ล่องเรือสำราญ Silver Moon ของสายเรือ Silversea Cruises

ล่องเรือสำราญ Silver Moon ของสายเรือ Silversea Cruises

ภาพรวมเรือสำราญ  Silver Moon ของสายเรือ Silversea Cruises

 

วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเรือสำาญลำใหม่ของสายเรือ Silverseas Cruises  นั่นก็คือ เรือสำราญ Silver Moon นั่นเองค่า เจ้าเรือลำนี้ได้ฤกษ์ปลดสมอเรือ ในเดือนสิงหาคมปี 2020 ค่ะ เรือลำนี้มีการออกแบบที่คล้ายกับเรือ Silver Muse (ปี 2017) เรือ Silver Moon สามารถจุผู้โดยสารได้ทั้งหมด 596-691 และมีน้ำหนัก 40,700 ตันค่ะ เรียกได้ว่าเป็นเรือที่เต็มไปด้วยความหรูหรา และให้ความเป็นส่วนตัว ที่มาพร้อมกับการให้บริการที่จะทำให้ผู้โดยสารทุกท่านประทับใจเป็นที่สุด

 

เรือสำราญของสายเรือ Silver Moon มีความหรูหราและอลังการในตัว ภายในมีห้องพักกว้างขวาง และเป็นห้องสวีททั้งหมด แต่ละห้องพักจะมีบริกร หรือบัทเลอร์ส่วนตัว พนักงานที่แขกเห็นบนเรือจะถูกอบรมและฝึกมาเป็นอย่างดีเยี่ยม บนเรือยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันถือเป็นจุดเด่นที่ไม่ทำให้ทริปการเดินทางน่าเบื่อ เพราะมีทั้ง เลาจน์ บาร์ คาสิโน สปา สระว่ายน้ำ ฟิตเนส โรงละคร สถานที่ช็อปปิ้ง ห้องสมุด ห้องอาหารพิเศษ และความบันเทิงอื่นๆ อีกมากมาย 


การเดินทางอันสุดวิเศษโดยเรือ Silver Moon จะออกเดินทางทั้งในช่วงฤดูร้อน ล่องในโซน ยุโรป เมดิเตอร์เรเนียน ออกจากท่าเรือ Rome/Civitavecchia, Athens/Piraeus, Venice/Italy, Barcelona, Lisbon และ Monte Carlo เป็นหลัก ส่วนการเดินทางในช่วงฤดูหนาวจะย้ายไปล่องในโซนแคริบเบียน ออกจากท่าเรือ Fort Lauderdale เป็นหลักค่า เรือสำราญ Silver Moon พร้อมแล้วที่จะนำทุกๆ ท่าน มุ่งหน้าไปยังสถานที่แปลกใหม่ ทั้งผจญภัยไปในเส้นทางธรรมชาติ หรือ จะเป็นท่องในโลกกว้างชมเมือง และวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น รับรองเลยว่าจะเป็นประสบการณ์ล่องเรือสุดหรู อันยอดเยี่ยม ที่หาจากที่ไหนไม่ได้อย่างแน่นอนค่า

 

เส้นทางล่องเรือสำราญ Silver Moon

  • เรือสำราญ Silver Moon จะล่องในแถบ ยุโรปเหนือ เมดิเตอร์เรเนียน อเมริกา เป็นต้น
  • ระยะเวลาการเดินทางโดยส่วนใหญ่ ตั้งแต่ 7 วันขึ้นไป 
  • เรือสำราญ Silver Moon ส่วนใหญ่จะออกจากท่าเรือ Rome/Civitavecchia, Athens/Piraeus, Venice/Italy, Barcelona, Lisbon, Monte Carlo,  Fort Lauderdale, Rio de Janeiro และ Bridgetown เป็นต้น

 

เรือสำราญ Silver Moon จะล่องในเส้นทางแรก ในวันที่ 6 สิงหาคม 2020 ค่ะ โดยเป็นทริป 11 คืน เริ่มจาก Trieste ล่องไปยัง Zadar, Split, Kotor, Dubrovnik, Sarande, Valletta, Taormina, Sorrento/Italy และสิ้นสุดที่ Rome/Civitavecchia ค่า

 

ขอต้อนรับทุกท่านสู่เรือสำราญ Silver Moon


 

 

ไฮไลท์

การเดินทางผจญภัยไปกับเรือสำราญของสายเรือ Silver Moon เหมาะสำหรับผู้ที่หลงไหลในธรรมชาติ และวัฒนธรรม ของสถานที่ที่เรือได้แวะเข้าถึง เพราะสายเรือลำนี้มีความพิเศษที่ว่า จะมีผู้เชี่ยวชาญที่จะมาคอยให้ข้อมูลเชิงลึกทางด้านประวัติศาสตร์ความเป็นมา วัฒนธรรม และธรรมชาติ แน่นอนว่าเหล่านักเดินทางต้องมีคำถามมากมายที่ต้องจดและบันทึกไปตลอดทุกทริปการเดินทางอย่างแน่นอนค่ะ 

 

เจ้าเรือสำราญ Silver Moon มีความหรูหราและอลังการในตัว ภายในมีห้องพักกว้างขวางและเป็นห้องสวีททั้งหมด ผลิตภัณฑ์ภายในห้องพักเป็นผลิตภัณฑ์ระดับ High End ทั้งหมด เช่น ผ้าปูที่นอน Pratesi รวมไปถึง สบู่ โลชั่น ครีมบำรุงผิว แชมพูและครีมนวดจากแบรนด์ Ferragamo Bvlgari นั่นเอง และ แต่ละห้องพักจะมีบริกร หรือบัทเลอร์ส่วนตัวนั่นเองค่ะ นอกจากนี้พนักงานที่แขกเห็นบนเรือจะถูกอบรมและฝึกมาเป็นอย่างดีเยี่ยม รับรองเลยว่าจะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน

 

เจ้าเรือสำราญ Silver Moon ยังมีห้องอาหารสุดพิเศษมากมาย รสชาติอาหารก็อร่อยถูกปากไม่ซ้ำใคร ผู้โดยสารจะได้รับประทานอาหารครบทั้ง 3 มื้อ เช้า กลางวัน และมื้อค่ำ ไฮไลน์ของที่นี่จะมีเป็นมื้อดินเนอร์สุดพิเศษที่เรียกว่า Hot Rock ห้องอาหารที่เสิร์ฟวัตถุดิบพรีเมี่ยมบนหินลาวาที่มีอุณหภูมิถึง 400 องศา ที่คุณสามารถปรุงเมนูเด็ดของคุณได้เองหรือจะให้เชฟทำมาเสิร์ฟเลยก็ได้เช่นกันค่ะ

 

 ความหรูหราที่แท้จริงของสายเรือ Silver Moon  ราคาตั๋วเรือจะรวมสิ่งอำนวยความสะดวกไว้อย่างครบครันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นค่าห้องพักพร้อมบริกรส่วนตัว (Butler) ค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่มประเภทเหล้า ไวน์ ค่าทิป ค่าภาษีต่างๆ ทัวร์ชายฝั่ง ฯลฯ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่สุดของเหล่านักเดินทางล่องเรือสำราญ ที่ต้องมาให้ได้นั่นเองค่า

 

เชิญชมคลิป Silver Moon


เชิญชมคลิป Silver Muse


เนื่องจากเรือสำราญ Silver Moon มีการออกแบบที่คล้ายกับเรือ Silver Muse (ปี 2017)ทั้งในส่วนของห้องพัก ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในเรือ จึงขอนำคลิปวิดีโอของเรือลำนี้มาให้ดูเป็นตัวอย่างค่า

 

ข้อมูลตัวเลข

 


 

 

ไลฟสไตล์บนเรือ

 

กลุ่มนักเดินทางล่องเรือสำราญ Silver Moon จะดึงดูดกลุ่มคนวัยเกษียรอายุ ที่มีอายุ 55 ปี ขึ้นไป  นักเดินทางจะมาจากหลายเชื้อชาติ และพวกเขาเหล่านี้จะชอบการเดินทางที่แปลกใหม่ โดยส่วนใหญ่พวกเขาจะเดินทางมาจาก อเมริกา สหราชอาณาจักร ยุโรปเปียน อเมริกาใต้ เป็นต้น สำหรับผู้โดยสารสำหรับเด็กนั้น ทางสายเรืออนุญาตให้ขึ้นเรือ โดยต้องมีอายุ 6 ปี ขึ้นไป ซึ่งผู้โดยสารเด็กจะพบได้น้อยมากบนเรือลำนี้ นอกเสียจากเดินทางมากับครอบครัว ปู่ ย่า ตา ยาย ในช่วงทริปการเดินทางสั้นๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ นั่นเองค่า

 

ห้องพักบนเรือสำราญ

ห้องพักเป็นแบบห้องสวีททั้งหมด มีขนาดเริ่มต้นตั้งแต่ 24 ตร.ม ขึ้นไป จนถึง 128 ตร.ม หากจะเปรียบเรือสำราญลำนี้ก็คงเปรียบเสมือนกับการได้เข้าพักที่โรงแรมสุดหรูระดับ 6 ดาวพร้อมการบริการที่เป็นเลิศจากพนักงานบนเรือ มีบัทเลอร์ส่วนตัว คอยเสิร์ฟอาหาร และไวน์ชั้นดี เช่น 

-  มีความหรูหรา ห้องพักทั้งหมดจะเป็นห้องสวีท มีระเบียงส่วนตัว และสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของท้องทะเล

-  มีพนักงานคอยให้บริการแบบส่วนตัว ภายในห้องพัก

-  ฟรีเครื่องดื่ม น้ำผลไม้ ที่มีเติมให้ภายในตู้เย็นตลอดทุกวัน รวมทั้งแชมเปญ

-  สิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องน้ำ แบรนด์ Bvlgari

-  ผ้าปูที่นอนระดับพรีเมี่ยม แบรนด์ Pratesi และผ้าคลุมเตียง

-  เสื้อคลุมอาบน้ำ และรองเท้าแตะสำหรับใส่สบายๆ

-  โทรทัศน์ HD จอแบนที่ทันสมัย

 

รูปแบบห้องพัก

Vista Suite ห้องพักที่สวยงาม สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์บนท้องทะเลแบบพาโนรามา ห้องสวีทนี้มีความกว้างตั้งแต่ 31-60 ตร.ม

 

Panorama Suite  ห้องพักกว้างขวาง เตียงนอนนุ่มสบาย สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์บนท้องทะเลแบบพาโนรามา ห้อง Panorama Suite นี้มีความกว้างประมาณ 31 ตร.ม

 

Classic Veranda Suite  ห้องพักกว้างขวาง เพดานสูง เห็นวิวพระอาทิตย์ตกดินในยามค่ำ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ห้องสวีทนี้นี้มีความกว้างประมาณ 36 ตร.ม

 

 

Superior Veranda Suite ห้องพักกว้างขวาง เพดานสูง เห็นวิวพระอาทิตย์ตกดินในยามค่ำ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ห้องสวีทนี้นี้มีความกว้างประมาณ 36 ตร.ม

 

 

Deluxe Veranda Suite ห้องพักกว้างขวาง พื้นที่ใช้สอยมีมากมาย สวยงาม เห็นวิวพระอาทิตย์ตกดินในยามค่ำ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ห้องดีลักซ์สวีทนี้ มีความกว้างประมาณ 36 ตร.ม

 

Silver Suite  ทัศนียภาพที่งดงามที่สุด เงียบสงบและผ่อนคลาย ภายในห้องพักกว้างขวาง พื้นที่ใช้สอยมีมากมาย สวยงาม  พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ห้อง Silver Suite มีความกว้าง รวมทั้งระเบียงที่สามารถนอนอาบแดดนอกห้องได้สบาย ความกว้างประมาณ 73-104 ตร.ม

 

Owner’s Suite   ทัศนียภาพที่งดงามที่สุด เงียบสงบและผ่อนคลาย ภายในห้องพักกว้างขวางหรูหราและทันสมัย พื้นที่ใช้สอยมีมากมาย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ห้อง Owner’s Suite  มีความกว้าง รวมทั้งระเบียงที่สามารถนอนอาบแดดนอกห้องได้สบาย ความกว้างประมาณ 88-129 ตร.ม

 

Royal Suite พื้นที่กว้างขวาง การตกแต่งภายในห้องเป็นฝีมือของอิตาลีแท้ๆ วัสดุชั้นเยี่ยม ภายในมีการตกแต่งที่หรูหรา สวยงาม มีวิวทิวทัศน์ของท้องทะเลผ่านระเบียงห้องพักแบบส่วนตัวที่สุด ห้อง Royal Suite มีความกว้างรวมทั้งระเบียง 105-142 ตร.ม ค่า

 

Grand Suite ห้องพักสุดโรแมนติก พื้นที่กว้างขวาง การตกแต่งภายในห้องหรูหรา สวยงาม มีวิวทิวทัศน์ของท้องทะเลผ่านระเบียงห้องพักแบบส่วนตัวที่สุด สามารถชมวิวพระอาทิตย์ตกดินได้อย่างสบายใจ ห้อง Grand Suite มีความกว้างรวมทั้งระเบียงประมาณ 137-183 ตร.ม ค่า

 

 

สิ่งอำนวยความสะดวกบนเรือ

Tor's Observation Library หากจะเปรียบว่าที่นี่เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยที่สุดก็คงไม่แปลกใจค่ะ ที่แห่งนี้ตั้งอยู่ชั้น 11 บนเรือสำราญ ภายในมีการตกแต่งด้วยโทนสีน้ำเงิน สบายตา มีบาร์เล็กๆตั้งอยู่ โต๊ะ และเก้าอี้ถูกจัดเป็นสัดส่วน อีกทั้งยังเป็นห้องที่เหมาะแก่การมานั่งอ่านหนังสือ หรือมีมุมส่วนตัวเป็นของตัวเอง พร้อมจิบกาแฟและชาในระหว่างวัน สำหรับในเวลากลางคืนที่นี่ก็จะมีเครื่องดื่มค็อกเทลให้จิบกันแบบสบายใจ พร้อมพบปะ พูดคุยกับเพื่อนใหม่ๆ ถือเป็นอีกจุดนัดพบที่ต้องมาให้ได้ค่า

 

Venetian Lounge พบกับความยิ่งใหญ่ อลังการ และน่ามหัศจรรย์ในโลกของเสียงดนตรี และศิลปะผลงานแสดงขั้นสูงได้ที่โรงละครแห่งนี้ มีทั้งการแสดงละครบอร์ดเวย์ คาบาเรต์โชว์สไตล์เบลลาเปีย ภายในรู้สึกได้ถึงความหรูหรา แสง สีเสียง และความพิถีพิถันของการจัดเรียงเก้าอี้แต่ละตัว ถือเป็นบรรยายกาศที่จะทำให้ยามค่ำคืน น่าตื่นเต้น และเป็นค่ำคืนสุดพิเศษแบบสุดๆ

 

Panorama Lounge เลาจน์แห่งนี้ตั้งอยู่ชั้น 9 โซนด้านหลังของเรือค่ะ ภายในนั้น ตกแต่งด้วยดอกไม้สด โทนสีขาว และเขียวชอุ่ม ให้บรรยากาศที่สบาย กับที่นั่งที่กว้างขวาง โซนแห่งนี้เป็นที่ที่ความรู้สึกที่เงียบสงบ ผักผ่อน และเรียบง่าย แต่หลังจากเสร็จอาหารค่ำที่นี่จะเปลี่ยนเป็นไนท์คลับ มีทั้งดีเจคอยเปิดเพลงสนุกๆ และขาแดนซ์มันส์ๆ ต้องไม่พลาด จุดนี้ได้รับความนิยมอย่างมากบนเรือสำราญ พร้อมจิบเครื่องดื่มค็อกเทล ใช้ชิวิตแบบอิสระได้เต็มที่ เพลิดเพลิน สนุกสุดเหวี่ยงกันได้เต็มที่ค่า

 

Pool Deck & Jacuzzi Area  ศูนย์รวมแห่งความเพลิดเพลิน สระว่ายน้ำของที่นี่ตั้งอยู่บนชั้น 10 บนเรือสำราญ ตื่นเช้าๆ มารับแสงแดดอ่อนๆ ริมสระ หรือจะมาในตอนกลางวันที่อากาศกำลังร้อนได้ที่ก็สามารถมาว่ายน้ำเล่น เพื่อผ่อนคลาย สบายตัวกันได้ ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ให้เสียงหัวเราะ สนุกสนานกันได้ทั้งครอบครัวค่า

 

หากใครที่กำลังเบื่อๆ แนะนำให้ขึ้นมาที่ชั้น 10 โซนนี้เรียกว่า Pool Bar นั่งชิวๆ ที่บาร์ พร้อมสั่งเครื่องดื่มเย็น ๆ พร้อมกับสั่งสแน๊คมาทานเล่นๆ และหัวเราะ เพลิดเพลิน ไปกับพองเพื่อนก็สบายใจไม่เบานะคะ

 

Connoisseur’s Corner เป็นสถานที่อันเงียบสงบ สำหรับคอนักดื่ม ที่นี่มีบริการเหล้าวิสกี้ ไวน์อย่างดี รวมถึง ซิการ์สำหรับผุ้ที่ชื่นสอบการดื่มจัด และเพลิดเพลินกับการสูบซิการ์ เลานจ์แห่งนี้เป็นสถานที่เดียวที่มีการอนุญาตให้สูบบุหรี่ได้ทุกประเภทค่า พิกัดตั้งอยู่ชั้น 8 บนเรือสำราญค่า

 

อีกหนึ่งสถานที่ที่คึกคัก เต็มไปด้วยการรวมตัวของเหล่านักเดินทาง ที่มาพบปะ พูดคุยกัน สถานที่ว่านี้ คือ  Arts Café ตั้งอยู่ชั้น 8 บนเรือสำราญ เอาใจสำหรับผุ้ที่รักการดื่มกาแฟ ภายในห้องที่เต็มไปด้วยภาพวาดงานศิลปะ เป็นสถานที่นั่งชิว ถ่ายรูปเก๋ๆ พร้อมจิบกาแฟคาปูชิโน และเอสเปรสโซ พร้อมของว่างเป็นขนมปังอบกรอบ หรือ คุ๊กกี้ในยายบ่าย 

 

Dolce Vita เป็นเลาจน์ที่ใหญ่ที่สุดบนเรือสำราญ ภายในกว้างขวาง โอ่อ่า การตกแต่งก็ทันสมัยและหรูหรา โดยการใช้โทนสีเดียวกัน แสงไฟอร่ามสีสบายตา ประดับประดาด้วยโคมไฟสีขาว เก้าอี้ และโซฟา สีน้ำตาลอ่อน เสาหินอ่อนลวดลายสวยงาม สถานที่แห่งนี้ทอดยาวไปจนถึง แผนกต้อนรับส่วนหน้า และโต๊ะให้บริการเรื่องทัวร์ชายฝั่ง มีบาร์อยู่ทางด้านหลัง อีกทั้งยังมีโต๊ะเปียโน เอาใจคนรักเสียงเพลง บางช่วงอาจมีโชว์งานแสดงเกิดขึ้นที่นี่ เลาจน์แห่งนี้เปิดให้บริการในช่วงกลางวันเท่านั้น ตั้งอยู่บริเวณชั้น 5 บนเรือสำราญค่ะ

 

The Casino สำหรับนักเสี่ยงโชคทั้งหลาย มักมาทำเงินกันที่นี่นะคะ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คึกคัก และผู้โดยสารต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ถึงจะเข้ามาเล่นที่นี่ได้ค่า

 

Boutiques เอาใจนักช็อปทั้งหลาย ที่บนเรือสำราญลำนี้มีสินค้าแบรนด์เนมมากมาย อาทิ กระเป๋า เสื้อผ้า น้ำหอม เครื่องประดับ นาฬิกาแบรนด์หรู และอื่นๆ พิกัดตั้งอยู่ชั้น 8 บนเรือ ขาช็อปต้องห้ามพลาดนะคะ

 

The Spa at Silversea เพลิดเพลินและผ่อนคลายได้ตลอดวัน สปาคลับแห่งนี้ ภายในหรูหรา ห้องทรีตเมนต์มีถึง 9 ห้องด้วยกัน เรียกได้ว่ามีโปรแกรมให้บริการดูแลตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า รวมไปถึงการฝังเข็ม นอกจากนี้ ที่นี่เขายังมี Beauty Salon สำหรับสุภาพบุรษและสตรี ที่รักความสวยความงามเป็นพิเศษ มีบริการตัดผม ตัดเล็บ เรียกได้ว่าครบครันเป็นที่สุด

 

Fitness Centre อุปกรณ์การออกกำลังกายที่ครบครัน และทันสมัย สำหรับคนรักสุขภาพ และดูแลด้านรูปร่างต้องมาที่ยิมแห่งนี้ มีทั้งผู้ฝึกสอน ที่จะทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ง่าย พิกัดตั้งอยู่ชั้น 6 ใกล้ๆกับ สปาคลับนั่นเองค่า 

 

 

ห้องอาหารหลัก และห้องอาหารพิเศษ

 

ห้องอาหาร Atlantides  ตั้งอยู่บริเวณชั้น 4 บนเรือสำราญเปิดให้บริการทั้ง มื้อเช้า กลางวัน และ มื้อค่ำ ห้องภายในมีการตกแต่งด้วยหินอ่อน สวยงามโอ่อ่า สำหรับอาหารเช้า เช่น เมนูพวกธัญพืช โยเกิร์ต ผลไม้แซลมอนรมควันชีส และมูสลี่ นอกจากนี้ยังมีขนมอบอบสดใหม่ เช่น ขนมปังกรอบแสนอร่อย  ขนมปังฝรั่งเศส แพนเค้ก วาฟเฟิล ไข่เบเนดิกต์ น้ำผลไม้ และอื่นๆ 

เมนูมื้อกลางวัน อาหารของที่นี่จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน รสชาติไม่ซ้ำกัน เริ่มจากเมนูซุปร้อนๆ ไปจนถึงอาหารจานหนักอย่าง สเต๊กหมู ปลา กุ้ง และอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมตบท้ายด้วยของหวานเป็นอันเสร็จค่า ว่าแล้วก็หิวเลย

เมนูอาหารค่ำ จะมีทั้งเมนูซีฟุ๊ดแบบย่างสไตล์ยุโรป หรือจำพวกเนื้อสัตว์ เนื้อวัวรสชาติเยี่ยม ตบท้ายด้วยหอยเชลล์รสชาติดี พร้อมกับเครื่องดื่มเสิร์ฟคู่กับไวน์ชั้นยอด เข้ากันแบบลงตัวแบบสุดๆ ไปเลยค่า

 

The Grill/Hot Rock ไฮไลท์ของที่นี่จะมีเป็นมื้อดินเนอร์สุดพิเศษที่เรียกว่า Hot Rock ห้องอาหารที่เสิร์ฟวัตถุดิบพรีเมี่ยมบนหินลาวาที่มีอุณหภูมิถึง 400 องศา ที่ใครมาจะต้องลิ้มลองให้ได้ค่า ห้องอาหารนี้ตั้งอยู่บริเวณชั้น 10 บนเรือสำราญ สำหรับมื้อเที่ยงที่นี่จะเรียกว่า The Grill และมื้อค่ำจากถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Hot Rock นั่นเองค่ะ เมนูก็มีหลากหลาย ทั้งเนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อกุ้ง เนื้อปลาย่าง และอื่นๆ อิอิ ต้องมาที่นี่ให้ได้นะคะ

 

 

ร้านอาหารสไตล์เอเชีย เราเรียกห้องอาหารนี้ว่า Indochine ปลุกรสสัมผัส เริ่มจากอาหารไทยรสจัดจ๊าด หรือจะรับประทานรสชาติอาหารเบาๆนุ่มลิ้นอย่างเวียดนามก็จัดได้ หรืออาหารรสชาติแปลกใหม่จากมุมไบ เมนูอาหารเอเชีย มีทั้ง ก๋วยเตี๋ยว ผัดผัก กุ้งอบ และอื่นๆอีกมากมาย ห้องอาหาร Indochine ยังมีบาร์ขนาดเล็กเรียกว่า Enoteca ซึ่งให้บริการเครื่องดื่มก่อนอาหารเย็นและเปิดให้บริการในตอนเย็นค่า พิกัดร้านอยู่ชั้น 4 บนเรือสำราญตามมาได้เลยค่า

 

สำหรับห้องอาหารสุดหรูหราและชื่อดังอย่าง La Dame by Relais & Châteaux ตั้งอยู่ชั้น 4 บนเรือสำราญ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม La Dame เป็นร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศส สุดคลาสสิค และหรูหรา เปิดให้บริการเฉพาะมื้อค่ำ และ ต้องทำการจองสำรองที่นั่งล่วงหน้าเท่านั้นค่ะ ที่นี่นำเสนออาหารที่เป็นเอกลักษณ์ เนื้ออย่างดี กุ้งล็อบสเตอร์ก็มา แถมมีไวน์รสชาติเยี่ยมที่ตั้งเรียงรายบนชั้นให้ได้เรียกดู บรรยากาศก็ไม่ต้องพูดถึง อารมณ์เหมือนอยู่ในภัตรคารสุดหรูในประเทศฝรั่งเศส ยังไงยังงั้นค่า

 

La Terrazza ห้องอาหารขนาดใหญ่สไตล์บุฟเฟต์ สำหรับมื้อเช้า และ มื้อกลางวัน ส่วนมื้อค่ำห้องนี้จะเปลี่ยนเป็นร้านอาหารสไตล์อิตาเลียน พิกัดห้องอาหารตั้งอยู่บริเวณชั้น 7 บนเรือสำราญค่า สำหรับใครที่ชื่นชอบอาหารบุฟเฟต์ มื้อเช้าและมื้อกลางวันต้องห้ามพลาด สำหรับใครที่เป็นแฟนคลับอาหารอิตาเลี่ยนแท้ๆ ตอนเย็นมาเจอกันได้ที่นี่เช่นกันค่า

 

7 Restaurant เป็นห้องอาหารหลักบนเรือสำราญสุดหรู การตกแต่งสวยงามสไตล์คริสตัล สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามในระหว่างที่เพลิดเพลินไปกับการรับประทานอาหาร รสชาติอาหารก็ไม่แพ้ที่ใด หากใครอยากลิ้มลองรสชาติอาหารตามฤดูกาล และอาหารท้องถิ่น ต้องมาได้ที่นี่เท่านั้นค่ะ สำหรับห้องอาหารนี้มาได้ทุกเมื่อ โดยไม่ต้องจองที่นั่งล่วงหน้านะคะ

 

Silver Note สำหรับที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารที่ได้รับความนิยม มีให้บริการอาหารสไตล์ทาปาสจากสเปน สำหรับมื้อเย็น ทานไปฟังดนตรีแจ๊สและบลูส์เบาๆ เพลิดเพลิน และมีความสุขสุดๆ ไปเลยค่า เมนูอาหารที่มีให้เลือกหลากหลายอย่าง ปลากระพง เสิร์ฟคู่กับไวน์ขาว หรือจะเป็นกุ้งล็อบสเตอร์ตัวใหญ่ทานกันแบบอิ่มหนำ ตบท้ายด้วยเป็ดย่างรสชาติเยี่ยม และทิ้งท้ายด้วยเมนูของหวาน รสชาติครบรส พิกัดมากันได้ที่นี่ Silver Note ชั้น 7 นะคะ

 

สำหรับใครที่ชอบทานพิซซ่าต้องมาที่นี่ Regina Margherita ตั้งอยู่บนชั้น 11 บรรยากาศเป็นร้านกลางแจ้ง สบายๆ มีบริการเมนูพิซซ่าสำหรับมื้อกลางวัน ห้องอาหารเปิดโล่งนี้สามารถมองเห็นวิวตรงสระว่ายน้ำด้านล่างนะคะ สามารถเลือกโต๊ะนั่งตามที่ชอบ และจะมีพนักงานคอยเสิร์ฟพิซซ่าให้ถึงโต๊ะ พิซซ่าก็มีหลายหน้าให้เลือกเหลือเกิน ทั้งรสชาติเผ็ดจัดจ๊าด หรือนุ่มลิ้นด้วยชีสสุดอร่อยๆ ขอบแป้งกรอบหรือเกรียมเลือกได้ตามใจชอบเลยค่า

 

ห้องอาหารที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เห็นจะเป็น Kabuki  บนเรือสำราญ ชั้น 4 เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น มีบาร์สำหรับทานชูชิ ชาชิมิ สุดฟิน เมนูอาหารญี่ปุ่นมีมากมายหลากหลาย ผ่านการปรุงแต่งอย่างพิถีพิถัน ให้ความสดุลระหว่างหยินและหยางผสมผสานกันอย่างลงตัว  ฟรีสำหรับมื้อกลางวัน และ สำหรับมื้อค่ำจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมค่า

 

 

Beth: 2018-10-18