เที่ยวกอเตอร์ Kotor มอนเตเนโกร Montenegro

เที่ยวกอเตอร์ เมืองเก่าแก่ในชายฝั่งทะเลมอนเตเนโกร สถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมยุคกลางและมรดกทางวัฒนธรรมมากมาย โดยองค์กรยูเนสโกได้ระบุไว้ให้เป็น “โลกทางธรรมชาติ และ มรดกทางประวัติศาสตร์” ด้วยนะแจ๊ ไม่ธรรมดาา เรือสำราญมาจอดเทียบท่า ติดกับเมืองเก่าเลย เพียงแค่ข้ามถนนก็ถึงแล้ว โอ้โหๆๆ มองเทียบเรือสำราญกับรถยนต์แล้ว คนละรุ่นกันเลยเน้อะ
เมืองเก่ากอเตอร์ Kotor Old Town
เมืองเก่าแห่งนี้กำลังเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่เลอค่า ฮอตมากๆ และยังได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกของ UNESCO มาตั้งแต่ปี 1979 ด้วยน้า หุหุ เมืองนี้มีอะไรพิเศษ? เริ่มสนใจกันแล้วใช่ม้าา
เริ่มจากกำแพงเมืองก่อนเลยค่า แค่กำแพงก็เวอร์วังแล้วล่ะค่ะ สูงและยาวมากกกก ยาวถึง 4.5 กิโลเมตร! มีบันได 1,350 ขั้น นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นบันไดไปชมวิวพาโนรามาด้านบนได้นะคะ ถ้าคิดว่าฟิต ขาสู้ไหว 555
เนื่องจากเป็นเมืองชายฝั่งทะเลที่สำคัญในอดีตและเป็นศูนย์กลางการค้าในทะเลแถบนี้ตั้งแต่สมัยของเวนิซ ชาวเมืองจึงสร้างกำแพงเมืองขึ้นล้อมรอบเมืองเพื่อป้องกันการโจมตีของศัตรู คือแค่ศัตรูเห็นก็คงหนีแล้วล่ะค่ะ กลัวกำแพง 5555 ใหญ่โตเกิ๊นนน ปัจจุบันกำแพงเมืองนี้ยังอยู่และมีความสมบูรณ์มาก มั่นคงแข็งแรงคงกระพัน
ส่วนตัวเมืองนั้นมีขนาดไม่ใหญ่มากค่ะ มีประชากรประมาณ 13,000 คน ข้างในมีร้านค้า ร้านอาหาร แล้วก็บ้านตระกูลเก่าแก่ โรงเรียนเก่าแก่ โบสถ์เก่าแก่ของเมืองค่ะ สิ่งปลูกสร้างในเมืองก็ยังคงเช้งกระเด๊ะอยู่ ถือเป็นเมืองเก่าแก่ที่อนุรักษ์ไว้ได้อย่างดีอีกเมืองหนึ่งของโลก ถึงจะมีชื่อว่าเมืองเก่าแต่ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลืออเกินนน (อ้าว พี่ป้างก็มา เอิ๊กๆ)

กำแพงเมือง สร้างสูงไปนู่นนนน ยอดเขา

เรามาเข้าประตูเมืองกันดีกว่า

ข้างในเมืองเป็นร้านค้า ร้านอาหาร บ้านตระกูลดังเก่าแก่ โรงเรียนเก่าแก่ โบสถ์เก่าแก่ของเมือง ส่วนบ้านเรือนปกติ และโรงแรมต่างๆ อยู่นอกกำแพงเมือง เมืองนี้เคยประสบเหตุแผ่นดินไหวมาก่อน แต่ก็ผ่านมาได้ มีการบูรณะในส่วนที่เสียหาย และก็ได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลก อย่างโบสถ์นี้สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 809 หรือเมื่อ 1200 กว่าปีมาแล้วค่ะ เมืองนี้ขนาดไม่ใหญ่เท่าไหร่ เดินสักพักก็รอบเมืองแล้วค่ะ



และด้วยความที่หญิงปุ๊กชอบภูเขาที่นี่มาก อะไรมันจะยิ่งใหญ่ อลังการ ตระการตาขนาดนี้ มีภูเขาโอมล้อมล้อมรอบเลย ถ่ายยังไงก็ไม่ครบ หญิงปุ๊กเลยอยากขึ้นไปดูบรรยากาศจากบนเรือค่ะ
โอ้โห ปยืนหมุนรอบตัวเอง ยืนหมุนรอบ 360 องศาไปเรื่อยๆ คือแบบ มันยิ่งใหญ่มากๆ ตะกี้เพิ่งรู้สึกว่าเรือสำราญใหญ่มาก เมื่อเทียบกับรถยนต์ แต่ตอนนี้ดูไม่ใหญ่เลย เมื่อเทียบกับภูเขาที่อยู่ตรงหน้า สัมผัสได้เลยว่าธรรมชาติยิ่งใหญ่มาก มนุษย์เราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ บนโลกใบนี้ อย่างเมืองนี้ แค่ภูเขาขยับตัวนิดเดียว เกิดแผ่นดินไหวที เมืองทั้งเมืองก็อาจพังราบเป็นหน้ากอง ร่องรอยความเสียหายยังอยู่จนถึงทุกวันนี้เลย
นี่ทำให้รู้สึกว่า เมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ มันทำให้เรารู้จักถ่อมตัว และอีโก้ในตัวเองลดลงไปมาก คนที่คิดว่าข้าใหญ่คับฟ้า เป็นศูนย์กลางของจักรวาล เมื่อเทียบกับธรรมชาติแล้ว คนก็แค่เศษฝุ่นเล็กๆ เท่านั้นเอง




โบสถ์พระแม่มารีย์แห่งหิน Our Lady of the Rocks
ตั้งอยู่ที่กอสปา ออด ชครึบเยลา (Gospa od Škrpjela) ณ ใจกลางอ่าวโคเตอร์ เป็นเกาะที่เล็กๆ และเงียบสงบ สร้างขึ้นปี 1632 โดยชาวเวนิสค่า ตามตำนานบอกไว้ว่า ขณะที่ชาวประมงสองพี่น้องกำลังจับปลาอยู่นั้นก็พบรูปภาพที่วาดโดย Lovro Dobricevic ติดอยู่บนโขดหิน และได้กล่าวไว้ว่า ถ้าทุกครั้งที่พวกเขากลับมาจากการออกเดินเรือได้อย่างปลอดภัย หรือรอดพ้นจากภัยต่างๆ ได้ เขาจะโยนก้อนหินลงทะเลไปทุกครั้ง และเขาก็ได้โยนหินลงไปเรื่อยๆ หลังจากรอดชีวิตจากอุบัติเหตุต่างๆ หินถูกโยนลงไปจนกระทั่งกลายเป็นเกาะขึ้นมา
และภายหลังก็ได้สร้างโบสถ์ เรียกว่า Our Lady of the Rocks เป็นเหมือนอนุสาวรีย์ที่ช่วยปกป้องรักษาชาวเมืองให้รอดชีวิตจากภัยพิบัติ และอุบัติเหตุต่างๆ นั่นเองค่ะ ซึ่งข้างในโบสถ์นี้จะมีซากเครื่องบิน ซากเรือ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ชาวเมืองนำมามอบเป็นของขวัญขอบคุณ Lady ซึ่งเปรียบเสมือนพระมารดาของพระเจ้าผู้พิทักษ์ของชาวเรือและชาวประมงที่ทำให้พวกเค้ารอดชีวิตได้ค่ะ





บนเกาะ เราจะได้พบโบสถ์เล็กๆ ตกแต่งตามความเชื่อของศาสนาคริสต์อย่างสวยงาม ถัดไปด้านหลัง จะเป็นห้องเก็บของขวัญที่ชาวเมืองนำมาถวายให้กับพระแม่มารีย์ ได้แก่ ถ้วยไหใบชาม ของใช้ในบ้าน ใครอยากจะถวายอะไรก็นำมาไว้ที่นี่ แล้วก็มีซากเครื่องบิน ซากเรือที่เป็นหลักฐาน การรอดชีวิตของชาวเมือง เอามาแขวนไว้บนเพดานห้อยไว้เต็มไปหมด หญิงปุ๊กเห็นแล้วก็แอบขนลุกเล็กๆ เหมือนกันนะคะ โชคดีจังที่แค่เกือบตาย ยังรอดมาได้ จะว่าไปแล้ว ที่นี่น่าจะเรียกว่าเกาะแห่งความโชคดีบนความโชคร้ายนะ


คนส่วนใหญ่กลัวตาย ไม่อยากตาย ทำให้ปุ๊กคิดว่า บทเรียนที่สำคัญที่สุด สำหรับคนที่เคยเกือบตาย คือ เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เวลาในชีวิต เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในโลก และหากใครที่เคยสูญเสียคนที่ตัวเองรักไป อย่างชั่วนิรันดร์ จะเข้าใจความรู้สึกนี้ ได้อย่างสุดซึ้งเช่นกัน
เงินซื้อเวลาไม่ได้ อยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตก็ไม่ได้ อยากจะหยุดเวลาไว้ตรงนี้ก็ไม่ได้ อยากจะเพิ่มเวลาให้มากขึ้นก็ไม่ได้ เวลาในปัจจุบันเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ดีแล้วดีเลย พลาดแล้วพลาดเลย และก็ไม่มีใครรู้ว่า เวลาของตัวเองจะหมดเมื่อไหร่ด้วย ฉะนั้น จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ให้คุ้มค่ากับเวลาที่มี นี่คือสิ่งที่เราต้องคิด วางแผนดีๆ และเลือกเอง
เรารู้ว่า ชีวิตมีค่าแบบประเมินค่าไม่ได้ เวลาทุกนาทีมีค่ามหาศาล
คนใกล้ตายมักพูดว่า เรื่องที่ทำให้เค้าเสียใจมากที่สุดในชีวิตที่ผ่านมา คือเรื่องที่ เค้าไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ ไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเอง มัวแต่ทำตามความต้องการความคาดหวังของคนอื่น เค้าทำงานหนักเกินไป จนไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว ไม่มีเวลาอยู่กับเพื่อน ลืมบอกรัก ลืมใส่ใจ ลืมใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ลืมพักผ่อน ลืมออกไปเที่ยว แม้จะมีชีวิต แต่ไม่ได้ใช้มันอย่างคุ้มค่า ไม่มีความสุขกับปัจจุบันในทุกๆ ช่วงเวลา เพราะมัวแต่จมอยู่กับทุกข์ในอดีต กังวลอยู่กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
สิ่งที่คนใกล้ตายพูดเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก เพราะเค้าไม่มีเวลา ให้กลับมาแก้ตัวอีกแล้ว ฉะนั้นสำหรับพวกเราทุกคนที่ยังมีชีวิต ยังมีเวลาอยู่ ก็ควรจะต้องคิดให้ดี และนำมาเป็นบทเรียนว่า อย่าลืมใช้ชีวิตให้ทุกๆ วันมีความสุขนะคะ

ที่เมืองเปราสต์ Perast เป็นเมืองโบราณตั้งอยู่ในหุบเขา และเคยอยู่ภายใต้อำนาจของสาธารณรัฐเวนิชมายาวนานเกือบ 400 ปี ศิลปะภายในเมืองส่วนใหญ่เป็นสไตล์เวเนเชียนที่สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ทางทะเล และการเดินเรือ
หญิงปุ๊กได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ ข้างในมีภาพการสู้รบทางทะเลภาพใหญ่ๆ อยู่บนกำแพง และพวกเครื่องรบทำสงครามต่างๆ และไกด์ได้เล่าถึงประวัติของแม่ทัพที่มีผลงานโดดเด่นในการปกป้องดินแดนนี้ วิวบนระเบียงชั้นสองสวยมาก อยู่ริมทะเล มีภูเขาโอบล้อม ได้ยินเสียงลม เสียงคลื่น เสียงนกร้อง สวยเหมือนอยู่ในหนังเลยค่ะ

