คำว่าสวยแค่คำเดียว คงไม่เพียงพอสำหรับคำอธิบายถึงสถานที่ท่องเที่ยวระดับเวิล์คคลาสอย่างอลาสกา  “วิจิตร”  “งดงาม” “เลิศเลอ”  “อลังการ” “ตระการตา” “มหัศจรรย์”  “เฉิดฉาย “เพริศพริ้ง” ทุกคำที่ว่ามา ใช้คำใดคำหนึ่งไม่ได้เด็ดขาด เพราะหากจะพร่ำพรรณาถึงอลาสกาคงต้องจับทุกคำข้างต้นมากองรวมกัน  อลาสกาคืออนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ทางธรรมชาติที่มนุษย์ควรมีสองตาไว้เพื่อมองสถานที่แห่งนี้
 
เป็นอลาสการอบที่สอง ระยะห่างจากครั้งแรกราว 10 ปี ทำให้ระดับความคิดถึงกำลังก่อตัวได้ที่พอดี รอบนี้การวางแผนทุกอย่างดูง่ายดายขึ้น เมื่อมอบโจทย์การหาเรือสำราญให้กับบริษัทที่เป็นตัวแทนของเรือสำราญมากกว่า 10 แบรนด์ เรียกว่าเป็นตัวจริงเรื่องเรือสำราญมาก และไม่ว่าโจทย์ของลูกค้าจะเป็นแบบไหน  จะเรือหรู เรือใหม่ เรือใหญ่ เรือสำรวจและผจญภัย หรือเรือที่มากมายไปด้วยกิจกรรมสำหรับครอบครัวก็จัดให้ได้หมด
 
เที่ยวนี้  เมื่อดูจากเส้นทาง ระยะวันเดินทาง พอร์ตที่แวะ และวันที่เรือออก จึงไปจบที่เรือยี่ห้อ Princess Cruise เรือสำราญที่วิ่งให้บริการในอลาสก้าเป็นเจ้าแรกๆ เลย  และนี่เป็นครั้งแรกที่ลองใช้บริการเรือยี่ห้อนี้ เที่ยวก่อนเรือวิ่งออกจากแวนคูเวอร์และจบที่แวนคูเวอร์   รอบนี้อยากเปลี่ยนบรรยากาศ เลยเลือกบินไปออกสตาร์ทที่แองเคอเรจ แล้วล่องเรือไปสิ้นสุดที่แวนคูเวอร์ ก่อนไป ทางทีมงานเช็คอินและประสานทุกอย่าง พร้อมให้คำแนะนำเรื่องการเดินทางจากเมืองแองเคอเรจไปยังท่าเรืออย่างครบถ้วน เรียกได้ว่า เป็นมืออาชีพมากๆ จนทำให้ผู้เดินทางค่อนข้างสบายใจ                   
 
 
 

แองเคอเรจ (Anchorage)

 
แองเคอเรจเป็นเมืองเงียบๆ  ถึงแม้ไม่ใช่เมืองหลวง แต่นี่คือเมืองใหญ่สุดของอลาสก้า ที่ห้อมล้อมไว้ด้วยธรรมชาติ  ผู้คนอยู่กันแบบหลวมๆ อากาศในช่วงซัมเมอร์ค่อนข้างเย็นสบาย ทุ่งดอกไม้กำลังผลิบาน สำหรับคนมาล่องเรือเข้าอลาสก้า โดยมากจึงแวะนอนและเที่ยวที่นี่กันซักวันหนึ่ง เพื่อไม่ให้เหนื่อยจนเกินไป เที่ยวนี้ ไปเจอบ้านพักของเว็บไซต์ Airbnb ที่น่ารักมาก เป็นบ้านเก่าอายุเกิน 100 ปี แต่รีโนเวทให้ทุกอย่างดูไฉไล แถมตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลย จะเดินไปเที่ยวหรือหาของกินก็สะดวก พูดถึงอาหารการกิน ไม่น่าเชื่อว่ามีร้านอาหารไทยมาเปิดที่นี่ น่าจะเกือบๆ 10ร้าน เรียกว่าเดินไปทางไหนก็ล้อมหน้าล้อมหลังดักเราไว้ทุกทาง เลยจัดผัดไทยก่อนไปล่องเรือสำราญซะเลย
 
ทางYingpook ประสานงานเรื่องจองรถเพื่อไปลงเรือไว้ให้เรียบร้อยแล้ว สำหรับใครที่มาลงเรือที่แองเคอเรจ แนะนำว่ามาพักที่เมืองนี้ซักคืนหนึ่ง จะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป เพราะต่อให้เรือออก 2 ทุ่ม แต่ไม่ควรประมาทกับเรื่องไฟลท์ดีเลย์ แวะมานอนเล่นเดินช้อปปิ้งในแองเคอเรจซักวันหนึ่ง เหมือนอย่างเรามาถึงเย็นๆ พักผ่อนซักนิด วันรุ่งขึ้นมีเวลาเดินเล่นในเมืองครึ่งวัน ช่วงบ่าย 2 รถบัสจะวิ่งมารับที่จุดนัดพบใจกลางเมืองแองเคอเรจเพื่อไปส่งที่ท่าเรือเลย จากแองเคอเรจไปท่าเรือเมืองวิทเทียร์ (Whittier) ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง แต่แทบจะเป็นเวลาที่ไม่อยากเผลองีบเลย  เพราะวิวทิวทัศน์ระหว่างทางสวยขึ้นทุกขณะ
 
เรือ Coral Princess ของPrincess Cruise จอดรอทุกคนอยู่ที่ท่าเรือเมืองวิทเทียร์ เมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่แค่ราวๆ 200 คนเท่านั้น เรียกว่าอยู่กันแบบหลวมๆ ถึงขั้นสุด เรือออกตอน 2 ทุ่มก็จริง แต่ดูเหมือนผู้คนนับพันทยอยมาเช็คอินเพื่อขึ้นเรือกันอย่างคึกคัก  แต่พูดเลยว่า ชื่นชมระบบการเช็คอินของเรือ Princess Cruiseอย่างมาก นี่ครูซมาหลายแบรนด์แล้ว ต้องมีทั้งเวลายืนคอยคิวเพื่อเช็คอิน ตรวจสัมภาระ และนั่งคอยก่อนเรือออก สิริรวมแล้วต้องป้วนเปี้ยนก่อนขึ้นเรือเป็นชั่วโมง  แต่ที่นี่ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที ทุกอย่างเสร็จ พร้อมขึ้นเรือได้เลย เริ่ดค่ะ
 
ทริปนี้เป็นการล่องแบบ 8 วัน 7 คืน เรือออกจากวิทเทียร์ และไปสิ้นสุดที่เมืองแวนคูเวอร์  ตลอดเส้นทางจะผ่านธารน้ำแข็งใหญ่ๆ 2แห่ง คือธารน้ำแข็งฮับบาร์ด (Hubbard Glacier)  และอุทยานแห่งชาติกลาเซียร์ เบย์ (Glacier Bay National Park) และยังแวะเมืองหลวงอย่างจูโน (Juneau) เมืองสแกกเวย์ (Skagway) และ เมืองคัชชิเกน (Ketchiken) ที่จริงแค่จุดออกตัวที่พอร์ตวิทเทียร์ก็สวยเฟี้ยวแล้ว  มองไปรอบด้านคือเทือกเขาที่แม้จะเป็นซัมเมอร์ แต่ก็มีหิมะโรยอยู่บนยอดเขาประปราย
 
แน่นอนว่าวันแรกของการถึงเรือ ทุกคนต้องสำรวจมุมต่างๆ ของเรือ เพราะชีวิตหลังจากนี้อีก 7 คืนต้องฝากผีฝากไข้ไว้กับเรือ และแน่นอนเรื่องปากท้อง ก็สำคัญ ต้องเดินสายสำรวจห้องอาหารต่างๆ บนเรือ เพราะต้องฝากท้องไว้กับเรือลำนี้ เรื่องอดอยากเลิกพูดถึงไปได้เลย เพราะไม่ว่าจะเดินล้มแผละไปตรงไหนก็มีแต่อาหารรออยู่  เรื่องเดินผอมลงจากเรือ เป็นไปไม่ได้แน่ มีแต่จะแบกน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นลงจากเรือแน่นอน ส่วนเรื่องห้องพัก ต้องขอบคุณ Yingpook ที่เที่ยวนี้จองห้องพักแบบ Balconyให้เราได้ ทำให้ได้ดื่มกินวิวทิวทัศน์ของอลาสก้าแบบจุใจมาก  ไม่ต้องออกไปไหน แค่นั่งบนระเบียงห้องนิ่งๆ ชิลล์ๆ ก็จิบวิวได้พุงกางแล้ว
 
 
 

Hubbard Glacier

 
วันแรกเรือแวะที่ ธารน้ำแข็งฮับบาร์ด ผู้โดยสารแต่ละคนพากันออกจากห้องมาอยู่ที่หัวเรือ ยิ่งเรือขยับเข้าใกล้ธารน้ำแข็งเสียงชัตเตอร์ยิ่งดังระรัว ไม่ธรรมดาเลยสำหรับธารน้ำแข็งฮับบาร์ด เพราะเรากำลังขยับตัวเข้าใกล้กับธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ  แถมน่าสนใจตรงที่ในขณะที่ธารน้ำแข็งทั่วโลกกำลังละลาย แต่ธารน้ำแข็งฮับบาร์ดกลับขยับขยายพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ ใครอยากจะเข้าใกล้ธารน้ำแข็ง มีเรือเล็กบริการพาชาวเรือตึกลงเรือเล็กไปส่องธารน้ำแข็งใกล้ๆ ด้วย แดดเดือนร้อนของอลาสก้าไม่เผ็ดอย่างที่คิด เลยนั่งเพลินๆ บนดาดฟ้าเรือปล่อยให้ความคิดไหลเอื่อยไปตามสายน้ำ พลางคิดถึงชายโชกโชนผู้ที่เดินเรือรอบโลกเป็นคนแรกอย่างเฟอร์ดินาน แมคเจลลัน เขาจะเคยล่องโฉบผ่านมาแถวนี้บ้างหรือเปล่านะ คนค้นพบอเมริกาอย่างคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสก็อีกคน เคยมีใครบอกเขามั้ยว่ามีดินแดนอันงดงามอยู่ใกล้กับดินแดนที่เขาค้นพบ แล้วกัปตันคุกนักเดินเรือชาวอังกฤษผู้ค้นพบเกาะฮาวายล่ะ ชั่วชีวิตการเดินเรือสำรวจโลกของเขา  เคยเฉียดมาใกล้ขั้วโลกเหนือบ้างมั้ยหนอ วาสโกดา กามาก็เหมือนกัน นอกจากแหลมกู้ดโฮป และ  อินเดีย ในพจนานุกรมของนักสำรวจอย่างเขา จะมีชื่อของอลาสก้า แว่วเข้าหูบ้างหรือไม่ นอกจากเส้นทางสายไหม นักผจญภัยอย่างมาร์โค โปโลจะเคยระหกระเหินผ่านมาแถวนี้บ้างมั้ยเนี่ย อยากรู้ว่าอลาสก้าเคยพัวพันกับใครมาบ้าง รอยเท้าของใครเคยประทับอยู่บนธารน้ำแข็งในละแวกนี้ 
 
โชคดีที่หลังจากมาอลาสก้าครั้งก่อน พอลงจากเรือเลยไปขุดคุ้ยเรื่องราวของอลาสก้ามาบ้าง ได้ความว่า ตามประวัติศาสตร์ดั้งเดิมย้อนหลังไปหมื่นกว่าปีก่อน  ไม่ใช่พวกหัวทองที่มาตั้งรกรากกันแถวนี้  แต่กลับเป็นพวกหัวดำต่างหาก ซึ่งเชื่อกันว่าน่าจะเป็นทั้งกลุ่มคนที่มีเชื้อสายเอเชียล่องเรือฝ่าคลื่นลมเคลื่อนผ่านช่องแคบแบริ่งเข้ามา พวกชาวไซบีเรีย รวมถึงพวกอินเดียนแดง ซึ่งแตกแยกย่อยเป็นหลายเผ่า ตามบันทึกบอกไว้ว่า มีนักเดินเรือชาวรัสเซียเคยเข้ามาสำรวจแถบอลาสก้ามาแล้ว 2 ครั้ง แต่ถ้าเป็นครั้งที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อย่างละเอียดก็ต้องเป็นการสำรวจของ วิตุส แบริงนักเดินเรือชาวเดนมาร์กที่รับใช้กษัตริย์ปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเซีย ช่วงกลางศตวรรษที่ 18 เขาได้นำกำลังพลนับพันออกเดินทางโดยเรือเซนต์ปีเตอร์ไปสำรวจดินแดนอันไกลโพ้นในแถบนี้ รอบแรกเขาไปไม่ถึงแต่รอบที่สองของการสำรวจ จึงค้นพบว่ามีดินแดนทุรกันการอันหนาวเหน็บ ที่เป็นทุ่งน้ำแข็ง เวิ้งว้าง เปล่าเปลี่ยวอยู่บนโลกใบนี้
 
ข่าวคราวว่าขนสัตว์โดยเฉพาะขนของตัวนากทะเลนั้นคุณภาพดีเยี่ยม แถมแถบนี้ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่า ถูกแพร่สะพัดไปทั่วยุโรป   แน่นอนว่าชาตินักล่าอย่างสเปน  ย่อมไม่นิ่งเฉย สเปนส่งทีมเดินเรือหมายมั่นจะเข้ามาสำรวจดินแดนแถบนี้เช่นกัน แต่ดันไปป๊ะกันแฮ๋มกับทีมสำรวจของอังกฤษ ซึ่งตอนนั้นส่งกัปตันเจมส์ คุกมาสอดส่องแถวนี้อยู่เหมือนกัน สเปนจึงเบนหัวเรือกลับ ช่วงนั้น ไม่ว่าชาติไหนๆ ก็ระแคะระคายเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของอลาสก้า จนรัสเซียซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เริ่มรู้สึกหวงแหนและเห็นคุณค่าของดินแดนแถบนี้  เลยส่งคนมาลงหลักปักฐานอย่างเป็นกิจจะลักษณะ แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น เพราะรัสเซียเองก็ถูกเจ้าถิ่นอย่างอินเดียนแดงต่อต้านจนถึงที่สุด  แต่ก็ไม่อาจต้านทานกองทัพรัสเซียได้  ราวต้นศตวรรษที่ 19 รัสเซียได้ยึดหัวหาดที่เมืองซิทก้า ตั้งเป็นเมืองหลวงของอลาสก้า และปลุกปั้นให้ซิทก้าค่อยๆ เจริญรุ่งเรือง
 
กระทั่งกลางศตวรรษที่ 19 รัสเซียพ่ายแพ้สงครามต่ออังกฤษและฝรั่งเศส และเริ่มคิดว่าเพราะมัวห่วงหน้าพะวงหลังกับอาณานิคมหลายๆ จุดรวมถึงอลาสก้า เลยทำให้สูญเสียจุดโฟกัสของการบริหารจัดการ ทางที่ดีควรจะละทิ้งบางอย่างที่ทำให้ได้ไม่คุ้มเสีย ประกอบกับยามนั้น รัสเซียแทบไม่เคยรู้สึกว่าอลาสก้าเป็นอาณานิคมที่ต้องเข้าไปเร่งกอบโกยผลประโยชน์เลยด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะคนรัสเซียที่อาศัยอยู่ตอนนั้นมีไม่กี่ร้อยคน แถมมองไปทางไหน เจอแต่ธารน้ำแข็งขาวโพลน หารู้ไม่ว่าทุ่งสีขาวที่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตานั้นได้ห่มคลุมแร่ธาตุ และน้ำมันเอาไว้เยอะชนิดที่รัสเซียคาดไม่ถึง ระหว่างนั้น อเมริกาซึ่งกำลังมีท่าทีสนใจอลาสก้าอยู่พอดี  ก็ได้เสนอตัวรับซื้อดินแดนในครอบครองของรัสเซีย การเจรจามาจบลงที่ราคาซื้อขาย 7.2 ล้านเหรียญสหรัฐ นับจากปี 1867 เป็นต้นไป อลาสก้าจึงถูกเปลี่ยนเจ้าของเป็นอเมริกาแทน เป็นดีลการซื้อขายดินแดนที่ทั้งฝ่ายรัสเซียและอเมริกาถูกวิพากษ์วิจารณ์กันยับเลย  ฝั่งอเมริกามีการโจมตีผ่านหนังสือพิมพ์ว่าเป็นการจ่ายเงินอย่างสูญเปล่า เพราะที่นั่นมีแต่ทุ่งน้ำแข็งและเทือกเขาหิมะ เรียกว่าแทบไม่มีใครเห็นประโยชน์ของการซื้ออลาสก้าเลยแม้แต่น้อย ส่วนรัสเซียยิ่งโดนหนัก  ข้อหา ขาดวิสัยทัศน์เนี่ยโดนกระหน่ำมาทุกยุคทุกสมัย แถมขายราคาถูกสุดๆ  อันนี้ก็น่าเห็นใจ ใครจะไปรู้ว่ามีกรุสมบัติซ่อนอยู่ใต้ธารน้ำแข็งล่ะ ขนาดตอนนั้นที่อเมริกาซื้อก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีของดีซุกอยู่ 
 
ตอนที่ซื้อมาใหม่ๆ อเมริกาส่งทหารและผู้ปกครองเข้าไปที่ซิทก้าเพื่อดูแลดินแดนในครอบครอง ก็อยู่แบบเหงาๆหนาวๆ กันเกือบทั้งปี  จะทำมาหากินอะไรก็ไม่ค่อยได้ นอกจากจับปลาล่าสัตว์กันไปวันๆ จนกระทั่งเหล่าผู้ดูแลก็พากันทยอยกลับคืนสู่อเมริกา เพราะแทบมองไม่เห็นอนาคตของที่นี่ แต่แล้วช่วงปลายศตวรรษที่ 19  หรือประมาณปี 1880 อลาสก้าก็เริ่มเปล่งประกายของทองเนื้อแท้ให้อเมริกาเห็น เมื่อโยเซฟ จูโนได้ค้นพบทองคำในจุดที่เป็นเมืองจูโนในปัจจุบัน จากนั้นก็ยังค้นพบพวกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอีก ซึ่งอย่าใช้คำว่าเป็นจำนวนมากเลย ใช้คำว่ามหาศาลจะเหมาะกว่า นับแต่นั้นมา อลาสก้าก็เป็นดินแดนที่ไม่เคยเงียบเหงาอีกต่อไป  เพราะเหล่านักแสวงโชค ต่างมุ่งหน้ามาที่นี่ พวกเขาแบกความหวัง ความโลภมาอย่างเต็มเปี่ยม และอลาสก้าก็ไม่เคยใจไม้ไส้ระกำกับใคร
 
            
 

GlacierBay

 
วันรุ่งขึ้น เรือเริ่มวิ่งเข้าใกล้อุทยานแห่งชาติกลาเซียร์ เบย์ ธารน้ำแข็งผืนใหญ่อีกแห่งหนึ่งกำลังรอชาวเรืออยู่ ว่ากันว่านี่คือหนึ่งในธารน้ำแข็งที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ซ่อนอยู่ในอุทยานแห่งนี้ ฮับบาร์ด กลาเซียร์ว่างดงามแล้ว มาถึงที่กลาเซียร์ เบย์ยิ่งงดงามและยิ่งใหญ่มากขึ้นอีก ยิ่งเป็นวันที่ดินฟ้าอากาศเป็นใจ มีแสงแดดห่มธารน้ำแข็งทั้งผืนเอาใหญ่ ไม่มีใครยอมขลุกอยุ่ในห้องแน่นอน  ทุกคนขึ้นมาปักหลักบนดาดฟ้าเรือ และเอ็นจอยกับแสงแดดกันอย่างเต็มที่ แม้แต่ลูกเรือก็ยังควักกล้องออกมาถ่ายรูป เพราะไม่ใช่ทุกครั้งที่ล่องเรือมาถึงที่นี่แล้วจะเจออากาศแบบนี้  บางวันเมฆทึบทึมเทา อากาศก็จะหนาวแม้เป็นซัมเมอร์ก็ตาม 
 
พูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศ ต้องบอกว่าสภาพอากาศที่หนาวเหน็บเกือบตลอดทั้งปี ทำให้กลายเป็นความยากลำบากในการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่  คนที่คิดจะลงหลักปักฐานจริงๆ จึงไม่จำเป็นต้องทนแดดทนฝน แต่ต้องเป็นพวกทนทานอากาศหนาวจัด จัดขนาดช่วงฤดูหนาวไล่ไปตั้งแต่เดือนพ.ย.ไปจนถึงก.พ. อาจไม่โดนแสงแดดมาละเลงผิวไปตลอด 3-4 เดือน ขาดวิตามินดีไม่เท่าไหร่ แต่อุณหภูมิที่ดำดิ่งลงติดลบ 50-60องศาเซลเซียสในเดือนหนาวนี่สิ ร้ายกาจกว่า แต่อากาศหนาวอย่างน่าสยดสยองของอลาสก้า  กลายเป็นอาวุธสำคัญไม่ให้มนุษย์เข้ามารุกรานธรรมชาติอันผุดผ่องของอลาสก้ามากเกินไป ทุกวันนี้รถยังเข้าไม่ได้ 2 ทางที่จะเข้าถึงไม่เรือก็เรือบิน 
 
92 ปีหลังจากตกเป็นสมบัติของอเมริกา ชาวอลาสก้าที่อยู่อย่างหนาวๆเหงาๆ ก็เริ่มออกมามีปากมีเสียง เรียกร้องให้รัฐบาลอเมริกาใส่ใจกับประชากรในแถบนี้มากขึ้น และอยากมีสิทธิมีเสียงเยี่ยงอเมริกันชน จนในที่สุดเมื่อปี 1959 อเมริกาก็ตั้งอลาสก้าให้เป็นรัฐที่ 49 ของประเทศและปีเดียวกันตั้งฮาวายเป็นรัฐที่ 50 ถ้าเทียบกับอีก 49 รัฐใต้ปีกของอินทรีย์เหล็ก ก็ต้องบอกว่า อลาสก้าเป็นรัฐที่มีความเป็นที่สุดอยู่หลายประการ อันดับแรกถ้าวัดจากพื้นที่ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นรัฐที่ครองตำแหน่งใหญ่ที่สุด ถ้าวัดจากระดับอุณหภูมิก็ต้องบอกว่านี่คืออาณาบริเวณที่หนาวที่สุด  ในเวลาเดียวกัน  ถ้าวัดเรื่องมวลหนาแน่นของมนุษย์ ก็ต้องบอกว่านี่คือรัฐที่มีอัตราความหลวมมากที่สุดของอเมริกา เพราะพื้นที่เยอะ แต่คนทนหนาวน่ะมีน้อย ยัง ยังไม่หมด ยอดเขาสูงที่สุดของอเมริกาอย่างยอดเขาแมคคินเลย์ ด้วยส่วนสูง 6,194 เมตร ก็อยู่ที่อลาสก้าด้วยเช่นกัน และที่น่าทึ่งมากกว่านั้น ยอดเขาที่สูงที่สุด 20 อันดับแรกของอเมริกา ล้วนแต่ทอดตัวเรียงรายอยู่ในรัฐอลาสก้าแทบทั้งสิ้น แนวชายฝั่งยาวที่สุดในอเมริกาก็อยู่ที่อลาสก้า ยาวกว่า 6.6 พันไมล์ ขณะที่แนวชายฝั่งของฟลอริดายาวแค่ 1.3 พันไมล์ และแคลิฟอร์เนียยาวถึงไม่ถึงพันไมล์ และอลาสก้ายังมีเขตพื้นที่ที่เป็นป่าไม้หนาแน่นมากที่สุดของอเมริกาอีกด้วย แต่ที่ทำให้หูตาเบิกโพลง  ก็น่าจะเป็นตัวเลขมากกว่า 3 ล้าน ไม่ใช่ประชากรของอลาสก้า  ก็บอกแล้วว่าคนเขาอยู่กันหลวมๆแค่ 7-8 แสนคนเท่านั้น แต่คุณพระ! นี่เป็นตัวเลขของทะเลสาบที่อยู่ในเขตอลาสก้า จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไรไหว  ก็บ้านเรามีทะเลสาบแค่ไม่ถึง 10 แห่ง เผลอๆ เอาทะเลสาบทั้งเอเชียมารวมกัน จะเท่าจำนวนทะเลสาบในอลาสก้ารึเปล่าก็ไม่รู้
 
     
 

Skagway

 
วันถัดมา เรือจอดแวะที่เมืองสแกกเวย์ เป็นเมืองที่เคยเป็นชุมทางของบรรดานักขุดทองทั้งหลาย   วันนี้ลงจากเรือตึกเลยได้มีโอกาสนั่งรถรถไฟสายไวท์ พาส&ยูคอน (White Pass& Yukon Route) รถไฟขบวนที่เคยหอบนักแสวงโชคเรือนหมื่นข้ามเขาหลายลูก  เลาะไปตามเส้นทางรถไฟอันคดโค้งและเต็มไปด้วยหุบเหว แต่ในวันนี้ รถไฟขบวนนี้แน่นขนัดไปด้วยผู้โดยสารจากทั่วมุมโลกของเรือสำราญยี่ห้อต่างๆ ที่มาจอดเทียบท่าเรือเมืองสแกกเวย์ จะใช้คำว่าทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ก็น่าจะได้  เพราะเมื่อ 100กว่าปีก่อน บรรดานักขุดทองต่างเดินทางมาที่นี่เพื่อขึ้นรถไฟสายนี้มุ่งหน้าไปแสวงโชคที่เหมืองทองในรัฐยูคอนของคานาดา
 
รางเหล็กสายเก่าแก่แห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคตื่นทองแถวคลอนไดค์เมื่อ 100กว่าปีที่ผ่านมา  ไม้หมอนชิ้นแรกถูกวางลงตั้งแต่ปี1898  จากนั้นรางเหล็กก็ถูกทักทอขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์  ท่ามกลางลมหนาวที่กระพือตลอดทั้งปี ไม่ใช่แค่ต่อสู้กับความหนาวเหน็บที่กรีดเฉือนเลือดเนื้อ  แต่ยังต้องเจอกับอุปสรรคความทุรกันดารและความยากลำบากที่ประเดประดังกันเข้ามา แต่ในที่สุดในปี 1900แรงงานชายฉกรรจ์ก็เนรมิตรางเหล็กยาว 110 ไมล์ได้สำเร็จ หลังจากเปิดให้บริการ ไม่เพียงมีชุมชนซ่อนตามรายทาง  แต่ธุรกิจหลายประเภทยังเกิดขึ้นตามมา  ความจริงถ้าไม่นับเรื่องประวัติศาสตร์ต้องบอกว่า แค่วิวทิวทัศน์ระหว่างทางนี่ก็ทำให้หูตาเบิกโพลงกันแล้ว ก่อนกลับแวะพายเรือคายัคในทะเลสาบตรงสถานีรถไฟ แล้วกลับมาเดินเล่นดูสีสันในตัวเมืองสแกกเวย์ 
 
           
 

Juneau

 
เช้านี้เรือตึกพามาทอดสมอที่เมืองหลวงของอลาสก้าอย่างเมืองจูโน วันนี้เรามีแผนซื้อทัวร์เอ็กซ์เคอร์ชั่นของทางเรือเพื่อไปเทรคกิ้งในเขตธารน้ำแข็งเมนเดนฮอลล์ (Mendenhall Glacier) ที่ถือว่าอยู่ในเขตอุทยานตองกาส (TongassNational Forest) และนั่งเรือไปดูฮัมแบคเวล หรือวาฬหลังค่อมในแถบนี้ จากนั้นบ่ายถึงจะกลับมาเดินเล่นในตัวเมือง ความจริงเขาไม่ได้มีแค่ทัวร์ธารน้ำแข็งนะ แต่ยังมีอีกร้อยแปดพันเก้าเลยล่ะ มีทั้งนั่งเรือบินชมธารน้ำแข็งแบบใกล้ๆ หรือที่เรียกว่าไฟลท์ซีอิ้ง ทัวร์ให้พวกหมาฮัสกี้ลากเลื่อน ทัวร์ไปตกปลาแซลมอนแล้วมาปิ้งย่างกินกันตรงนั้นเลย  ทัวร์เดินเขาที่มีให้เลือกหลายเส้นทาง หรือแม้แต่ทัวร์ดูหมีก็ยังมีให้เก็บตกกันตลอดทาง 
 
เราออกสตาร์ทด้วยการนั่งเรือไปดูวาฬก่อน วาฬถือเป็นนางเอกประจำอลาสก้า โลมาเป็นเพื่อนนางเอก แมวน้ำเป็นตัวประกอบ  พอลงเรือมาได้ซักครึ่งชั่วโมง ไกด์ก็ชี้ชวนให้ดูวาฬ เราจะค่อยๆ เห็นวาฬดำผุดดำว่าย พ่นน้ำขึ้น บางช่วงดันตัวขึ้นมาอวดเรือนร่างบนผิวน้ำเล็กน้อย จากนั้น จะมุดลงไปแล้วอวดหางอย่างที่ตากล้องทุกคนหมายปอง วันนั้นในระยะล่องเรือราวชั่วโมงเศษ เราได้เห็นวาฬ 3ตัว เป็นอันว่าจบทัวร์ เราจึงมุ่งหน้าไปที่ธารน้ำแข็งเมนเดนฮอลล์ที่กันต่อ เพราะเราจะไปเทรคกิ้งในเทรลของอุทยานกัน รถยิ่งวิ่งเข้าใกล้เขตเมนเดนฮอลล์ วาเลย์เท่าไหร่ วิวก็ยิ่งฉายแววให้เห็นความงามขึ้นเรื่อยๆ รถไม่ได้วิ่งไปส่งที่หน้าอุทยาน เพราะมีจุดที่เริ่มต้นเทรลแยกออกมา ลูกทัวร์จะต้องเดินเท้าลัดเลาะในผืนป่าของอุทยาน แต่เป็นเทรลที่ไม่ยากมาก เดินขึ้นลงแบบไม่โหดจนเกินไป  ระหว่างทางไกด์ก็ชี้ชวนให้ชมนกชมไม้ พูดถึงพันธ์ไม้ในย่านนี้ แล้วก็ไปจบที่ธารน้ำแข็ง สำหรับที่นี่ต้องบอกว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ได้เปิดตลอดทั้งปี แต่เมื่อไหร่ที่ถึงช่วงกลางเดือนพ.ค.ไปจนถึงกลางเดือน ก.ย. อุทยานแห่งนี้ก็จะเปิดประตูให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาทัศนศึกษาประมาณ 4 เดือนเต็ม  แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ต้องรับแขกไม่ใช่น้อย ตัวเลขจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแจ้งว่าแต่ละเดือนในช่วงนี้จะมีแขกเหรื่อแวะเวียนมาเยี่ยมธารน้ำแข็งตกเดือนละ 5 แสนคน
 
เมนเดนฮอลล์จัดว่าเป็นหนึ่งในธารน้ำแข็งที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของอลาสก้าที่ยาวเหยียดประมาณ 12 ไมล์  เดิมทีไม่ได้ใช้ชื่อนี้ แต่สมัยชาวเผ่าทลิงกิตเขาเรียกที่นี่ว่าธารน้ำแข็งอุค (Auk) แต่เมื่อปี 1891 มาเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นธารน้ำแข็งเมนเดนฮอลล์ตามชื่อของโทมัส คอร์วิน เมนเดนฮอลล์ นักฟิสิกส์และอุตุนิยมวิทยาชื่อดังของสหรัฐ ข่าวว่าธารน้ำแข็งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกาเหนือแห่งนี้กำลังละลายลงทุกวัน  ในสมัยก่อนทุ่งน้ำแข็งเมนเดนฮอลล์ ยาวเหยียดไกลสุดลูกหูลูกตา แต่ปัจจุบันธารน้ำแข็งละลายลงกลายเป็นน้ำ อยากเห็นว่าสมัยก่อนที่เมนเดนฮอลล์ยังสมบูรณ์กว่านี้ เลยพากันแวะไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เขาจัดแสดงเหมือนนิทรรศกาลขนาดย่อมเอาไว้ให้ดูภาพและมุมต่างๆ ของธารน้ำแข็ง เห็นอาการโคม่าของธารน้ำแข็งแล้วนึกถึงข่าวที่เคยอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ เขาว่าตอนนี้ทั้งคนและสัตว์ที่อาศัยอยู่ในแถบนี้กำลังย่ำแย่กันอย่างหนัก  เมื่อน้ำแข็งละลาย ก็เท่ากับว่าบ้านของพวกเขาพังทะลายลงด้วย ห้องน้ำแข็งที่พวกชาวเอสกิโมในแถบอลาสกาเคยขุดเอาไว้แช่เนื้อกินได้ตลอดปี ตอนนี้ตู้เย็นธรรมชาติเสียซะแล้ว เมื่อมันละลายลงอย่างรวดเร็วอย่างน่าใจหาย 
 
ไม่ใช่แค่นั้น แต่การละลายของน้ำแข็งยังเหมือนเผาบ้านของสัตว์หลายชนิด แต่สัตว์ที่ได้รับผลกระทบชัดเจนที่สุดคงเป็นพวกปลาและหมี เพราะเมื่อไม่มีผืนน้ำแข็งให้มันเดินเหยียบย่ำ หมายถึงหลังจากนี้หมีต้องใช้ชีวิตด้วยการว่ายน้ำอย่างหนักหน่วงมากขึ้น ตอนนี้จึงเริ่มเห็นข่าวหมีจมน้ำตาย ไม่น่าเชื่อ แต่นี่คือปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ เมื่อธารน้ำแข็งไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่สิงสถิตของความเย็น  แต่มันยังเป็นบ้านของหลายชีวิต บ้านที่กำลังถูกเพลิงแห่งความร้อนค่อยๆเผา อย่าโยนความผิดให้ธรรมชาติ เพราะนี่คือผลงานของมนุษย์ล้วนๆ 
 
หลังจากจบทัวร์ธารน้ำแข็ง ฉันก็แวะกลับไปหาอะไรกินบนเรือตึก ก่อนจะลงไปเดินเฉิดฉายในตัวเมืองจูโนต่อ  ในอดีตจูโนเป็นอีกเมืองหนึ่งที่คับคั่งไปด้วยนักขุดทอง เรียกว่าโตมาพร้อมๆกับยุคตื่นทองเลยก็ว่าได้ เหมืองแร่ทองคำขนาดใหญ่ของโลกเคยถูกสร้างขึ้นที่นี่  และมาถูกตั้งให้เป็นเมืองหลวงของอลาสก้าเมื่อปี 1906 ทุกวันนี้จูโนเป็นเมืองหลวงหลวมๆ มีผู้คนอาศัยอยู่แค่ 3 หมื่นกว่าคน ท่ามกลางพื้นที่จำนวนมากและภูมิทัศน์ที่น่าจะทำให้คนอยู่ปอดและใจแข็งแรง มีมหาสมุทรแปซิฟิกคอยหอบลมหอมๆมาให้ชาวเมือง มีภูเขาจูโนเป็นปราการด่านสำคัญคอยสอดส่องทุกชีวิตอย่างไม่คลาดสายตา
 
ที่จริงไม่ใช่แค่จูโน แต่ไม่ว่าผ่านเมืองไหน ก็จะพบว่าอัตราความหลวมของประชากรมีอยู่สูง  ก็อย่างที่เคยบอกไปว่าถ้าวัดกันตามเนื้อที่จะพบว่าอลาสก้ากินพื้นที่เยอะที่สุดในอเมริกา แต่กลับเป็นรัฐที่มีประชากรน้อยที่สุด ถึงจูโนจะเป็นเมืองหลวง แต่การเข้าถึงเนื้อถึงตัวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  ขนาดเป็นยุคนี้ถนนก็ยังเชื่อมไม่ถึง  มีอยู่ 2 วิธีที่จะไปหาจูโนได้คือ เหาะเหินเดินอากาศจากมุมใดมุมหนึ่งของอเมริกาหรือแคนาดาแล้วบินเข้ามาตั้งหลักที่จูโน จากนั้นจะไปตรงไหนของอลาสก้า ค่อยซอกแซกไปหา จัดว่าเป็นเมืองที่มีครบทุกความต้องการ  เรื่องกิจกรรมนานาชนิดไปทำกันนอกเมือง แต่ถ้าเป็นในเมืองก็ต้องยกให้เรื่องกินและช้อป  เรื่องความบันเทิงนี่ก็หายห่วง  มีผับบาร์ให้เลือกนั่งชนิดลืมเหงา ดูท่าว่าผับบาร์คาเฟ่พวกนี้น่าจะขายดีที่สุด  เพราะยิ่งหนาวๆเหงาๆ สถานที่เหล่านี้น่าจะเป็นยาบรรเทาอาการหนาวและช่วยคลายเหงาได้เยอะ ที่นี่มีทั้งโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ และศาลาว่าการประจำเมือง แต่ดูเหมือนที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจจะเป็นปูอลาสก้าซะมากกว่า มีร้านหนึ่งผู้คนต่อคิวยาวเหยียดเหมือนแจกฟรี ใครจะชิมปูอย่าริสั่งปูมาทั้งตัว ถ้ากระเพาะไม่ใหญ่จริง เพราะแค่ก้ามอวบยาวชิ้นเดียว ก็คับกระเพาะแล้ว เขาว่าตัวหนึ่งหนักประมาณ 2-4 กิโล  แต่หนักและใหญ่กว่านี้ก็มี ที่จริงสำหรับจูโน แค่เดินเตร็ดเตร่แถวท่าเรือก็เพลินแล้วเพราะทั้งอากาศดีวิวดี
 
           
 

Ketchikan

 
วันรุ่งขึ้นเรือตึกพามาทอดสมอที่เมืองเคทชิกัน  เมืองที่อยุ่ทางตอนใต้สุดของอินไซด์ พาสซาจ นี่คือพอร์ตสุดท้ายสำหรับทริปนี้ เพราะวันรุ่งขึ้นจะเป็น Sea Day ก่อนเรือจะมุ่งหน้ากลับแวนคูเวอร์
 
เคทชิกันเคยเป็นชุมชนของชาวประมงมาก่อน เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก  ไม่ว่าใครจะชอบกิจกรรมเอาท์ดอร์  ส่องสัตว์ ช้อปปิ้ง หรือแค่เดินเล่นในตัวเมืองก็มีอะไรให้ทำเยอะเลย ความจริง แค่เดินในตัวเมืองก็จะรู้แล้วว่า เทียบกับเมืองก่อนๆ ที่ผ่านมา ที่นี่ผู้คนค่อนข้างอาศัยกันอยู่อย่างหนาแน่นที่สุดของรัฐอลาสกา ถึงแม้จะมีแค่ประมาณ14,000 คน ดูตัวเลขจะดูไม่มากแต่ถ้าเทียบกับขนาดพื้นที่ของเมืองแล้ว ถือว่ามีความหนาแน่นพอสมควร แน่นอนว่า เศรษกิจหลักของเมืองนี้ขึ้นกับการท่องเที่ยวและการประมงเป็นหลัก และยังเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องของเมืองที่เป็นแหล่งที่มีแซลมอนชุกชุม ภายในเมืองจึงมีพวกผลิตภัณฑ์จากแซลมอนวางขายอยู่เกลื่อนกลาด แต่ส่วนใหญ่ที่นี่จะฝนตกและหนาวเกือบตลอดทั้งปี  ผู้คนที่นี่เลยชินชากับการอยู่แบบเย็นๆอยู่กับสายฝน  แต่เมื่อมาถึงแล้ว มุมที่ควรจะไปมากที่สุดคือCreek Streetมุมที่มีบ้านไม้เก่าแก่ตั้งเรียงรายกันอย่างน่ารัก  ทุกวันนี้เป็นทั้งร้านค้า คาเฟ่ และหอศิลป์
 
ภายในตัวเมืองยังมีพวกเสาโทเท็ม (Totem Pole) เยอะมาก สืบสาวไปหาประวัติของเสาโทเทมพวกนี้ ก็พบว่าเป็นฝีมือการสร้างสรรค์ของพวกชาวอินเดียนแดงเผ่าทลิงกิตที่เคยอาศัยอยู่ละแวกนี้  ที่แกะสลักลงบนเสาไม้เป็นรูปทรงต่างๆ มีทั้งรูปคนและสัตว์ ลึกลงไปกว่านั้น เขาว่าเป็นการบอกเล่าถึงเรื่องราวของผู้คนในสมัยก่อน หรือความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ที่พบเจอในแถบนั้น  มีทั้งพวกนก หมา  ปลา หมี วาฬ แมวน้ำไปจนถึงใบหน้าของคน เขาว่าขนาดยุง และแซลมอน ยังถูกถ่ายทอดลงบนเสาเลย   เสาบางต้นตามเมืองต่างๆ แถวอลาสก้า อายุมากกว่า 100 ปี
 
           
 

Sea Day

 
ปกติของการล่องเรือสำราญทุกเส้นทาง และเรือทุกแบรนด์ จะมี Sea Day เรือลำนี้ก็เช่นกัน หลังจากออกจากเคทชิกัน  ก็เป็นวัน Sea Day ที่ชาวเรือทุกคน ก็จะตื่นสายๆ ได้ใช้เวลาและร่วมกิจกรรมที่ทางเรือจัดขึ้น บางคนอาจจะไปสปา เข้าคลาสโยคะที่ยิม บางคนไปรอประมูลภาพเขียน ไปดูแกะสลักน้ำแข็ง  หรือบางคนอาจจะไปเล่นบิงโก เข้าคาสิโน  หรือไม่ก็ช้อปปิ้งทิ้งทวนกันบนเรือ  เพราะโดยปกติวันไหนที่เป็น Sea day ก็จะมีสินค้าราคาย่อมเยามาปลุกใจชาวเรือ หรือวันสุดท้ายของการล่องเรือ บางคนก็อาจจะไปดูโชว์ยามค่ำคืนเป็นการทิ้งทวน เพราะโดยปกติในเรือสำราญจะมีโชว์ทุกคืนอยู่แล้ว แต่ที่แน่ๆบาร์แต่ละแห่งบนเรือยังคงปรนเปรอความสำราญอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ความจริงวันสุดท้ายของการล่องเรือกลับสู่แวนคูเวอร์  วิวทิวทัศน์ระหว่างล่องเรือก็ยังคงสวยงาม  แค่นั่งบนระเบียงห้องค่อยๆ จิบวิวก็สวยเลอค่าน่าจดจำแล้ว
 
           
 

Vancouver

 
เรือตึกทอดสมอที่ท่าเรือแวนคูเวอร์ตั้งแต่ช่วงรุ่งเช้า  วันนี้เราจึงตื่นเช้ากันเป็นพิเศษ  หลังจากกินข้าวเช้าแบบทิ้งทวนกันไปแล้ว ก็เตรียมตัวลงจากเรือ เพื่อลงไปสำรวจเมืองน่าอยู่อย่างแวนคูเวอร์กัน
 
ดัชนีวัดความน่าอยู่ของ นิตยสารเดอะ อีโคโนมิสต์"นั้น เขาวัดจากด้านสาธารณสุข ความมั่นคง ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม สภาพแวดล้อม ไปจนถึงเรื่องระบบการศึกษาและโครงสร้างพื้นฐาน ปรากฏว่า แวนคูเวอร์เล่นโกยคะแนนไปซะเกือบเต็ม ได้ไป98 เต็มร้อย   
 
และเมื่อออกสำรวจแวนคูเวอร์ก็จะพบว่าแวนคูเวอร์นั้นใจกว้างมาก เพราะมีทั้งคนผิวสี  ตี๋หมวยจากเอเชีย ฟิลิปปินส์  เรียกว่าจะผิวดำ ผิวขาว หรือผิวเหลือง แวนคูเวอร์ก็อนุญาตให้เข้ามาลงหลักปักฐานและทำมาหากินได้อย่างเสรี   ทุกวันนี้ แวนคูเวอร์จึงยังคงเป็นสวรรค์ของเหล่าผู้แสวงโชคจากทั่วโลก และไม่ว่าจะเร่ไปมุมไหนของเมืองนี้  ก็จะพบว่าความสงบงามเป็นบุคลิกเฉพาะตัวของแวนคูเวอร์  ด้วยภูมิประเทศที่เป็นใจ มีทั้งเทือกเขาอันบึกบึนโอบอยู่และมีมหาสมุทรแปซิฟิกอันอ่อนโยนกอดรัดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  มีอัตราความหลวมของประชากรในระดับสูง   ทำให้ผู้คนในเมืองใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบและแสนสบาย  ไม่เร่งรีบ ไม่เร่าร้อน แต่ก็ไม่เรื่อยเฉื่อยจนเกินไป ผู้คนสุขภาพกายใจ ดีไปพร้อมๆกัน เพราะได้สูดอากาศสดปลั่ง ได้ไปออกกำลังกายในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ แวนคูเวอร์วางระบบผังเมืองเอาไว้อย่างดี จัดระเบียบตึกรามเอาไว้อย่างเป็นสัดส่วน  หลังจากเดินไปทั่วเมืองก็พบว่า น้ำหนักความน่าอยู่มากกว่า 50% ของแวนคูเวอร์  น่ามาจากสแตนลีย์ปาร์ค (Stanley park) นี่คือปอดของเมือง ที่มีให้ชาวเมืองได้มายืดเส้นยืดสายและดมอากาศดีๆ
 
ก็เหมือนนิวยอร์ค บางคนบ่นว่า ชาวนิวยอร์คอยู่กันเข้าไปได้ยังไง ตึกแน่นขนัดอัดเมืองขนาดนั้น คนพูดคงยังไม่ได้เห็นปอดของนิวยอร์คอย่างเซ็นทรัลปาร์คที่ซ่อนอยู่ในดงคอนกรีตว่ามหึมาและเป็นปอดที่มีคุณภาพแค่ไหน สแตนลีย์ไม่ใช่แค่ใหญ่กว่าสวนหลวงร 9 รวมกับสวนลุมฯ แต่ใหญ่กว่าเซ็นทรัล พาร์คซะอีก  แต่ก่อนที่นี่เคยเป็นสวนสัตว์ แต่คนคานาดาคิดว่า สัตว์ไม่ควรถูกกักขังอยู่ในกรง จึงยกเลิกและทำเป็นสวนให้คนได้เข้ามาพักผ่อนหย่อนจิตกัน ชาวแวนคูเวอร์หาวิธีแก้เครียดจากหน้าที่การงานด้วยการขับรถมาจอด แล้วก็วิ่งจ็อกกิ้งในสวนแห่งนี้ หนุ่มสาวลื่นไถลไปบนถนนด้วยสเกตบอร์ด สาวๆใส่บิกินนีมานอนผึ่งแดดบนชายหาด บ้างก็พาลูกเด็กเล็กแดงมาเล่นน้ำตรงสวนน้ำ ส่วนใหญ่จะมากันเป็นครอบครัว ปูเสื่อนั่งปิกนิกกันใต้ร่มไม้ แต่พวกนักปั่นจะเยอะหน่อย ที่จริงแล้ว สวนแห่งนี้เคยเป็นฐานที่ตั้งของกองทัพเรือ แต่มีการส่งมอบที่ดินโดยรัฐบาลอังกฤษในปี 1888และตั้งชื่อขึ้นมาจากชื่อของลอร์ดสแตนลีย์ ออฟ เพรสตัน  นายพลผู้ปกครองของแคนาดา สมัยที่ปาร์คแห่งนี้เริ่มเปิดให้บริการ เขามีปณิธานที่มุ่งมั่นในการปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติในบริเวณนี้ให้คงสืบไป
 
ที่ชอบที่สุด น่าจะเป็น ทางเดิน 22 กิโลเมตร ที่เลียบทะเล เวลาแดดหวานๆ นี่เป็นช่วงที่ดีที่สุด ที่จะมายืดเส้นยืดสายแถวนี้ แล้วรอดูซันเซ็ทสวยๆ ในช่วงซัมเมอร์ อีกที่หนึ่งที่จะทำให้ทุกคนหลงรักแวนคูเวอร์คือสะพานแขวนคาปิลาโน (Capilano Suspension Bridge) สถานที่ท่องเที่ยวที่จัดว่าเป็นที่ยอดนิยมแห่งเมืองแวนคูเวอร์ สะพาพนมีความยาวประมาณ 140 เมตร สูง 70 เมตรจากแม่น้ำคาปิลาโน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อสะพานนี้เอง สะพานถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1889 โดยวิศวกรชาวสก็อตแลนด์ ทุกวันนี้สะพานแห่งนี้เป็นสถานที่คล้ายๆ สวนสาธารณะ มีลักษณะเป็นป่าฝนและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และที่นี่ยังมีศูนย์ให้ศึกษาเรื่องราวของชนเผ่าพื้นเมืองที่เคยอาศัยอยู่  และมีคอลเลกชั่นเสาโทเทมของคนพื้นเมืองให้ได้ชม
 
หากมีโอกาสไปเดินเล่นแถว Cliffwalk และ Treetops Adventure พูดเลยว่าเหมาะกับคนที่ชอบธรรมชาติและความหวาดเสียว   แต่ที่เป็นโปรแกรมบังคับสำหรับทุกคน คงจะเป็นการเดินทอดน่องไปบนสะพานแขวนคาปิลาโน ที่เวลาโคลงเคลงนิดๆ แกว่งหน่อยๆ ยิ่งชวนให้สนุกและตื่นเต้น เมื่อเริ่มแรกสะพาน  เขาทำมาจากแผ่นกระดานไม้สนและเชือกปอ  ต่อจากนั้น เชือกปอที่ใช้ก็ถูกเปลี่ยนมาใช้สายเคเบิลเหล็กแทนมีความแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของคนมากกว่า 1,300 คนได้ จากนั้น ยังพอมีเวลาเลยนั่งรถไปที่เกาะแกรนวิลล์ (Granville Island) กันต่อ  ที่นี่ เป็นมุมสุนทรีย์ของแวนคูเวอร์  พวกสุขนิยมอย่างฉันไม่เคยมีประวัติเชิ่ดใส่ความสุนทรีย์   คล้ายว่านักท่องเที่ยวที่มาแวนคูเวอร์  จะแวะเวียนมากองรวมกันอยู่ที่นี่ เกาะแกรนวิลล์เลยคึกคักผิดวิสัยแม้เป็นวันธรรมดา ตลาดนัดขายอาหารการกิน ตลาดต้นไม้ดอกไม้ ตลาดนัดศิลปะ ตลาดขายของเด็กเล่น ตลาดของแต่งบ้าน ลานกลางแจ้งสำหรับศิลปะทุกแขนง บอกแล้วว่าสุนทรีย์ล้นเอ่อจริงๆ อยู่กับแวนคูเวอร์ซัก 3-4 วันก็จะเข้าใจเลยว่า ทำไมตำแหน่งเมืองน่าอยู่ถึงตกเป็นของแวนคูเวอร์ปีแล้วปีเล่า
 
 
 
หลายวันที่ขลุกอยู่ในเรือสำราญที่ล่องในอลาสก้า ทำให้รู้ว่า ไม่ว่าระยะเวลาจะผ่านไปแค่ไหน อลาสก้ายังสวยไม่สร่าง ถ้าเป็นคนก็ต้องพูดว่า เวลาทำอะไรเธอไม่ได้เลย และชีวิตในเรือสำราญยังคงสำราญทุกครั้ง คุณเองก็เนรมิตวันพักผ่อนให้เป็นฮอลิเดย์ในฝันด้วยการล่องเรือสำราญได้ ขอบคุณ 2morrow Explorer ที่ทำให้ได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของอลาสก้าอีกครั้ง