เที่ยวมาซาดา ป้อมปราการโบราณกลางทะเลทรายยูเดีย ที่มีอายุกว่า 2000 ปี อยู่บนยอดเขาสูงประมาณ 120 เมตร เหนือทะเลสาบเดดซี อิสราเอล ด้วยความสูงนี้การเดินทางมันก็จะเสียวหน่อยๆ ค่า >,< เพราะต้องนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไป ระหว่างทางก็ชมทัศนียภาพมุมสูงของภูเขาไปด้วย เมื่อถึงยอดเขา เราจะเห็นป้อมมาซาดาตั้งโดดเด่นอยู่ ถือเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญของอิสราเอล และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2001 อีกด้วยค่า ซึ่งเป็นประติมากรรมการออกแบบที่งดงามและชาญฉลาดมากกก เป็นการสลักจากผาหินบนยอดเขาสูงที่มั่นคง ต้องขนอิฐและหินขึ้นไป ซึ่งกว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาสร้างถึง 7 ปี!

แต่เดิมได้เป็นพระราชวังฤดูหนาวอันหรูหราของกษัตริย์เฮโรดมหาราชค่ะ มีทั้งโรงอาบน้ำ ซาวน่า บ่อน้ำร้อน-น้ำเย็น ต่อมาได้เป็นป้อมหลบภัยของชาวยิวที่ต่อต้านการรุกราน และกดขี่ข่มเหงของทหารโรมัน ชาวยิวเริ่มทนไม่ได้จึงก่อกบฏขึ้น แล้ววีรกรรมการต่อสู้ป้องกันก็เกิดขึ้นค่ะ ถึงจะไม่สามารถสู้กับทหารโรมันได้ แต่นักรบชาวยิวก็ปักหลักสู้อย่างถวายชีวิต

ปัจจุบันได้ถูกทางการอิสราเอลรักษาไว้เป็นอย่างดีในฐานะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นและความกล้าหาญ โดยทหารเกณฑ์ทุกคนจะต้องเข้าประจำการ และสาบานตนที่ป้อมปราสาทนี้ว่า “มาซาดาจะไม่มีวันพ่ายแพ้อีกต่อไป”

กองทัพทหารของอิสราเอล ขึ้นชื่อได้ว่า เป็นกองกำลังที่เก่งกาจอันดับต้นๆ ของโลก แกร่งที่สุดในปฐพี ใช้งบประมาณทางการทหารไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจากการทำสงครามอย่างต่อเนื่อง เป็นปฏิปักษ์กับชาติต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เรียกได้ว่า มีศัตรูรอบด้าน ใครที่จะเดินทางไปก็ระมัดระวังตัวด้วยนะคะ นอกจากนี้ดูเหมือนว่า หากมีวีซ่าเข้าประเทศอิสราเอล จะทำให้เข้าประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลางไม่ได้ด้วยค่ะ

อ่านเรื่องราวประวัติศาสตร์ทั้งหมด ท้ายบทความ..

ทัวร์ที่อิสราเอล รถบัสค่อยๆ พาเราผ่านแนวเทือกเขายาวมาที่มาซาดา



ทางเข้า นักท่องเที่ยวเยอะเลยทีเดียว









เพื่อขึ้นไปบนยอดเขา เราต้องต่อกระเช้าทั้งหมดสองครั้ง











แต่หากว่าใครฟิต ก็สามารถเดินขึ้น..!!! 555 ฟังไม่ผิดค่ะ เดินขึ้น omg มาก เพราะว่านอกจากสูงแล้ว แดดยังร้อนสุดๆ ไปเลยค่ะ











ขึ้นมาถึงด้านบนแล้วจ้ะ วิวที่เห็นคือ ความเคว้งคว้าง และอ้างว้าง รอบๆๆ ไม่มีอะไรเลย 555











โชคดีที่มีที่บังแดดเล็กน้อย แต่จริงๆ ก็ร้อนอยู่ดี แดดแรงมากจ้า





ทหารกำลังฝึกกันอยู่เลย โหดๆๆ ถือปืนยาววว







เราก็จะเดินเที่ยวดูซากอาคาร ของกองทัพ ผู้ไม่ยอมแพ้ค่ะ















 

เรื่องราวของความศรัทธา

ปีคริสต์ศักราช 73 เป็นยุคที่โรมันเรืองอำนาจ กองทัพอันเกรียงไกรของโรมันสามารถครอบครองอาณาจักรชนชาติอื่นเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ชาวยิวก็เป็นอีกชนชาติหนึ่งที่ต้องสยบภายใต้คมดาบของจักรพรรดิโรมัน

แต่เมื่อชาวยิวถูกบีบคั้นจากทหารโรมันจนสุดทน ชาวยิวเริ่มลุกฮือขึ้นก่อการกบฏ เข่นฆ่าทหารโรมันล้มตายเหลือคณา กองทัพโรมันจึงเคลื่อนพลมาปราบปรามฝ่ายกบฏ นักรบยิวปักหลักสู้อย่างถวายชีวิต แต่ไม่สามารถสู้ทหารโรมันได้ กระทั่งเหลือชาวยิวกลุ่มหนึ่งประมาณพันกว่าคนยึดป้อมโบราณบนยอดเขามาซาดาเป็นที่มั่นสุดท้าย

ป้อมปราการบนยอดเขามาซาดาเป็นป้อมที่มั่นคงและแข็งแกร่งที่สุด ตั้งอยู่บนยอดเขา มีเนื้อที่ถึง 23 เอเคอร์ เป็นกลุ่มอาคาร พระราชวังและที่อยู่ของข้าราชบริพารเจาะเข้าไปในหน้าผา มีพื้นที่เก็บกักน้ำได้ถึงเก้าล้านแกลลอน

กองทหารโรมันกรมที่ 10 ภายใต้การนำของ แม่ทัพฟลาวีอุส เข้าล้อมเขามาซาดาไว้ และส่งทหารขึ้นไปโจมตีป้อมนี้หลายครั้ง แต่ถูกนักรบยิวที่ได้เปรียบด้านชัยภูมิโต้กลับทุกครั้ง แม่ทัพฟลาวีอุสจึงบัญชาสร้างกำแพงล้อมรอบภูเขาเพื่อไม่ให้ยิวที่อยู่บนป้อมหลบหนีออกจากวงล้อมได้ จุดประสงค์ของแม่ทัพโรมันต้องการปลิดชีพยิวทุกคนบนป้อมไม่ให้เหลือ ไม่ว่าจะเป็นนักรบ ผู้หญิง และเด็ก

หลังจากสร้างกำแพงล้อมปิดทางหนีเสร็จแล้ว ฟลาวีอุสได้สำรวจช่องเขาและส่งทหารไปโจมตีป้อมที่มั่นให้แหลกยับให้ได้จนมองเห็นผาสูงด้านทิศตะวันตกที่ยื่นออกมา จึงระดมกำลังทหารสร้างหอสูงถึง 90 ฟุต ตรงยอดหอคอยให้สร้างสะพานขนาดใหญ่พาดไปยังหน้าผาเพื่อที่จะให้เป็นทางส่งทหารบุกเข้าไปพิชิตกำแพงป้อม

แม้จะสร้างสะพานเสร็จแล้ว แต่ฟลาวีอุสก็ยังไม่สั่งให้โจมตี แต่ยังปิดล้อมไว้นานถึงปีเศษ หวังให้ชาวยิวในป้อมขาดแคลนเสบียง จนแทบพยุงร่างไม่ไหว จึงจะบุกไปฆ่าอย่างง่ายดาย แต่พวกยิวก็สามารถปักหลักอยู่ได้เพราะสะสมเสบียงอาหารอย่างมากมาย แต่หลังจากเห็นทหารโรมันสร้างสะพานเชื่อมต่อกับหน้าผา นักรบยิวเริ่มตระหนักดีว่าทหารโรมันตั้งใจฆ่าพวกตนไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว

อีเลซาร์ เบน ยาลีร์ ผู้นำกลุ่มนักรบชาวยิว จึงเรียกประชุมคนในป้อมทั้งหมดแล้วประกาศถ้อยคำอันเด็ดเดี่ยว ให้ทุกคนประกาศตนเป็นอิสระต่ออำนาจทรราชของพวกโรมัน โดยเลือกฆ่าตัวตายแทนที่จะถูกทหารโรมันฆ่าแล้วอ้างชัยชนะได้

ชาวยิวทุกคนในป้อมมาซาดาตกลงยินดีฆ่าตัวตาย ดีกว่าตกเป็นทาสของพวกโรมัน ก่อนฆ่าตัวตาย ชาวยิวได้เผาอาคารทั้งหมดในป้อมไม่เว้นแม้แต่ยุ้งฉางที่เก็บเสบียง เพื่อให้ทหารโรมันรู้ว่านี่ไม่ใช่การฆ่าตัวตายเพราะความอดอยากหรือหมดทางเลือก หากแต่ยอมตายโดยไม่ยอมอยู่อย่างผู้แพ้

เมื่อทหารโรมันเห็นเปลวไฟลุกไหม้ อาคารภายในป้อมบนยอดเขามาซาดา แม่ทัพฟลาวีอุสจึงสั่งให้ทหารบุกเข้าในป้อม ซึ่งทหารโรมันก็พบกับสภาพที่คิดไม่ถึง เมื่อพบศพชาวยิวชายหญิงและเด็กๆ นอนตายเกลื่อนไม่มีนักรบยิวเหลือแม้แต่สักคนเดียว ฟลาวีอุสเข้าใจทันทีเลยว่าพวกเขาพร้อมใจกันตายดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้ มีผู้รอดชีวิต 2 คนเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง และเด็กคนหนึ่งซึ่งบาดเจ็บสาหัสให้เป็นผู้เล่าเรื่องเมื่อทหารโรมันที่บุกเข้ามาได้รับฟัง

แทนที่ทหารโรมันทั้งหมดจะยินดี ปรากฏว่า ฟลาวีอุสและทหารโรมันพร้อมใจกันถอดหมวกแสดงความเคารพในความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของชาวยิว...ที่ยอมตายดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้

จนกระทั่งเวลาล่วงมาเกือบ 200 ปี นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งจึงเปิดฉากค้นคว้าหาหลักฐานต่างๆ เพื่อพิสูจน์ความจริงของเหตุการณ์ครั้งนั้น โดยค้นพบคลังเสบียงที่ไม่ไหม้ไฟ พบเหรียญสัมฤทธิ์กองหนึ่งที่ผุกร่อนที่ใช้แทนบัตรแลกเสบียง พบแผ่นบันทึกเรื่องราวทั้งหมด 14 ม้วน และเสื้อเกราะนักรบและเหยือกกองอยู่สิบกว่าใบ แต่ละใบสลักชื่อเจ้าของ และอีกเหยือกหนึ่งจารึกชื่อ อีเลซาร์ เบน ยาลีร์ ผู้บัญชาการป้อมไว้ด้วย แล้วยังพบว่า ป้อมมาซาดา มีทั้งโรงอาบน้ำที่มีส่วนอบเซาน่า, แช่น้ำร้อน, อาบน้ำเย็น ที่ต้องทึ่งกับวิธีการออกแบบของสถาปนิกโบราณ โบสถ์ไบเซนทีนที่ปูพื้นด้วยกระเบื้องโมเสกที่หลงเหลือหลักฐานให้เราได้ชมในวันนี้ยังงดงามอ่อนช้อย

ทุกวันนี้ ทางการอิสราเอลรักษาไว้เป็นอย่างดีในฐานะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ทหารเกณฑ์ทุกคนจะต้องเข้าประจำการและต้องสาบานตนที่เทือกเขามาซาดานี้ว่า นับจากวันนี้ เราจะไม่รู้จักคำว่า “พ่ายแพ้”

จากเหตุการณ์ข้างต้น เป็นที่ประจักษ์ให้แก่ชาวโลกมาแล้ว เมื่อคราวสมัยสงคราม 6 วัน หรือ Six Days War ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ถึง 10 มิถุนายน 1967 อีกฝ่ายประกอบด้วย อียิปต์, ซีเรีย, จอร์แดน และอิรัก มีกำลังพลรวมถึง 547,000 คน ในขณะที่อิสราเอลมีกำลังพลเพียง 264,000 คน และผลของสงครามคือ อิสราเอลถูกปิดล้อมและยึดพื้นที่ แต่ก็ตีโต้กลับและได้รับชัยชนะเพียงแค่ 6 วัน สูญเสียกำลังพลเพียง 800 คน แต่ในขณะอีกฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตถึง 21,000 คน

ที่มา: ป้อมมาซาดา : คอลัมน์ท่องต่างแดน : เรื่องโดย...นายเกาไม่ถูกที่คัน