นมีความยาว 165 เมตร และกว้าง 9.5 เมตร นักท่องเที่ยวมักจะนั่งเรือเที่ยวชมความงามผ่านใต้สะพานนี้ค่ะถ้าใครอยากมีภาพโปสการ์ดที่ถ่ายด้วยฝีมือตัวเองไปอวดเพื่อน มาถ่ายมุมนี้เลยค่า งดงาม..
ไปพักโรงแรมน้ำแข็ง ICEHOTEL
โรงแรมน้ำแข็ง ICEHOTEL เป็นโรงแรมน้ำแข็งแห่งแรกของโลกค่ะ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1994 ตั้งอยู่ที่เมือง Kiruna สร้างด้วยหิมะและน้ำแข็งจาก Torne River ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดทีเดียวค่า
ที่นี่มีที่พัก 2 ส่วนด้วยกันคือ Cold Accumodation และ Warm Accumodation ในส่วน Cold Accumodation คือห้องที่ทำจากน้ำแข็ง เป็นไฮไลท์ของโรงแรมและได้รับความนิยมอย่างมากค่ะ ทั้งโต๊ะ ตู้ เตียง ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ จะทำจากน้ำแข็งทั้งหมด โดยอุณหภูมิเฉลี่ยในโรงแรมจะอยู่ที่ -5 องศา! อู้วววว จะเปิดให้เข้าพักได้ในเดือนธันวาคมถึงประมาณกลางเดือนเมษายนของทุกปีค่ะ เมื่ออากาศเริ่มร้อนขึ้น น้ำแข็งก็จะค่อยๆ เริ่มละลายลง และสูญสลายไปเองตามสภาพ และจะมีการสร้างขึ้นใหม่ในทุกๆ ปีค่า โดยต่ละห้องจะถูกออกแบบโดยดีไซเนอร์แต่ละคน ทำให้ห้องออกมาแตกต่างกันและมีเอกลักษณ์ของตัวเองค่ะ
ส่วน Warm Accumodation ก็เป็นห้องพักแบบปกติ และราคาถูกกว่าค่า และภายในโรงแรมน้ำแข็งแห่งนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้ง โรงหนัง ไนท์คลับ บาร์น้ำแข็ง ห้องแสดงนิทรรศการ และโบสถ์เล็กๆ สำหรับการแต่งงานสุดคูลลลล รายล้อมไปด้วยปฎิมากรรมน้ำแข็งสวยงามจากการสลักของช่างสลักน้ำแข็งชั้นนำของโลก ใครอยากจะหนีจากอากาศร้อนๆ บ้านเรา ก็มาเปลี่ยนบรรยากาศที่นี่ได้นะค้า
เครดิตภาพ