การท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญนั้นคือการท่องเที่ยวรูปแบบนึงที่มีเสน่ห์และสีสันมากมาย แต่ก็ต้องยอมรับตามตรงว่าการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวชาวเอเชีย เพราะหลายๆ คนมักจะคิดว่าการท่องเที่ยวรูปแบบนี้มีราคาสูง เดินทางยาก หาข้อมูลอ่านจากคนที่เคยไปมาแล้วได้น้อย หรือกลัวที่จะต้องลองทำอะไรใหม่ๆ ดังนั้นในบทความนี้ผมก็เลยจะเล่าถึงเรื่องที่ควรรู้และเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ของการเที่ยวด้วยเรือสำราญเพื่อให้ทุกคนได้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากขึ้น รวมไปถึงหนึ่งในเรื่องที่สำคัญที่สุดนั่นคือเรื่องของราคาครับ ซึ่งผมอยากจะบอกว่าการเที่ยวด้วยเรือสำราญนั้นมันมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าที่หลายๆ คนคิดแน่นอนครับ!!


 

การท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญคืออะไร?

 
อันดับแรกเรามาพูดคุยหรือรู้จักกันก่อนดีกว่าว่าการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญนั้นคืออะไร โดยการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญนั้นคือการท่องเที่ยวรูปแบบหนึ่งที่เราจะใช้เรือขนาดใหญ่เป็นพาหนะพาเราจากที่แห่งนึงไปยังที่นึงๆ ซึ่งโดยส่วนมากแล้วบนเรือนั้นจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้เราครบครัน ตั้งแต่ห้องนอน, ห้องอาหาร, บาร์, สระว่ายน้ำ, สถานที่ออกกำลังกาย, ฟิตเนส, สปา, โรงละคร, คาสิโน, ร้านค้าปลอดภาษี และอื่นๆ อีกมากมาย โดยในระหว่างการเดินทางนั้นทางเรือจะมีการจอดแวะตามท่าเรือต่างๆ อยู่เป็นระยะตามโปรแกรมที่เค้าได้วางเอาไว้ ซึ่งในภาษาอังกฤษนั้นเค้าจะเรียกท่าเรือว่า Port ส่วนการท่องเที่ยวบริเวณชายฝั่งที่เค้าจอดจะเรียกว่า Shore Travel ครับ
 
และด้วยความที่เราใช้เรือขนาดใหญ่เป็นพาหนะหลักในการเดินทางท่องเที่ยวรูปแบบนี้ รวมทั้งยังมีโปรแกรมการท่องเที่ยวบริเวณชายฝั่งต่างๆ ด้วย ประกอบกับโลกของเรานั้นก็มีพื้นที่ทะเลมากถึง 3 ใน 4 ของพื้นผิวทั้งหมด ดังนั้นก็เลยทำให้การท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญนั้นมีความหลากหลายมาก โดยระยะเวลาต่ำสุดของการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ที่ผมเคยพบก็จะอยู่ที่ 3 วัน 2 คืน ส่วนระยะเวลาที่มากที่สุดที่เคยเห็นก็คือมากกว่า 3 เดือนครับ @_@
 
 
 

จุดเด่นของการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญ

 
อันดับต่อมาเรามาดูจุดเด่นของการท่องเที่ยวด้วยวิธีนี้กันดีกว่าครับ โดยจากประสบการณ์ตรงของผมกับต๋ง และจากที่ผมได้หาข้อมูลต่างๆ มา ผมว่าจุดเด่นที่สำคัญของการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญนั้นมีดังนี้ครับ
 
1.เป็นการท่องเที่ยวที่เราจะได้เพลินเพลินตลอดระยะเวลาการเดินทาง และไม่รู้สึกน่าเบื่อเลย เพราะนอกจากบนเรือจะมีกิจกรรมให้เราทำมากมายแล้ว เมื่อถึงเวลาที่เรือจอดเทียบท่าต่างๆ เราก็สามารถลงไปท่องเที่ยวบริเวณนั้นได้ ทำให้เราได้เรียนรู้และรับประสบการณ์ที่แปลกใหม่ตลอดการเดินทางครับ
 
2. ได้ท่องเที่ยวหลากหลายสถานที่ภายในทริปเดียว โดยหลายๆ ทริปของการเดินทางด้วยเรือสำราญนั้นจะมีการจอดเทียบท่าหลายที่หลายประเทศมาก ทำให้เราได้ท่องเที่ยวและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ เห็นถึงธรรมชาติที่หลากหลาย และได้เรียนรู้วัฒนธรรมมากมายภายในการเดินทางเพียงครั้งเดียว และซื้อตั๋วเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
 

3. ด้วยความที่เราใช้เรือลำเดิมเป็นพาหนะตลอดทั้งทริป ดังนั้นเราจึงมีห้องนอนส่วนตัวและไม่ต้องเคลื่อนย้ายของหรือเปลี่ยนที่พักเลยตลอดระยะเวลาการเดินทางของเรา ซึ่งมันสะดวกสบายมาก เพราะอย่างที่ผมได้ไปออกทริปมาเวลาที่ผมลงเรือไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ผมก็จะซื้อของจากแต่ละที่และถือขึ้นมาวางไว้ในห้อง จากนั้นก็แค่แพ็คให้เรียบร้อยในวันสุดท้ายของทริปเท่านั้นเอง ไม่ต้องคอยวุ่นวายแพ็คกระเป๋าหรือย้ายของไปมาทุกวันครับ ^^
 

4. จากการที่เรามีห้องนอนส่วนตัวและไม่ต้องเคลื่อนย้ายของไปมาบ่อยๆ แน่นอนว่ามันช่วยลดความเสี่ยงในการที่ของเราจะสูญหายหรือการลืมสิ่งของต่างๆ ไว้ได้ดีมากครับ ใครที่ขี้เกียจย้ายของบ่อยๆ หรือเป็นคนขี้ลืมต้องชอบการเดินทางด้วยวิธีนี้อย่างแน่นอน
 

5. เป็นรูปแบบการเดินทางที่ค่อนข้างปลอดภัยมาก เพราะเรือมีขนาดใหญ่ รวมทั้งทางเจ้าหน้าที่บนเรือยังได้รับการอบรมในเรื่องความปลอดภัยต่างๆ มาเป็นอย่างดี นอกจากนี้เวลาส่วนใหญ่ของเราในทริปยังเป็นการอยู่ในพื้นที่ปิดที่มีเจ้าหน้าที่ส่วนต่างๆ ดูแลอยู่ตลอดเวลาด้วยครับ
 

6. บนเรือมีกิจกรรมให้ทำมากมายแทบจะตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกิจกรรมต่างๆ นั้นก็สามารถตอบสนองความต้องการของคนหลายกลุ่มได้เป็นอย่างดี ทั้งร้านอาหาร, สถานที่ออกกำลังกาย, คาสิโน, ร้านค้าปลอดภาษี, สปา, Game Center, Nursery, โรงละคร, คาราโอเกะ เป็นต้น โดยกิจกรรมบนเรือนี้จะมีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับเรือที่เราใช้บริการนะครับ
 

7. เป็นการเดินทางที่เราแทบจะไม่เหนื่อยล้าเลยเมื่อเทียบกับการเดินทางประเภทอื่นๆ เนื่องจากเราจะสามารถนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ภายในห้องนอนจริงๆ มีห้องอาบน้ำส่วนตัวที่ไม่ต้องใช้ร่วมกับใคร ไม่เหมือนกับการเดินทางรูปแบบอื่นๆ ที่เราต้องนอนบนเก้าอี้ที่ปรับเอนระดับได้ หรือเตียงขนาดเล็กที่ไม่สามารถกลิ้งตัวไปมาได้ รวมถึงการที่ต้องไปใช้ห้องน้ำร่วมกับคนอื่นๆ ด้วยครับ
 

8. เป็นการท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องของงบประมาณที่บานปลาย เพราะโดยส่วนมากแล้วการเที่ยวด้วยเรือสำราญนั้นเราจะสามารถใช้ฟังก์ชั่นหรือสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานต่างๆ บนเรือลำนั้นได้ทั้งหมด รวมถึงเรื่องอาหารการกินด้วย ดังนั้นสำหรับใครที่ไม่ได้ใช้ฟังก์ชั่นอะไรเป็นพิเศษก็แทบจะไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเลย ยกเว้นค่าทิปพนักงานบนเรือซึ่งเราควรจะให้เค้าตามเกณฑ์มาตรฐานของเรือลำนั้นๆ ครับ
 

9. เป็นรูปแบบการเดินทางที่คนทุกเพศ ทุกวัย สามารถท่องเที่ยวได้ รวมไปถึงเด็กเล็กๆ ผู้สูงอายุ และคนพิการด้วย เนื่องจากบนเรือนั้นมีความปลอดภัยสูง มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้ครบครัน นอกจากนี้การเดินทางท่องเที่ยวแบบนี้ยังไม่เหน็ดเหนื่อยมากด้วยครับ
 

10. ในการจองเรือสำราญนั้นเราจะสามารถยกเลิกการจองก่อนวันที่เราจะเดินทางได้ และเราจะได้รับเงินคืนบางส่วนตามที่สายเรือนั้นกำหนดไว้ โดยหากเรายกเลิกก่อนวันเดินทางนานก็จะได้รับเงินคืนแทบจะเต็มจำนวนเลย ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีมากๆ เมื่อเทียบกับการจองตั๋วเครื่องบินครับ


 
 
 

เรื่องอื่นๆ ที่ควรรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญ

 
หัวข้อนี้จะยาวหน่อยนะครับ เพราะมันมีเรื่องที่น่ารู้เต็มไปหมดเลย แต่อย่างไรก็ตามผมได้พยายามคัดเลือกเฉพาะเรื่องเด่นๆ และสำคัญมาเล่าให้ฟังแล้วครับ ใครที่อยากจะรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางด้วยเรือสำราญนั้นก็ตามผมไปอ่านกันต่อได้เลยครับ ^^
 

1. บริษัทที่ให้บริการการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญนั้นมีทั่วโลกมากมายหลายสิบบริษัท ซึ่งแต่ละบริษัทต่างก็จะมีการแบ่งโพสิชั่นของเรือและรูปแบบการให้บริการแตกต่างกันออกไป เช่น พรีเมี่ยมสุดหรูหรา, เน้นความคุ้มค่า, เน้นที่ครอบครัวและเด็ก หรือเน้นไปที่คู่รักข้าวใหม่ปลามัน ดังนั้นก่อนที่เราจะออกเดินทางท่องเที่ยวหรือเลือกจองทริปเรือสำราญซักทริป เราควรจะต้องหาข้อมูลเบื้องต้นคร่าวๆ ของเรือลำนั้นก่อนครับ ซึ่งสำหรับใครที่ไม่ค่อยเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษเท่าไหร่ ผมแนะนำให้ลองไปหาข้อมูลในเวบไซต์นี้นะครับ Yingpook.com เค้ามีบทความดีๆ เกี่ยวกับเรือสำราญเยอะมาก ผมเองก็ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์มากมายจากเวบเค้านี้แหละครับ

2. การท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญนั้นเราสามารถทำได้แทบจะทุกมุมของโลก เพราะปัจจุบันนี้มีบริษัทต่างๆ ให้บริการมากมายทั้งโซนเอเชีย, ยุโรป, อเมริกา, อลาสก้า, บาฮามาส, แคริบเบียน, อเมริกาใต้, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ จนไปถึงขั้วโลกใต้ ใครที่ชื่นชอบเส้นทางไหนหรืออยากจะลองไปเปิดประสบการณ์ชีวิตที่ไหนเป็นพิเศษก็ลองเลือกดูนะครับ
 

3. การเดินทางท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อเราทำการซื้อตั๋วหรือจ่ายค่าทริปไปครบแล้ว เราแทบจะไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายอะไรบนเรือเพิ่มเติมเลย ทุกคนจะสามารถใช้บริการฟังก์ชั่นพื้นฐานต่างๆ ของเรือลำนั้นได้หมด เช่น ห้องอาหาร, ห้องออกกำลังกาย, โรงละคร เป็นต้น แต่หากใครที่ต้องการใช้ฟังก์ชั่นพิเศษนอกเหนือจากปกติ เช่น ห้องอาหารมิชลิน, สปา, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, คาราโอเกะ, internet ก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยรายละเอียดของฟังก์ชั่นพิเศษของเรือแต่ละลำนั้นก็จะมีความแตกต่างกันออกไป ดังนั้นเราจึงควรต้องศึกษาข้อมูลของเรือแต่ละลำให้ดีก่อนที่จะออกเดินทาง หรือไม่ก็สอบถามพนักงานบนเรืออีกครั้งก่อนที่จะใช้บริการก็ได้ครับ


 

 


4. ในการออกทริปท่องเที่ยวกับเรือสำราญแต่ละครั้ง เราควรจะต้องมีการกันงบส่วนหนึ่งไว้สำหรับการทิปพนักงานบนเรือหรือที่เรียกว่าค่า Gratuities ด้วย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ที่ประมาณ 10-15 USD/คน/วัน ขึ้นอยู่กับระดับของสายเรือนั้นๆ โดยทางเรือจะมีการแจ้งให้เราทราบก่อนล่วงหน้าในเอกสารเช็คอินของเค้าครับ เช่น ผมไปออกทริปกับเรือสำราญ 6 วัน 5 คืน และทางเรือแจ้งว่าเรทมาตรฐานในการให้ทิปพนักงานจะอยู่ที่ 12 USD/คน/วัน ก็แสดงว่าทริปนั้นผมจะควรจะต้องให้ทิปพนักงานทั้งหมด 12x6 = 72 USD นั่นเอง โดยเงินส่วนนี้ทางเรือจะนำไปแบ่งให้กับพนักงานส่วนต่างๆ ทั้งพนักงานที่ดูแลห้องเราจนไปถึงพนักงานที่ดูแลห้องอาหาร ซึ่งเรือแต่ละลำก็จะมีเปอร์เซ็นการแบ่งให้พนักงานแต่ละส่วนไม่เท่ากัน แต่อย่างไรก็ตามหากเราขึ้นไปใช้บริการบนเรือแล้วรู้สึกไม่ประทับใจ อยากจะลดจำนวนเงินหรือไม่ให้ทิปเลยก็สามารถทำได้ครับ ไม่ได้มีข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์ตายตัวอะไรขนาดนั้น หรือหากใครที่ต้องการจะให้เพิ่มมากกว่าปกติก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
 

5. ในการให้ทิปกับพนักงานบนเรือนั้น เราจะสามารถให้ได้สองวิธี วิธีที่หนึ่งคือการให้ผ่านเรือโดยการตัดบัตรเครดิต วิธีนี้จะสะดวกสบายมากและทางเรือจะนำเงินที่ได้ไปแบ่งให้กับพนักงานในส่วนต่างๆ เอง เราไม่ต้องปวดหัววุ่นวายอะไร ส่วนวิธีที่สองก็คือการที่เราให้เงินสดกับพนักงานคนนั้นๆ เอง เช่น เราประทับใจคนไหนมากเป็นพิเศษก็สามารถแยกให้เค้าเป็นรายบุคคลได้ครับ
 

6. ในการออกทริปกับเรือสำราญ โดยส่วนมากแล้วในทริปจะมีการจอดที่ท่าเรือ (Port) อยู่เป็นระยะๆ เพื่อให้เราได้ลงจากเรือไปเที่ยวบริเวณชายฝั่ง (Shore Travel) ซึ่งในการจอดเรือเทียบท่าแต่ละครั้งทางเรือจะมีเวลาให้เราลงไปเที่ยวประมาณ 6-10 ชั่วโมงครับ แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่จะจอดให้เราเที่ยวในเวลาที่แตกต่างจากนี้ออกไป เช่น 2 วัน 1 คืน เป็นต้น
 


7. ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการลงจากเรือเพื่อไปเที่ยวบริเวณชายฝั่ง (Shore Travel) แต่ละครั้งนั้นจะเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เราต้องจ่ายเพิ่มเติมเองนอกหนือจากค่าทริปเรือ โดยเราสามารถที่จะเลือกเที่ยวด้วยตัวเองหรือจะเลือกซื้อทริปต่างๆ จากที่ทางสายเรือมีให้บริการก็ได้ โดยหากใครที่ไปเที่ยวด้วยตัวเองนั้นก็จะต้องระมัดระวังในเรื่องของเวลาในการกลับขึ้นเรือด้วย เพราะเราจะต้องดูแลตัวเองทั้งหมด และหากเรากลับมาไม่ทันเวลาเรือก็จะไม่จอดรอเรานะครับ แต่การเที่ยวด้วยตัวเองนั้นก็มีข้อดีมากๆ นั่นก็คือเรื่องของค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า รวมถึงความคล่องตัวที่มากกว่าครับ
 
8. ราคาของทริปเรือแต่ละทริปนั้นจะไม่ได้มีการกำหนดตายตัวว่าห้องนอนประเภทนี้ ทริปนี้ จำนวนวันเท่านี้ ราคาต่อคนจะอยู่ที่เท่าไหร่ เพราะราคาจะมีการขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา คล้ายๆ กับราคาของตั๋วเครื่องบิน ซึ่งบางครั้งกลายเป็นว่าคนที่จองล่วงหน้านานๆ อาจจะได้ราคาที่ถูกกว่า หรือบางครั้งคนที่จองใกล้ๆ เวลาที่เรือจะออกแล้วอาจจะได้ราคาที่ถูกกว่าก็ได้ ขึ้นอยู่กับกลยุทธของเรือแต่ละลำ รวมถึงจำนวนห้องต่างๆ ที่ทางเรือนั้นเหลืออยู่ครับ ดังนั้นสำหรับใครที่สนใจอยากจะไปเที่ยวเรือสำราญซักครั้งผมแนะนำว่าให้หมั่นเช็คราคาอยู่เป็นประจำ และหากเจอราคาที่อยู่ในระดับที่เรารับได้แล้วก็ควรจองเลยครับ อย่าคิดมาก!!
 

9. ประเภทห้องพักบนเรือนั้นจะมีความหลากหลายมาก แต่โดยหลักๆ แล้วเราจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทก็คือ ห้องไม่มีหน้าต่าง (Interior หรือ Inside Stateroom), ห้องมีหน้าต่าง (Outside หรือ Ocean View Stateroom), ห้องมีระเบียง (Balcony หรือ Veranda) แล้วก็ห้องสวีท (Suites) โดยราคาของห้องไม่มีหน้าต่างนั้นจะต่ำที่สุด ส่วนราคาของห้องสวีทนั้นก็จะสูงที่สุด แต่ทั้งนี้มันก็ยังมีเงื่อนไขต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย เช่น ห้องพักที่อยู่ชั้นล่างจะราคาถูกกว่าชั้นบน, ห้องพักที่อยู่บริเวณหัวเรือกับท้ายเรือจะราคาถูกกว่าบริเวณตรงกลาง, ห้องแบบมีหน้าต่างก็อาจจะราคาไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับวิวที่มองเห็น เป็นต้น ดังนั้นนอกเหนือจากการที่เราต้องเลือกประเภทของห้องที่เราชอบแล้ว เรายังต้องดูในเรื่องของตำแหน่งห้องประกอบด้วยนะครับ
 

 

 



10. โดยปกติแล้วห้องพักหนึ่งห้องจะสามารถนอนได้เพียงแค่สองคนเท่านั้น และหากใครที่ต้องการจะนอนเดี่ยวก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติประมาณ 2 เท่าครับ
 

11. บางสายเรือหรือเรือบางลำจะมีห้องแบบพิเศษที่สามารถนอนได้มากกว่า 2 คนต่อห้อง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วห้องแบบนี้จะมีราคาต่อคนถูกกว่าการนอน 2 คนต่อห้องครับ
 

12. ส่วนใหญ่แล้วการเที่ยวด้วยเรือสำราญนั้นจะไม่ค่อยมีราคาสำหรับเด็ก แต่บางครั้งก็จะมีโปรพิเศษบางเส้นทางออกมาบ้าง ครอบครัวไหนที่มีเด็กเล็กๆ ไปด้วยก็ต้องคำนวณค่าใช้จ่ายกันให้ดีๆ นะครับ
 


13. ในการจองทริปเรือสำราญต่างๆ นั้น เราสามารถจองได้ 2 วิธี คือ การจองด้วยตัวเองผ่านเวบไซต์ของสายเรือนั้นๆ หรือการจองผ่านบริษัททัวร์ต่างๆ โดยเฉพาะบริษัททัวร์ที่อยู่ในประเทศที่เราอาศัย ซึ่งการจองทั้งสองแบบนี้ก็จะมีราคาที่ใกล้เคียงกันแต่ก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป โดยสำหรับใครที่ไปเที่ยวเรือสำราญเป็นครั้งแรกรวมทั้งไม่ได้เป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษมากนัก ผมแนะนำให้จองผ่านบริษัททัวร์ต่างๆ ในประเทศไทยจะดีกว่าครับ เพราะมันสะดวกกว่ามาก พูดคุยรู้เรื่อง ถามอะไรได้คำตอบชัดเจน ทำงานในเวลาเดียวกับที่เราทำงาน แล้วก็รู้สึกสบายใจมั่นใจกว่าครับ โดยบริษัทที่ผมอยากจะแนะนำให้ทุกคนลองใช้บริการก็คือบริษัท 2Morrow Explorer ครับ ผมได้ลองใช้บริการมาแล้ว ดีงามและสะดวกกว่าการติดต่อตรงกับสายเรือเองมากๆ ใครสนใจอยากจะจองเรือสำราญกับที่นี่ก็เข้าไปตามช่องทางด้านล่างนี้ได้เลยครับ เค้ามีบริการจองแทบทุกสายเรือและแทบทุกเส้นทางบนโลกเลย โดยเราสามารถบอกโจทย์เค้าได้เลยว่าเรากำลังหาเรือสำราญประเภทไหนอยู่, เดินทางช่วงไหน, มีงบประมาณเท่าไหร่


 
14. สำหรับใครที่ลังเลหรืออยากจะหาข้อมูลว่าระหว่างการจองเรือสำราญด้วยตัวเองหรือจองผ่านบริษัททัวร์นั้นแตกต่างกันอย่างไรก็สามารถกดเข้าไปอ่านที่ลิงก์นี้ได้ครับ เค้าเขียนไว้ชัดเจนดีมาก Yingpook.com
 

15. ในการเดินทางกับเรือสำราญนั้น ระหว่างที่เราอยู่บนเรือเราจะไม่มีการใช้เงินสดใดๆ ทั้งสิ้น โดยทุกครั้งที่เราทำการเช็คอินขึ้นเรือตอนเริ่มทริป ทางสายเรือจะให้บัตรหรืออุปกรณ์ที่ใช้แทนเงินสดบนเรือลำนั้นมา ซึ่งบัตรนี้จะถูกผูกเข้ากับบัตรเครดิตของเรา และใช้จ่ายแทนเงินต่างๆ บนเรือตลอดการเดินทาง และเมื่อจบทริปทางเรือก็จะทำการหักเงินในบัตรเครดิตเราโดยอัตโนมัติครับ หรือถ้าหากใครคิดว่าตัวเองมีเงิน USD ที่มีเรทเงินดีกว่าการหักบัตรเครดิต ก็สามารถนำเงินสดที่เป็น USD ไปชำระกับทางพนักงานที่บริเวณ Guest Service ของเรือลำนั้นได้เลย โดยหากใครที่ต้องการเคลียร์ค่าใช้จ่ายบนเรือด้วยวิธีนี้จะต้องนำเงินสดไปเคลียร์ให้เรียบร้อยภายในคืนสุดท้ายของวันเดินทางนะครับ หากเลยจากเวลานั้นไปแล้วก็จะต้องถูกหักค่าใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
 

 

16. พนักงานบนเรือนั้นจะมีหลากหลายเชื้อชาติและภาษามาก แต่ทั้งนี้ทุกคนจะสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้ ดังนั้นภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษากลางบนเรือ และใครที่ต้องการจะไปเที่ยวเรือสำราญด้วยตัวเองก็ควรจะต้องฟัง, อ่าน หรือพูดภาษาอังกฤษได้บ้างครับ ไม่งั้นเวลาเราอยู่บนเรือก็จะค่อนข้างงงพอควร @_@
 

17. ทุกครั้งที่เราขึ้นเรือสำราญในแต่ละทริป ทางเรือจะมีการชี้แจงและซักซ้อมเรื่องของความปลอดภัยต่างๆ คล้ายๆ กับเวลาที่เราขึ้นเครื่องบิน แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือในการซักซ้อมเรื่องความปลอดภัยของเรือสำราญนั้นทางเรือจะมีการประกาศให้เราไปรวมกันที่ใดที่หนึ่งพร้อมๆ กันในเวลาที่เค้ากำหนด และจะมีการเช็คชื่อทุกคนด้วย!! ใครที่พึ่งขึ้นเรือสำราญเป็นครั้งแรกก็อย่าเดินเล่นจนลืมเวลานัดหมายนะครับ เดี๋ยวจะงงๆ ว่าทำไมคนในเรือหายไปไหนหมด แล้วทำไมมีการประกาศเรียกชื่อเราด้วย @_@
 

 

 


18. ด้วยความที่เรือสำราญแต่ละลำนั้นมีขนาดใหญ่ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ดังนั้นเรือแทบทุกลำจึงมีการติดแผนที่ของเรือไว้ตามจุดต่างๆ อย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้โดยสารทุกท่านสามารถเดินทางภายในเรือได้อย่างสะดวกสบาย ใครที่เดินในเรือแล้วรู้สึกหลงๆ งงๆ ก็เดินไปดูแผนที่ต่างๆ เหล่านี้ได้ครับ
 

 

19. ในมื้อที่เป็นอาหารเย็นนั้น ภายในเรือสำราญแต่ละลำมักจะมีห้องอาหารทั้งที่เป็นการให้บริการแบบไลน์บุฟเฟ่ต์ที่เราจะต้องบริการตัวเองหรือที่เรียกว่า Self Service กับห้องอาหารแบบที่เสิร์ฟเป็นคอร์ส มีเมนูให้เราเลือกทานเป็น Soup, Salad, Appetizer, Main Course และ Dessert โดยเมื่อเราสั่งอาหารทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้ว ทางพนักงานก็จะนำมาเสิร์ฟให้เราที่โต๊ะตามลำดับประเภทของอาหารไปเรื่อยๆ ครับ ใครที่ชอบทานแบบไหนก็เลือกได้ตามใจชอบเลย เพราะโดยส่วนมากแล้วเราจะสามารถใช้บริการที่ห้องอาหารเหล่านี้ได้ฟรีทั้งหมด ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
 

20. สำหรับคนที่เลือกทานอาหารเย็นแบบเป็นคอร์สนั้น ในบางสายเรือเราจะสามารถเลือกทานได้แยกย่อยอีกเป็น 2 ประเภทคือ แบบ Traditional Dining หรือการทานอาหารที่ห้องอาหารเดิม โต๊ะเดิม ตามเวลาเดิมที่เราเลือกทั้งหมดเหมือนกันทุกวัน ซึ่งโดยปกติจะมีอยู่สองรอบต่อวัน คือ รอบประมาณ 17.45 น. และรอบประมาณ 19.45 น. (เวลาการให้บริการของเรือแต่ละลำอาจจะแตกต่างกันออกไป) ส่วนการทานอาหารเย็นแบบเป็นคอร์สอีกประเภทนึงนั้นจะเรียกว่าแบบ Anytime Dining โดยการทานอาหารแบบนี้จะมีความคล่องตัวกว่าแบบแรกมาก เนื่องจากเราสามารถเลือกไปทานอาหารเวลาไหนก็ได้ โต๊ะไหนก็ได้ และที่ห้องอาหารไหนก็ได้ที่เค้ามีให้บริการครับ เรียกว่าเราสะดวกตอนไหนก็ไปตอนนั้นได้เลย ดังนั้นใครที่ทำการจองทริปเรือสำราญแล้วพบว่าเรือลำนั้นมีให้เลือกทานอาหารเย็นเป็นแบบ Anytime Dinning ผมแนะนำให้เลือกเป็นแบบ Anytime Dinning จะดีกว่าครับ


 


21. ในทุกๆ วันทางพนักงานที่ดูแลห้องของเราจะมาทำความสะอาดห้อง และนำเอกสารข่าวสารต่างๆ รวมทั้งโปรแกรมการแสดงของเรือในวันถัดมามาให้เราที่ห้องตลอดครับ ซึ่งผมแนะนำว่าเราควรจะต้องอ่านให้ละเอียดทุกใบโดยเฉพาะโปรแกรมการแสดงของเรือ เนื่องจากกิจกรรมบางอย่างหรือโชว์บางอย่างนั้นมันอาจจะมีแค่ครั้งเดียวตลอดการเดินทางทริปนั้นของเราก็ได้ครับ


 

22. สำหรับโชว์พิเศษๆ หรือการแสดงในโรงละครนั้น ผมแนะนำให้ทุกคนไปจองที่นั่งล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ชั่วโมงนะครับ เพราะหากคุณไปช้ากว่านี้คุณอาจจะไม่มีที่นั่งก็ได้ และผมบอกเลยว่าแต่ละโชว์นั้นมันคุ้มค่าแก่การไปนั่งรอดูมากๆ ครับ


 


23. กิจกรรมหรือการแสดงที่ผมคิดว่าทุกคนไม่ควรพลาดนอกจากโชว์ในโรงละครแล้วก็คือกิจกรรมพบปะกับกัปตันเรือในคืนแรกๆ ของการเดินทาง (Captain’s Welcome Reception) และกิจกรรมปาร์ตี้ส่งท้ายในคืนสุดท้ายของการเดินทางครับ (Farewell Party) ผมบอกเลยว่ามันคือสิ่งที่สนุกและแปลกตาสำหรับเรามากๆ โดยกิจกรรมพบปะกับกัปตันเรือนั้นจะเป็นกิจกรรมที่ทางกัปตันเรือออกมาแนะนำตัวเองพร้อมกับคนสำคัญบนเรืออีกหลายๆ ท่าน รวมทั้งมีแอคติวิตี้พิเศษ เช่น ถ่ายรูปกับกัปตัน, รินแชมเปญ เป็นต้น โดยคืนนี้จะเป็นคืนที่ทางเรืออยากให้ทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมแต่งกายแบบเป็นทางการ (Formal) ส่วนกิจกรรมในคืนสุดท้ายของการเดินทางนั้นจะเป็นกิจกรรมที่เหมือนให้ทุกคนได้สนุกสนานบนเรือกันอย่างเต็มที่โดยมีพนักงานของเรือเป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งรายละเอียดและรูปแบบของทั้งสองกิจกรรมนี้จะมีความแตกต่างกันไปตามเรือที่เราใช้บริการนะครับ
 


24. ในวันที่เป็น Formal Night ที่จะมีการพบปะกับกัปตันเรือนั้น เสื้อผ้าที่เราควรจะต้องสวมใส่สำหรับผู้ชายก็คือเสื้อเชิ้ต, ผูกไทด์, ใส่สูท, กางเกงแสล็ค และรองเท้าหนัง ส่วนชุดของผู้หญิงก็จะเป็นชุดเดรสหรือราตรี โดยในเรื่องของการแต่งกายในคืน Formal Night นี้ ในการล่องเรือสำราญในแถบยุโรปและอเมริกานั้นจะค่อนข้างให้ความสำคัญมาก แต่ในโซนเอเชียนั้นจะไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องของการแต่งกายซักเท่าไหร่ โดยผู้ชายหลายๆ คนก็จะใส่เสื้อเชิ้ตธรรมดา ไม่ได้มีการผูกไทด์หรือใส่สูทครับ
 

 

25. สำหรับการแต่งกายบนเรือสำราญในวันอื่นๆ นั้น ส่วนใหญ่ในเวลากลางคืนทุกคนจะแต่งตัวในสไตล์ Smart Casual เป็นหลัก คือเสื้อโปโล กางเกงขายาว รองเท้าผ้าใบ รองเท้าส้นสูง หรือชุดสุภาพต่างๆ ครับ ส่วนในเวลากลางวันนั้นจะใส่อะไรก็ได้ที่เรารู้สึกสบายตัว เคลื่อนที่ได้สะดวก แต่ทั้งนี้เราจะไม่ใส่ชุดว่ายน้ำเดินเข้าร้านอาหารกันนะครับ และเวลาที่เราเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องอาศัยความคล่องตัวหรือมีการเคลื่อนที่ไปมา เราควรจะเลือกใส่รองเท้าผ้าใบเป็นหลักเพื่อความปลอดภัยครับ
 

 

26. แม้ปัจจุบันนี้จะมีผู้ให้บริการเรือสำราญมากมายและมีเส้นทางครอบคลุมไปแทบจะทั่วโลก แต่การเที่ยวด้วยเรือสำราญก็ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้างนั่นก็คือเรือสำราญจะสามารถจอดเทียบท่าได้เฉพาะบริเวณท่าเรือน้ำลึกเท่านั้น ทำให้บางประเทศก็ไม่เหมาะสมที่จะเดินทางท่องเที่ยวด้วยวิธีนี้ โดยในประเทศไทยนั้นก็มีท่าเรือน้ำลึกที่สามารถจอดเรือสำราญได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้นคือบริเวณแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ส่วนที่จังหวัดภูเก็ตนั้นเรือสำราญจะต้องจอดที่กลางทะเลจากนั้นก็ให้ผู้โดยสารนั่งเรือเล็กเข้าไปที่ฝั่งแทนครับ
 

27. สำหรับในโซนเอเชียนั้นประเทศที่มีท่าเรือน้ำลึกและมีเรือสำราญให้บริการเป็นจำนวนมากก็ได้แก่ สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, ฮ่องกง และจีน โดยหากเราทำการจองกับสายเรือโดยตรงค่าใช้จ่ายในการจองนั้นจะยังไม่รวมค่าเดินทางไปจากประเทศไทยนะครับ ส่วนถ้าใครที่จองกับบริษัททัวร์ต่างๆ ในประเทศไทยก็ต้องสอบถามให้ดีๆ ก่อนว่าค่าใช้จ่ายนั้นรวมค่าเดินทางไปจากประเทศไทยแล้วหรือยัง
 

 

28. สำหรับใครที่ยังงงๆ อยู่ว่าควรจะเริ่มต้นหาข้อมูลหรือจองเรือสำราญประเภทไหนดี ผมแนะนำให้ลองดู 2 สายเรือนี้ครับ Royal Caribbean และ Princess Cruise ผมว่าเค้าเป็นสองสายเรือที่มีเรือให้บริการเยอะดี, มีเส้นทางหลากหลาย, มีสิ่งอำนวยความสะดวกบนเรือมากมายและเพียงพอต่อความต้องการ ที่สำคัญราคาอยู่ในระดับกลางๆ เหมาะทั้งสำหรับพนักงานออฟฟิศโดยทั่วไป, คนที่เดินทางเป็นครอบครัว หรือกลุ่มพนักงานบริษัทจำนวนมากที่ต้องการไปจัดกิจกรรม Outing ของบริษัทครับ ส่วนถ้าใครที่เป็นคนที่ชอบตัวละครดิสนีย์เป็นพิเศษก็ต้องไปนี่เลย Disney Cruise Line เรือสำราญที่เป็นธีมดิสนีย์ทั้งหมด ทุกคนจะได้เพลิดเพลินกับเหล่าตัวการ์ตูนทั้งหลายของดิสนีย์ และจะได้สนุกสนานกันตลอดทั้งวันทั้งคืนเหมือนเค้ายกเอาดิสนีย์แลนด์ไปไว้อยู่กลางทะเลเลยครับ
 

29. โดยปกติแล้วหากเราต้องการไปเที่ยวเรือสำราญทริปใดทริปหนึ่งเราควรจะต้องทำการจองล่วงหน้านานพอดูเหมือนกัน โดยการล่องเรือสำราญในแถบเอเชียเราควรต้องจองล่วงหน้าประมาณ 3-6 เดือน, การล่องในแถบยุโรปและอเมริกาเราควรจองล่วงหน้า 6 เดือนขึ้นไป และสำหรับการล่องในแถบอลาสก้ากับขั้วโลกใต้เราควรจองล่วงหน้ามากกว่า 1 ปีขึ้นไป แต่ทั้งนี้สำหรับใครที่ไม่มีปัญหาเรื่องเงินและวันลา รวมทั้งไม่ได้มีทริปไหนที่อยากจะไปเป็นพิเศษก็สามารถจองใกล้ๆ วันที่เรือจะออกเดินทางก็ได้ เพราะบางครั้งมันจะมีโปรไฟไหม้ที่ราคาถูกมากๆ ออกมาด้วยครับ แต่ผมต้องบอกไว้ก่อนนะว่าโปรไฟไหม้นี้ห้องพักจะมีให้เลือกน้อยกว่าปกติ และราคาตั๋วเครื่องบินในการเดินทางไปขึ้นเรือของเรานั้นก็อาจจะสูงกว่าปกติด้วย ยังไงก็ลองคำนวณดูให้ดีๆ นะครับว่าคุ้มหรือเปล่า ^^
 

30. ในการจองเรือสำราญนั้นเราจะสามารถยกเลิกการจองก่อนวันเดินทางได้ และเราจะได้รับเงินคืนบางส่วนตามที่ทางสายเรือนั้นได้กำหนดไว้ แต่ทั้งนี้โดยส่วนใหญ่นโยบายการยกเลิกการจองนั้นจะกำหนดล่วงหน้าค่อนข้างนาน เช่น 1-6 เดือน ขึ้นอยู่กับเส้นทางและสายเรือ และจะมีค่าปรับเป็นค่ามัดจำ 50%, 75% หรือ 100% ตามแต่นโยบายเค้า ยังไงตอนที่เราจะจองก็อ่านรายละเอียดต่างๆ เหล่านี้ให้ดีนะครับ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินต้องยกเลิกหรือเปลี่ยนแผนจริงๆ เราจะได้มีข้อมูลว่ามันสามารถทำได้หรือไม่ครับ
 

31. ในการเดินทางด้วยเรือสำราญนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วเราจะไม่รู้สึกว่าเรือกำลังเคลื่อนที่อยู่เพราะเรือมีขนาดใหญ่มาก แต่บางครั้งเรือก็อาจจะมีอาการโคลงเคลงหรือสั่นสะเทือนได้บ้างหากเจอคลื่นใหญ่ๆ ปะทะ ดังนั้นสำหรับใครที่มีอาการเมาเรือง่ายก็ควรจะต้องพกยาแก้เมาไปด้วยนะครับ หรือหากใครไม่มียาและรู้สึกอาการไม่ดีก็สามารถไปใช้บริการที่ห้องพยาบาลของเรือได้ เพราะโดยปกติแล้วเค้าจะมีห้องพยาบาลบริการอยู่บนเรือทุกลำครับ
 


32. บริเวณดาดฟ้าหรือระเบียงของเรือมักจะเป็นจุดที่มีลมโกรกมากและมีอากาศหนาวเย็นกว่าบริเวณอื่นๆ ดังนั้นเราควรจะมีเสื้อกันหนาวหรือเสื้อกันลมติดไปด้วย จะได้เดินเล่นบริเวณดังกล่าวได้อย่างสบายครับ
 

 

33. ระหว่างที่เรือสำราญแล่นอยู่กลางทะเล หรืออยู่ห่างจากชายฝั่งมากๆ เราจะไม่สามารถใช้งาน Internet ของผู้ให้บริการในประเทศนั้นๆ หรือใช้สัญญาณแบบโรมมิ่งได้ โดยหากใครที่จำเป็นต้องใช้งาน Internet ขณะอยู่กลางทะเลจริงๆ บนเรือบางลำก็จะมีให้บริการครับ แต่บอกไว้เลยว่าราคานั้นสูงเอาเรื่องเพราะเป็นการให้บริการอินเตอร์เน็ตแบบดาวเทียม แถมเรือบางลำยังไม่มีการให้บริการแบบบุฟเฟ่ต์อีก มีเฉพาะแบบที่คิดตามจำนวนการใช้งานจริง ดังนั้นหลายๆ คนเวลาออกทริปเที่ยวเรือสำราญจึงมักจะตัดขาดหรือห่างหายไปจากโลกโซเชียลกันครับ
 

 

34. ด้วยความที่การท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญนั้นเป็นการท่องเที่ยวที่มักจะผ่านหลายๆ ประเทศในหนึ่งทริป รวมทั้งประเทศไทยเองก็ไม่ค่อยมีเรือสำราญมาจอดเทียบท่าซักเท่าไหร่ ดังนั้นในการเที่ยวประเภทนี้เราจึงต้องคำนึงถึงเรื่องการขอวีซ่าด้วย โดยนอกจากวีซ่าของประเทศที่เราจะต้องไปขึ้นเรือสำราญแล้ว เราจะต้องดูด้วยว่าประเทศที่เรือเราไปจอดเทียบท่าในทริปนั้นเราจะต้องทำวีซ่าหรือเปล่า หากเป็นประเทศที่ยกเว้นวีซ่าสำหรับคนไทยอยู่แล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องขอครับ อย่างเช่นทริปที่ผมไปขึ้นเรือ Princess Majestic ที่เมืองจี้หลง ประเทศไต้หวัน และออกเดินทางไปยังเมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น กับเมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ เป็นระยะเวลา 6 วัน 5 คืน ทริปนี้ผมกับต๋งก็ไม่ต้องขอวีซ่าเลย เพราะในช่วงเดือนเมษายน 2562 นั้น ทั้งไต้หวัน, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ได้มีการเปิดนโยบายฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่ครับ
 

35. สำหรับกระบวนการลงเรือเมื่อเรือจอดเทียบท่าต่างๆ นั้น ในแต่ละประเทศก็อาจจะมีเอกสารที่ต้องใช้หรือกระบวนการที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งทางเรือจะมีการแจ้งให้เราทราบผ่านทางเอกสารที่จัดส่งให้เราทุกวันอยู่แล้ว ส่วนในเรื่องของการช็อปปิ้งสินค้าต่างๆ ในเมืองที่เราจอดนั้น หากเรามีการซื้อสินค้าครบถึงเกณฑ์ที่สามารถขอ Tax Refund ได้ เราก็จะสามารถขอ Tax Refund ได้เหมือนกับนักท่องเที่ยวปกติครับ โดยพนักงานของร้านค้าต่างๆ ในเมืองที่เรือจอดเทียบท่ามักจะคุ้นหูคุ้นตารวมถึงกระบวนการทำ Tax Refund ให้กับนักท่องเที่ยวที่มากับเรือสำราญอยู่แล้วครับ ดังนั้นขาช็อปทั้งหลายสบายใจได้เลย ^^
 

 


ราคาของการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญ

 
เอาล่ะ ในที่สุดก็มาถึงเรื่องสุดท้ายของบทความนี้กันแล้ว และน่าจะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่หลายๆ คนอยากจะรู้กันมากนั่นก็คือเรื่องราคาของการเที่ยวด้วยเรือสำราญนั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นอะไรที่อธิบายได้ยากมากครับ เพราะนอกจากราคาของการเที่ยวด้วยเรือสำราญจะขึ้นอยู่กับประเภทห้อง ระดับของสายเรือที่เราใช้บริการแล้ว ราคาของการท่องเที่ยวแบบนี้ยังขึ้นลงไปเรื่อยแบบที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ด้วย แต่อย่างไรก็ตามหากเรามีการติดตามราคาของทริปเรืออยู่บ่อยๆ เราจะรู้เลยว่าการเที่ยวเรือสำราญนี้ถูกกว่าที่เราคิดไว้พอควรเลยครับ โดยหลายๆ ครั้งผมได้เห็นราคาของทริปเรือสำราญที่เดินทาง 4-6 วันในโซนเอเชียอยู่ในระดับ 15,000 – 20,000 บาท/คนเท่านั้นเอง (ไม่รวมค่าเดินทางจากไทย และค่าทิปพนักงานบนเรือ) ซึ่งถือว่าถูกมากๆ เลย เนื่องจากเราแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรบนเรืออีกแล้วครับ
 


ใครที่สนใจจะเที่ยวด้วยวิธีนี้จริงๆ ก็ลองลิสต์ทริปที่เราสนใจออกมาและติดตามราคาผ่านเวบของสายเรือบ่อยๆ ก็ได้ครับ เพราะทางสายเรือแต่ละที่จะมีการประกาศโปรแกรมการเดินทางและเปิดให้จองล่วงหน้ากันเป็นปีเลย
 

และทิ้งท้ายไว้ซักนิดนึงนะครับ สำหรับใครที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการเที่ยวเรือสำราญมาก่อน เวบ https://www.cruisecritic.com คืออีกหนึ่งเวบไซต์ที่ทุกคนควรจะต้องทำความรู้จักเอาไว้ เพราะเวบนี้จะเป็นเวบที่คล้ายๆ กับ Trip Advisor ของวงการเรือสำราญ เราจะได้เห็นข้อมูลหรือฟีดแบคจากคนที่ไปใช้บริการเรือสำราญลำต่างๆ ว่าไปใช้งานมาแล้วรู้สึกอย่างไร ประทับใจมั้ย อาหารการกินอร่อยหรือเปล่า สิ่งอำนวยความสะดวกเยอะมั้ย พนักงานบริการดีหรือเปล่า และสภาพของเรือเก่าหรือใหม่ เพราะต้องบอกตามตรงว่าเรือสำราญนั้นก็เปรียบเสมือนโรงแรม เพียงแต่เป็นโรงแรมที่ลอยน้ำได้เท่านั้นเอง ดังนั้นมันก็จะมีทั้งเรือเก่า เรือใหม่ เรือหรูหรา เรือทันสมัย เรือที่มีสิ่งอำนวยขนาดสะดวกเยอะ หรือเรือขนาดเล็กที่มีลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ดังนั้นการที่เราได้เข้าไปหาข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ก่อนมันจะทำให้เราเห็นภาพมากขึ้น สามารถตัดสินใจเลือกจองเรือสำราญได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญเราจะไม่ถูกราคาที่ถูกเว่อร์หลอกล่อได้ครับ^^