เที่ยวโมรอคโค (Morocco) ดินแดนฟ้าจรดทรายมนต์เสน่ห์แห่งตะวันออกกลาง ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือสุดของทวีปแอฟริกาเหนือ จึงถูกเรียกว่า “เอล มาห์กริบ อัล อัค ซา” (EL MAHGRIB AL AQSA) หรือ “ดินแดนตะวันตกที่ไกลที่สุด” ค่ะ เป็นเมืองหนาวในเขตร้อนที่สุดของโลก มีภูมิประเทศที่หลากหลาย มีพรมแดนติดกับมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ประตูสู่แอฟริกา มีความหลากหลายของภูมิประเทศ ที่นี่เราจะได้พบกับทิวเขาอันยิ่งใหญ่สวยงาม เมืองโบราณ สนุกกับกิจกรรมในทะเลทรายกว้าง และการต้อนรับที่อบอุ่นด้วยวัฒนธรรมของชาวเบอร์เบอร์ อาหรับ และยุโรป เกริ่นมาแค่นี้ก็ตื่นเต้นแล้ววว ><;

 

เที่ยวมาร์ราเกช (Marrakech)

มาร์ราเกช แปลว่า ‘ดินแดนแห่งพระเจ้า’ ในภาษาทามาไซต์ (Tamazight) หรือ ภาษาของชาวท้องถิ่นเบอร์เบอร์ (Berber) ตั้งอยู่ทางตะวันตกของโมรอคโค อยู่ใกล้เชิงเทือกเขาแอตลาสที่ปกคลุมด้วยหิมะ และอยู่ห่างจากเชิงทะเลทรายซาฮาราเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่อดีตเคยเป็นเมืองจักรวรรดิสำคัญของประเทศ รวมทั้งเป็นที่ตั้งของสุเหร่า พระราชวัง สวน และกำแพงเมดินา (Medina Wall) ที่สร้างมาตั้งแต่ยุคกลางสมัยจักรวรรดิเบอร์เบอร์ เป็นกำแพงสูงยาวล้อมรอบเมืองกว่า 16 กิโลเมตร

ย่านเมืองเก่าเมดินา (Marrakech Medina) หรือเมดินาแห่งมาร์ราเกช เคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของอิสลามมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 และสั่งสมความงามดั้งเดิมของราชวงศ์ Almoravide และ Almohade มาจนถึงปัจจุบัน เราสามารถจัดแพลนเดินทัวร์เมืองได้ทั้งแบบเดินบนกำแพงและใต้กำแพงเมดินาได้ตามใจชอบเลยน้า ในย่านนี้ก็จะมีตลาดนัดชื่อดังอย่าง ตลาดซุก (Marrakech Souks) ให้ได้แวะไปช้อปปิ้งซื้อของฝากพื้นเมือง ให้อารมณ์คล้ายๆ ตลาดเจเจของบ้านเรา ร้านค้าจะถูกแบ่งออกเป็นโซน มีทั้งมีขายทั้งอาหารสด งานฝีมือ เสื้อผ้า สบู่ ชุดเครื่องชา และเครื่องประดับต่างๆ ให้เลือกชม เลือกช้อปกันตามใจชอบ ที่นี่จะเปิดให้จับจ่ายกันตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึงช่วง 1 ทุ่ม
 
สำหรับใครยังช้อปไม่จุใจ หรือสนใจเป็นตลาดกลางคืน ที่ จัตุรัส เจ็มมา เอล ฟีน่า (Jemaa el-Fnaa Square) จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งซุ้มขายอาหารตั้งแต่ประมาณ 5-6 โมงเย็น เมนูต้ม ผัด แกง ทอด ได้รับการประกันฝีมือโดยเชฟท้องถิ่น กลิ่นฟุ้งไปทั่วยั่วน้ำลาย เรียกเสียงท้องร้องได้ดีทีเดียว สีสันตลาดกลางคืนที่นี่เราจะได้เดินชิม และชมการร้องเล่นเต้นระบำ จากวงดนตรีพื้นบ้าน สุดจะครึกครื้นจนถึงเวลา 5 ทุ่มเลยค่า
 


shutterstock_1893475345
 



 






 
อีกหนึ่งสถานที่สุดฮิตของสายแฟชั่น หรือใครที่มีความสนใจของเรื่องแบรนด์เนมต้องไม่พลาด สวนจาร์ดีน มาจอแรล (Jardin Majorelle) หรือ สวนอีฟ แซงต์ โลรองต์ (Yves Saint Laurent Gardens) สวนพฤกษศาสตร์ที่มีเสน่ห์และลึกลับที่สุดในโมร็อกโก มีพื้นที่มากกว่า 2 เอเคอร์ ผลงานของศิลปินชาวฝรั่งเศสชื่อว่า จาคร์ มาจอแรล จิตกรฝีมือดีที่นำศิลปะเข้ามาผสมกับการประดับจัดวางพันธุ์ไม้ต่างๆ  ตลอดเวลา 40 ปีที่จาคร์ทุ่มเทเวลาให้กับรายละเอียดทุกอย่าง ทั้งการดีไซน์กำแพงชั้นนอกเป็นเขาวงกตของตรอกซอกซอยเหมือนกับตลาดซุก และอาคารสีสันสดใสที่ผสมผสานทั้งอิทธิพลของอาร์ตเดโคและมัวร์ แม้กระทั่งต้นไม้ทุกต้นเขาปลูกมันด้วยตัวเอง

ในปี ค.ศ. 1922 สวนจาร์ดีนคือตัวอย่างของสวนพฤกษศาสตร์ที่แปลกใหม่และได้รับความสนใจจากทั่วทุกมุม จนเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้คนหลายๆ ที่ได้มาเยี่ยมชม หนึ่งในนั้นคือ เจ้าของแบรนด์และดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลกอย่างอีฟ แซงต์ โลรองต์ กับ ปิแอร์ แบร์เช่ ได้ทำการซื้อที่นี่ในปี ค.ศ. 1980 หลังจากมาเที่ยวโมรอคโค เพื่อช่วยชีวิตให้สวนพฤกษาแห่งนี้ไม่โดนทำลายจากนายทุนเพื่อเปลี่ยนเป็นโรงแรม และสร้างวิลล่าโอเอซิส (Villa Oasis) ขึ้นเป็นที่พักร้อนส่วนตัว ปังไม่ไหวค่า >,<!  แบรนด์ดีไซเนอร์ชื่อดังอวยซะขนาดนี้แล้ว ชาวเราก็ต้องไม่พลาดแล้วน้า เพราะมุมถ่ายรูปเยอะม๊ากกก สวนคือดจีย์เว่ออ มุมวิลล่าสีสดๆ หามุมสะบัดเดรสโชว์ อัพลงไอจียอดไลค์กระจุยกระจายแน่นอนจ้า
 
“หลายปีที่ผ่านมา จาร์ดีน มาจอแรล ได้มอบแรงบันดาลใจที่ไม่รู้จบให้กับผม และผมมักจะฝันถึงสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ของมัน”
- อีฟ แซงต์ โลรองต์ –


 

 

 

 

 

 

 

 
อีกหนึ่งที่ที่ต้องไปถ้ามาเยือนเมืองมาร์ราเกช คือ พระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace) สร้างขึ้นเมื่อช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยซี มูซา (Si Moussa) ราชมนตรีแห่งสุลต่าน ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 2 เอเคอร์ในใจกลางเมดินาแห่งมาร์ราเกช มีห้องพัก 150 ห้อง จำนวนนั้นได้รวมฮาเร็มที่ตั้งอยู่ไม่ไกลศาลเกียรติยศของเขา การออกแบบและสถาปัตยกรรมอันโอ่อ่านี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่ราชมนตรีแห่งสุลต่านซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นทาส แต่ก็ไต่เต้าขึ้นมาจนมีอำนาจแบบไม่โปร่งใสนัก

ภายในปี ค.ศ. 1900 เขาได้เสียชีวิตลง พระราชวังแห่งนี้ถูกตกไปเป็นของลูกชาย บู อาห์เหม็ด (Bou Ahmed) ได้รับการปรับปรุงดูแล เพิ่มสวนให้ร่มรื่น มีริยาจล้อมรอบ แต่ละห้องถูกตกแต่งหรูหราด้วยสไตล์โมรอคโม มีการวางปูนปั้นแกะสลัก และพื้นไม้ซีดาร์เพื่อประดับประดา โซนศาลเกียรติยศเป็นไฮไลท์ของพระราชวังเลยก็ว่าได้ พื้นที่เปิดโล่งถูกประดับด้วยกระเบื้องเซลลิกหลากสีสันสไตล์โมรอคโค ล้อมรอบด้วยริยาจหรูหรา เรียกว่าเป็นจุดเช็คอินของที่นี่เลยจ้า ไม่มีรูปมุมนี้ ถือว่าพลาดมากก มันต้องมี! ต้องได้รูปอัพไอจีอวดฟอลโลเวอร์อีกหนึ่ง! พระราชวังบาเฮียเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เปิดให้เข้าชมทุกวันเวลา 9.00 – 17.00 น. ค่าเข้า 70 เดอร์แฮม หรือ ประมาณ 267 บาทไทยค่ะ
 

 

 

 

 

 
สถาปัตยกรรมของชาวมุสลิมที่ไม่ยอมแพ้กันเลยไม่ว่าเมืองไหน ประเทศใดนั่นก็คือ มัสยิด หรือ สุเหร่า สถานที่สำคัญสำหรับกิจกรรมทางศาสนาหนึ่งในสุเหร่าที่สูง สวย และใหญ่ที่สุดในมาร์ราเกช ได้แก่ สุเหร่าคูตูเบีย (Koutoubia Mosque) ประภาคารทางจิตวิญญาณ ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 สมัย Hispano-Moresque เป็นที่รู้จักกันในเรื่องความหรูหรา เรียบง่าย จากงานฝีมือของราชวงศ์ Almohad โดยการนำหินสีชมพูมาก่อสร้างขึ้นเป็นกำแพง

รวมถึงหอคอยสีกุหลาบ สูง 773 เมตร ประดับยอดด้วยลูกศรและลูกกลมสีทองเด่น สามารถมองเห็นได้ไกลถึง 25 กิโลเมตร และล้อมรอบด้วยสวนกุหลาบใบเขียวสลับสีแดงของดอก ตกแต่งภายในแบบล้ำสมัย มีหน้าต่างโค้งปลายแหลมประดับเซรามิก ห้องโถงแบ่งแยกเป็นสัดส่วนอย่างดีสำหรับจัดงานต่างๆ สุเหร่าแห่งนี้ใช้เวลาในการสร้างกว่า 40 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1150 ความจุของห้องละหมาดสามารถจุคนได้ถึง 25,000 คนเลยค่า
 

 

 

 
ความงดงามของสถาปัตยกรรมในเมืองมาร์ราเกชนี้ ไม่ได้มีแค่พระราชวัง สุเหร่า หรือกำแพงเมดินา แต่ยังมี สุสานซาเดียน (Saadian Tombs) เดิมคือ พระราชวังบาดิ (Badi Palace) ภายหลังเมื่อสุลต่าน Saadian Sultan Ahmed Al Mansour Ed Dahbi ผู้นำคนแรกของตระกูลเสียชีวิต Sultan al-Ghalib Abdullah ผู้เป็นลูกชาย จึงสร้างสุสานเพื่อบรรจุร่างของบิดา และรวมถึงผู้ก่อตั้งอาณาจักร ขึ้นในปี ค.ศ. 1546-1659 เปลี่ยนพระราชวังเป็นหลุมฝังศพทั้งหมด 66 หลุม มีทั้งหมด 3 ห้องหลัก ฟู่ฟ่า อลังการมว๊ากก O_O!

ทุกห้องตกแต่งสีสันสไตล์สถาปัตยกรรมมัวร์ ผสมโมรอคโค ใช้ทั้งหินอ่อนและทองนำเข้าจากอิตาลี ปูพื้นด้วยกระเบื้องเซลลิจ สีสันสะดุดตา ส่วนโค้งของหลังคาภายในแต่ละห้องถ้ามองขึ้นไปจะได้พบกับสถาปัตยกรรมแบบอิสลามเรียกว่า Muqarnas มีลักษณะคล้ายกับรังผึ้งสีทองอร่ามราวกับพระราชวัง ห้องหลักของสุสานแห่งนี้มีจุดเด่นของการวางเสาหินอ่อนโคโลเนดสีขาวนวลสูงใหญ่ 12 คอลัมน์ เรียกว่า Hall of the Twelve Pillars” ฐานบนของเสาถูกแกะสลักแบบสถาปัตยกรรมอิหร่านเช่นเดียวกับฝ้าเพดาน การสร้างและต่อเติมถูกสืบทอดมารุ่นลูกสู่รุ่นหลาน ในปี ค.ศ. 1603 มีการสร้างกำแพงล้อมรอบสุสานนี้ไว้เพื่อสงวนให้เป็นพื้นที่ส่วนตัว ภายหลังจากการเสียชีวิตของราชวงศ์ซาดิได้ล่มลงแล้ว

สุสานซานเดียนถูกปิดตาย และมีการค้นพบภายหลังจากภาพถ่ายทางอากาศในปี ค.ศ. 1917 ระหว่างยุคปกครองของฝรั่งเศส  ได้มีการเข้าไปสำรวจ ทำความสะอาด ซึ่งพบว่าภายในสุสานนี้ยังมีสุสานรองของ ลัลลา มัสซูดา ผู้เป็นสตรีคนสำคัญของครอบครัวราชวงศ์ซาดิ รวมถึงสุสานในสวนที่แยกออกมาสำหรับฝังศพของชาวยิวผู้จงรักภักดีของสุลต่านกว่า 170 ชีวิต ไม่นานก็เปิดให้ประชาชนสามารถมาเยี่ยมชมได้ และเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 9.00 – 17.00 น. ของทุกวันค่า
 
shutterstock_663962023
 

 

 

 


 
 

เที่ยวคาซาบลังกา (Casablanca)

คาซาบลังกา ท่าเรือหลักของประเทศโมรอคโค ในยุคศตวรรษที่ 12 พื้นที่ตรงนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวพื้นเมืองเบอร์เบอร์ ชื่อว่าหมู่บ้าน อังฟา (Anfa) และเป็นฐานทัพของโจรสลัดที่ค่อยดักปล้นเรือของชาวคริสเตียน ภายหลังโดนกวาดล้างโดยชาวโปรตุเกสในปี ค.ศ. 1468 และได้มีการสร้างเมืองขึ้นในปี ค.ศ. 1515 มีชื่อใหม่ว่า คาซาบลังกา แปลว่า “ทำเนียบขาว” และถูกยึดอีกครั้งในปี ค.ศ. 1907 ช่วงการปกครองของฝรั่งเศส กลายเป็นท่าเรือตั้งแต่นั้นมา ทำให้การพัฒนาเริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองนี้เป็นสถานที่นัดประชุมสำคัญสุดยอดของอังกฤษและอเมริกา โดยมีพระเจ้ามุฮัมมัดที่ 5 แห่งโมรอคโคเข้าร่วมประชุมด้วย หลังจากได้ดินแดนคืนจึงก่อตั้งที่นี่เป็นรัฐคาซาบลังกาแห่งแอฟริกา

สำหรับใครที่อยากหลีกหนีการท่องเที่ยวที่วุ่นวายในเมืองใหญ่ คาซาบลังกา เป็นจุดหมายที่เหมาะสำหรับการพักร้อน แบกเป้ ท่องเที่ยวสายชิลล์ ที่เมืองติดทะเลแห่งนี้ เพลิดเพลินปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอาหารรสชาติดีเยี่ยม ราคาไม่แพง แถมยังได้วิวดีๆ ติดทะเลอีกด้วย มีร้านเด็ดร้านดังให้ไปอิ่มท้องเพียบ!

อิ่มแล้วไปเดินเล่นตลาดพื้นเมือง เมืองท่าเรือแบบนี้ อาหารทะเลสดๆ ผลไม้สด ผลไม้ดองสีสันน่าหม่ำ ร้านของฝากมากมาย ทั้งงานไม้ งานกระเบื้องแสลักสวยงาม และยังมีร้านขายผ้า สำหรับใครที่ชอบสะสมผ้าถูกใจแน่นอนจ้า ย่านนี้มีร้านคาเฟ่ ร้านกาแฟ ให้นั่งพักเติมความหวาน เสริมคาเฟอีนกันสักหน่อย สายชิลล์ สายกิน ได้อิ่มท้องทั้งของคาวของหวาน แสนสุดจะเพอร์เฟ็ค! อย่าลืมแวะไปเยี่ยมชมจัตุรัสสหประชาชาติพระเจ้ามุฮัมมัดที่ 5  (The Mohammed V Square and Palace of Justice) การเดินทางในเมืองนั้นง่ายมากด้วยการคมนาคมสุดทันสมัย มีเทรม (Tram) ให้บริการหลายจุดในใจกลางเมือง สะดวกสบายที่สุดค่า 

shutterstock_1661981236
 

 

 

 

 

 
เที่ยวชมมัสยิดริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก มัสยิดฮัสสัน ที่ 2 (Hassan II Mosque) มัสยิดที่ใหญ่เป็นอันดับสองในแอฟริกา และใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก ทั้งยังมีหอคอย 210 เมตร ที่สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกอีกด้วย เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมชั้นนำของโมรอคโค โดยกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 มอบหมายให้สร้างขึ้นเพื่อรองรับกิจกรรมที่สำคัญทางศาสนา มีความจุรวมทั้งโถงด้านในและพื้นที่ด้านนอก สามารถรองรับได้ 105,000 คน สถาปัตยกรรมแห่งนี้ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส มิเชล พินโซ และได้รวบรวมช่างฝีมือชาวโมรอคโคจากทั่วราชอณาจักรกว่า 6,000 คนมาลงมือสร้าง ใช้เวลากว่า 7 ปีในการแกะสลักลวดลายประณีตลงบนไม้ซีดาร์ หินแกรนิตสีชมพูจากอากาดีร์ รวมไปถึงการสร้างประตูทองเหลืองไททาเนียม และการบรรจงสร้างน้ำพุสรงน้ำรูปดอกบัวในชั้นใต้ดิน จนเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1993

มัสยิดตั้งอยู่บนแหลมที่ยื่นออกไปในมหาสมุทรแอตแลนติก ตามคำกล่าวของข้อพระคัมภีร์อัลกุรอานที่ระบุไว้ว่า ‘ บัลลังก์ของพระเจ้าถูกสร้างขึ้นบนน้ำ ’ ดั่งรากฐานแห่งคาซาบลังกาที่ยิ่งใหญ่ เวลามองมาจากมุมด้านนอกไม่ว่าจะเวลาไหนมักจะโดดเด่น สวยงามอยู่เสมอ ยิ่งเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ยามที่สีชมพูอ่อนของตัวอาคารวาววับกระทบกับแดดสุดท้ายของวัน หลังคาสีเขียวมรกตนั้นช่างสะดุดตา ผสมผสานกับสีของน้ำทะเลด้านล่าง สายตาถูกสะกดด้วยเกลียวคลื่นขาวซัดเข้าฝั่ง ราวกับช่วงเวลาที่กำลังได้รับพรจากพระเจ้าเลยค่า ^0^

การเข้าชมมัสยิดทุกที่ควรแต่งตัวสุภาพ ระมัดระวัง และให้เกียรติสถานที่ด้วยน้า ห้ามลืมปิดแขน ไหล่ คอ และเข่า แนะนำว่าให้ใส่ถุงเท้าไปด้วย เพราะสำหรับการทัวร์มัสยิดฮัสสันที่ 2 จำเป็นต้องถอดรองเท้าค่ะ  จะมีทัวร์ที่ใช้ระยะเวลาประมาณ 45 นาที ในการพาเราเข้าไปเยี่ยมชมห้องละหมาดและห้องสรงน้ำใต้ดิน สำหรับเรื่องภาษาจะมีให้เลือกแค่ ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และสเปนไว้รองรับค่า เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 05.00 – 22.30 น. ยกเว้นในวันที่มีพิธีทางศาสนาอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงค่ะ อย่าลืมเช็ควันเวลาล่วงหน้ากันก่อนไปด้วยน้า
 
shutterstock_1652712097
 

 

 

 

 

 

 

 
 
 

เที่ยวราบัต (Rabat)

ราบัต เมืองหลวงแห่งโมรอคโค ศูนย์กลางของการเมืองการปกครองบริหารบ้านเมือง มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 7 ของประเทศ และเป็น 1 ใน 4 เมืองจักรพรรดิร่วมกับ เฟส (Fez) มาร์ราเกช (Marrakech) และเมคเนส (Meknes) ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบูเรเกรก (Bou Regreg) ติดชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเมืองซาเล (Salé) ถิ่นฐานเก่าของชาวโรมัน เมืองนี้ได้รับการก่อตั้งโดยสุลต่านอัลโมฮัดเพื่อใช้เป็นป้อมปราการในช่วงขยายอณานิคมช่วงกลางของศตวรรษที่ 11 และสามารถชนะสเปนกับแอฟริกาเหนือได้ในศตวรรษที่ 12 เป็นหนึ่งครั้งประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และถูกจารึกไว้กับเมืองนี้
 

ต่อมาในศตวรรษที่ 17 เมืองราบัตและซาเลได้รวมเข้าด้วยกัน และใช้ชื่อว่า สาธารณรัฐบูเรกเกรก โดยมีโจรสลัดบาร์บารี ชาวมุสลิมเป็นผู้นำในเวลานั้น แต่ในปี ค.ศ. 1907 ฝรั่งเศสก็ได้บุกรุกและยึดเป็นอาณานิคมของตัวเอง ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเติบโตของราบัตเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะชาวฝรั่งเศสนั้นเปิดกว้างมากเรื่องการพัฒนาเมือง เราจะได้เห็นและสัมผัสกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมแบบตะวันออกภายในเมือง ไม่นานนักในปี ค.ศ. 1912 ได้มีการทำสนธิสัญญาในการตั้งเมืองเฟสให้เมืองหลวง แต่แล้วก็มีเหตุเกิดการขัดแย้งของชาวมุสลิมในเมือง ทำให้เกิดการสั่นคลอน ผู้บัญชาการชาวฝรั่งจึงย้ายมาแต่งตั้งให้ราบัตเป็นเมืองหลวงในปีถัดมาและจนถึงปัจจุบัน เพราะหลังจากที่โมรอคโคได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1955 พระเจ้ามุฮัมมัดที่ 5 ซึ่งเป็นกษัตริย์ขณะนั้นได้เลือกที่นี่เป็นเมืองพำนักและยังคงเป็นเมืองหลวงตามเดิมค่า

shutterstock_401157610
 

 

 
ราบัตรวบรวมหลากหลายสถานที่ประวัติศาสตร์ไว้ เช่น สุสานกษัตริย์มุฮัมมัดที่ 5 (Mausoleum of Mohammed V) เป็นสุสานหลวงของกษัตริย์มุฮัมมัดที่ 5 กับบุตรชายทั้งสองของเขา กษัตริย์ฮัสซันที่ 2 และ เจ้าชายอับดุลลา สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1962 หลังกษัตริย์มุฮัมมัดที่ 5 สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1961 ใช้เวลากว่า 6 ปี สำหรับการออกแบบและสร้างโดยสถาปนิกชาวเวียดนาม ใช้แรงงานกว่า 400 ชีวิตจนเสร็จสิ้น เปิดให้เข้าชมในปี 1972 อย่างสมบูรณ์แบบ ตกแต่งผนังภายนอกด้วยหินอ่อนสีขาวที่ดูเรียบง่าย แทรกหินอ่อนสีนิลในการเล่นลวดลายตัดกับหลังคากระเบื้องสีเขียวมรกต ผนังภายในประกอบด้วยไม้ซีดาร์ปิดด้วยแผ่นทองแท้ สีเงางาม อร่าม สุดหรูหรา อลังการ ฝ้าเพดานถูกบรรจงลวดลายโดยใช้เอกลักษณ์ดั้งเดิมของราชวงศ์ ประดับโคมไฟระยาส่องสว่างกลางทางเดิน ปูบันไดหรูด้วยพรหมอย่างเหมาะสมกับสถานที่พำนักสุดท้ายของกษัตริย์ และราชวงศ์ผู้ปกครองแห่งโมรอคโคอย่างยิ่งค่ะ ทั้งด้านในและด้านนอกของสุสานจะมีทหารเฝ้ายามยืนรักษาการอยู่หลายจุด
 

สุสานแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ หอคอยฮัสสัน (Hassan Tower) หรือ สุเหร่าหลวง เดิมเป็นหอคอยสูง 88 เมตร แต่จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่กรุงริสบอนประเทศโปรตุเกส ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง หอคอยจึงถูกทำลาย ทำให้ปัจจุบันมีความสูงอยู่ที่ 44 เมตรค่ะ น่าเสียดายมากๆ เลย TT  จากการออกแบบดั้งเดิมหอคอยฮัสสันหรือสุเหร่าหลวงแห่งนี้อาจจะเป็นสุเหร่าที่สูงและใหญ่ที่สุดในโลก แต่เมื่อกษัตริย์ฮัสสันเสียชีวิตกระบวนการสร้างทั้งหมดจึงถูกหยุดอย่างกะทันหัน เราจะเห็นได้ว่าในจัตุรัสแห่งนี้มีเสา 86 แท่งถูกสร้างทิ้งไว้ เสาเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากศิลปะหรือความตั้งใจแต่อย่างใด เสาเหล่านี้เป็นเพียงเสาที่ถูกทิ้งร้างไว้จากการโครงสร้างเดิมเท่านั้นค่ะ


 

 

 

 

 

 

 

 
สถานที่สำคัญทั้งสองแห่งนี้ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองราบัต ซึ่งห่างจากพระราชวังราบัต (Rabat Royal Palace) มีชื่อทางการว่า El Mechouar Essaid Palace ที่นี่คือที่พำนักของกษัตริย์โมรอคโค ในวันสำคัญทางศาสนา กษัตริย์โมรอคโคจะทรงม้าจากพระราชวังไปยังสุเหร่าหลวงเพื่อประกอบศาสนกิจค่ะ ถ้ามีโอกาสไปท่องเที่ยวในช่วงรอมฎอน อาจจะได้เห็นขบวนทรงม้าของกษัตริย์ประเทศตะวันออกกลางด้วยน้า


 

 
สถานที่เช็คอินสุดท้าย ป้อมไอดูยะ (Kasbah of the Udayas) ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำบูเรเกรก (Bou Regreg) ฝั่งตรงข้ามเมืองซาเล่ เชื่อมต่อกับเมดินาราบัต (Medina Rabat) เป็นมัสยิดเก่าที่มีการก่อสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1150 และได้รับการบรูณะใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 18 ตัวป้อมสร้างขึ้นด้วยอิฐสีแดง มีประตูซุ้มขนาดใหญ่รูปทรงเกือกม้าปลายแหลมหันหน้าไปในทิศทางละหมาด และยูเนสโกได้ยกให้ที่นี่เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมเมื่อ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 2006 ส่วนแยกหลักของป้อมไอดูยะจะมี 2 พิพิธภัณฑ์อยู่ทางตอนเหนือและตอนใต้ บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์การก่อสร้าง

และมีจุดชมวิวที่เรียกว่า the Plage of Rabat ที่สามารถมองเห็นแม่น้ำบูเกร็ก เมืองซาเล่ และมหาสุมทรแอตแลนติก ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันนะคะ พิเศษสำหรับสายปาร์ตี้ สายคอนเสิร์ต ลานกว้างภายในพื้นที่ของป้อมไอดูยะยังเป็นสถานที่จัดเทศกาลดนตรีด้วยนะ! วู้วว เทศกาลดนตรี โมรอคโกนานาชาติ หรือ มาวาซีน (Mawazine) จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในราบัต ปี 2013 มีผู้เข้าร่วมถึง 2.5 ล้านคนจากทั่วโลก มาวาซีนเป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ชาวโลกเห็นว่า ราบัตนั้นเป็นเมืองหนึ่งในโมรอคโคที่เปิดกว้างต่อคนทุกประเทศทั่วโลก
 
shutterstock_1775727623
 

 

 

 


 
 

เที่ยวเมืองสีฟ้าเชฟชาอูน (Chefchaouen)

เชฟชาอูน หนึ่งเมืองเก่าแก่ที่สุดในโมรอคโค ตั้งอยู่ตะวันตกเฉียงเหนือบนภูเขาริฟ (Rif) ของโมรอคโค ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1471 ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักอาศัยสำหรับผู้อพยพชาวมัวร์และชาวยิวในครั้งช่วงสงครามสเปน ในปี ค.ศ. 1930 ชาวบ้านเริ่มการทาสีอาคารบ้านเรือน ประตู หน้าต่าง หรือแม้แต่ทางเดินให้เป็นสีฟ้าด้วยความเชื่อทางหลักศาสนาว่า สีฟ้าหรือสีน้ำเงินเป็นสีตัวแทนของเทพพระเจ้า ทำให้ที่นี่เหมือนโลกใต้ทะเลที่ตั้งอยู่บนเนินเขา มีวิวทิวทัศน์ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม แถมบ้านเมืองยังสะอาดสะอ้าน สมกับชื่อ “ไข่มุกแห่งโมรอคโค”

นอกจากความเชื่อเรื่องสีตัวแทนของพระเจ้าแล้ว ที่นี่ยังมีความเชื่อขำๆ ว่า สีฟ้านั้นช่วยไล่ยุงได้ด้วย เนื่องจากถูกล้อมรอบไปด้วยป่า ภูเขา และแหล่งน้ำจึงทำให้มียุงเยอะ ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหนนะคะ ต้องลองไปพิสูจน์เองแล้วว่าเชฟชาอูนมียุงไหม 55555555
 
เมืองสีฟ้าสถานที่ยอดฮิตสำหรับชาวแบกเป้เที่ยว เมืองสุดชิลล์ สุดคิ้วต์ ที่ไม่ว่ามุมไหนๆ ภายในเมืองก็สามารถถ่ายรูปอวดโซเชียลได้สบ๊าย สบาย ความน่ารักแบบชนพื้นเมืองที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ เหมาะสำหรับเป็นที่พักผ่อน ชาร์จพลังที่สุดค่ะ พักผ่อนแบบสโลว์ไลฟ์สัก 1-2 วัน แวะจิบกาแฟยามเช้า เดินเล่นตามตรอกซอย ชมงานคราฟท์ งานฝีมือของชาวบ้าน แวะไปเที่ยวน้ำตกอัคชัว (Akchour Waterfalls) แช่เท้าเย็นๆ

ยามบ่าย เยี่ยมชมการแสดงอาวุธโบราณที่อุทยานแห่งชาติตาลาสเซ็มทาเน่ (อุทยานแห่งชาติตาลาสเซ็มทาเน่) และแกรนด์มัสยิด (Grand Mosque) จบวันที่เมดินาเชฟชาอูน (Medina Of Chefchaouen) มรดกทางด้านวัฒนธรรมสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่สร้างขึ้นบนเชิงเขา ดูพระอาทิตย์ตกที่ป้อมเชฟชาอูน (the Kasbah of Chefchaouen) ชมวิวทะเล ล้อมรอบไปด้วยสวนดอกไม้ โอบกอดด้วยธรรมชาติของเขาที่แสงอาทิตย์กำลังจะตกลับขอบฟ้า แค่นี้ก็คุ้มสุดจะคุ้มแล้วค่าาาาา ><”
 

 

 

 

 

 

 

 

 
 
 

เที่ยวเฟส (Fez)

เฟส เมืองเก่าแก่ที่สุดในจักรวรรดิโมรอคโค เคยถูกตั้งให้เป็นเมืองหลวงมาแล้วถึง 3 ครั้ง ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 789 โดยสุลต่านองค์แรกของราชวงศ์ Idrisid เมืองแห่งแลนด์มาร์คจากศตวรรษที่ 13 และ 14 เมืองแห่งความเป็นโมรอคโคที่แท้จริง มีชื่อเสียงทั่วโลกเรื่องการเป็นศูนย์กลางด้านศิลปินและช่างฝีมือชั้นดี
เมืองเฟส ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนได้แก่ เฟส เอล-บาหลี (Fes el-Bali) ย่านเมืองเก่าดั้งเดิม ย่านมรดกโลก จัดตั้งโดยองค์การยูเนสโกว่าเป็นหนึ่งในเมืองประวัติศาสตร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดในโลกอาหรับ-มุสลิม และเป็นเมืองทางเท้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วยค่ะ ย่านเศรษกิจของเมืองจุดเด่นของย่านนี้จะมีตรอกซอกซอยกว่าหมื่นซอยเทียบเท่าเขาวงกตขนาดยักษ์กลางเมืองเก่าแก่ เป็นซอยแคบๆ ที่วกไปวนมา ค่อนข้างจอแจ และแออัดไปด้วยผู้คนเป็นพิเศษ เพราะเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารดั้งเดิมมากมาย เรียงรายไปด้วยร้านของที่ระลึก จาน ชา พรม เครื่องปั้นดินเผา งานเซรามิกสีสดใส ระหว่างที่เดินหลงอยู่ในเขาวงกตอาจจะได้เจอกับเจ้าลา ที่กำลังรองานแบกหามของเจ้านายมันอย่างเหงาๆ  

ส่วน เฟส เอล-จดิด (Fes el-Jedid) เป็นย่านที่สร้างขึ้นเพิ่มขยายอาณาเขต เนื่องจากประชากรที่เพิ่มขึ้นของเมืองในศตวรรษที่ 13 อีกหนึ่งอย่างที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือ เครื่องหนัง ตอนเดินเข้าอาจจะได้เจอกับร้านขายกระเป๋าเรียงรายหลากสีสัน ที่นี่เขามี บ่อย้อมสีเครื่องหนัง กว่าร้อยหลุมในการใช้ทั้งกัดและย้อมสีแบบกลางแจ้งไปเลยจ้า อยากได้กระเป๋าสีไหนจิ้มรัวๆ ไปเลยค่า อิ อิ

และสุดท้าย วิลล์ นูแวล (Ville Nouvelle) ย่านเมืองใหม่ เป็นแลนด์มาร์คที่บ่งบอกความเจริญก้าวหน้าของเมืองเฟสไปอีกขั้นหนึ่ง อเวนิวฮันสสันที่ 2 (Avenue Hassan II) แลนด์มาร์คหลักของย่านนี้ ถนนเส้นหลักกลางเมืองขนาดใหญ่ที่มีลานน้ำพุกว้าง หรูหรา ประดับข้างด้วยต้นปาล์มสูง ล้อมรอบด้วยสวนสาธารณะเขียว มีร้านค้ามากมายรอต้อนรับแขกคนสำคัญอย่างเราสำหรับการช้อปปิ้งอยู่แน่นอนค่ะ ฮ่าๆ ^^
 

 

 

 

 

 

 

 

 
 
มาเยือนเมืองหลวงเก่าต้องไปชมวังสิคะ อย่ารอช้า! แวะไปเยี่ยมชม พระราชวังเฟส (Royal Palace of Fez) หรือ ดาร์ อัล-มัคเซิน (The Dar al-Makhzen) พระราชวังของพระมหากษัตริย์ของโมร็อกโกในเมืองของเฟส สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1276 พร้อมกับช่วงที่มีย่านเฟส เอล-จดิดระหว่างการขยับขยายพื้นที่เพื่อรองรับประชากรที่เพิ่มขึ้น หลักเด่นของพระราชวังแห่งนี้คือ มีประตูทางเข้าทั้งหมด 7 ซุ้ม ทำจากไม้ซีดาร์แกะสลัก ตัวกำแพงทางเข้าทั้งหมดประดับด้วยกระเบื้องอย่างดี ประตูสุดอลังการนี้สร้างขึ้นพร้อมกำแพงล้อมรอบพระราชวังในปี 1960 ผลงานชิ้นเอกของงานหัตถกรรมสมัยใหม่ในยุคนั้น เราสามารถเดินชมได้เพียงแค่ประตูทางเข้า สำหรับคนที่จะเข้าไปด้านในได้นั้นต้องเป็นบุคคลที่ได้จดหมายเชิญ หรือผู้ที่ทำงานภายในเท่านั้นค่ะ
 

 

 


 

เที่ยวทะเลทรายซาฮาร่า (Sahara)

เวสเทิร์นซาฮาร่า หรือ ซาฮาร่าตะวันตก ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน และ 2 ใน 3 ของทางเหนือของทะเลทรายตกเป็นภูมิภาคของประเทศโมรอคโคเมื่อประเทศได้รับเสรีภาพหลังจากสงครามสเปน ในปี ค.ศ. 1979 หลายคนอาจจะเข้าใจว่า ทะเลทรายต้องมีแต่ทรายกองเป็นภูเขาใช่ไหมคะ...แต่ความจริงนั้นพื้นที่เขตของทะเลทรายส่วนใหญ่จะเป็นพื้นหินกรวดสีแดง ส่วนภูเขาทรายที่เรียกว่า Sand Dune นั้น จะมีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

การเดินทางไปทะเลทรายซาฮาร่าแนะนำให้เราจองที่พักไว้ก่อนที่จะเดินทางไป ราคาที่พักขึ้นอยู่กับที่ตั้งว่าที่พักนั้นใกล้กับภูเขาทราย หรือ กลางทะเลทรายมากแค่ไหน มาทั้งทีทริปนี้ต้องสายเปย์ละน้า ฮ่าๆ ที่สำคัญควรจะจองรถไว้ด้วยนะคะ เพราะระหว่างทางอาจจะมีจุดแวะพักตามข้างทางที่เป็นแลนด์มาร์คสำหรับมุมถ่ายรูปเกร๋ๆ ด้วยค่า 

มาราเกชเป็นจุดเริ่มต้นที่ใกล้และสะดวกสบายที่สุดสำหรับการที่จะนั่งรถไปซาฮาร่า เราสามารถจองรถทั้งไปและกลับได้ที่โรงแรมที่พักในเมือง ระยะทางจากมาราเกชไปยังประตูเมืองทะเลทรายที่ใกล้ที่สุดคือ 360 กิโลเมตร หรือใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงในการขับรถคือ เมืองซาโกรา (Zagora) ใครที่ต้องการเซฟเวลา แนะนำให้พักในแถบเมืองนี้ค่ะ อาจจะไม่ได้เห็นเนินเขาทรายที่ใหญ่มาก สำหรับใครที่อยากจะไปให้สุดหยุดที่ใจกลางซาฮาร่าก็บวกเพิ่มไปอีก 4-7 ชั่วโมง ห่างจากตัวเมือง 560 กิโลเมตร ยินดีต้อนรับสู่ประตูเมืองเมอร์ซูก้า (Merzouga) ที่นี่เราจะได้เห็นพื้นทรายสีส้มเคลื่อนตัวเป็นคลื่นและเนินเขาทรายที่วาดฝันไว้แน่นอนค่ะ ใครแพลนที่จะไปยังเมอร์ซูก้า ขอแนะนำให้แวะพักที่หมู่บ้านดินในเมืองวาร์ซาเซตกันก่อนก็ดีน้า ขับรถนานๆ ทั้งเหนื่อยทั้งล้า ชาร์จพลังสักนิดแล้วค่อยเดินทางต่อนะคะ
 
กิจกรรมที่พลาดไม่ได้ในการมาเยือนซาฮาร่าคือ การขี่อูฐดูพระอาทิตย์ตก นั่นเอง! Wishlist อันดับต้นๆ ของเหล่านักเดินทางที่จะได้มาสัมผัส และเห็นเองกับตา แสงพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับหายไปกับเนินเขาสีส้มในดินแดนฟ้าจรดทรายนั้นสวยเกินคำบรรยายมากจริงๆ ค่ะ เป็นภาพที่สวยมากกกก กอไก่ล้านตัวก็คงไม่พอ กับประสบการณ์ครั้งนี้ หนึ่งในความฝันของใครหลายคนนั้นคงสมบูรณ์แบบที่สุดในที่แห่งนี้

กิจกรรมสนุกๆ ไม่ได้จบเพียงแค่นั้น การแคปปิ้ง ดูดาว ยังเป็นอีกไฮไลท์ของการเดินทางมาไกลแสนไกล เมื่อพระอาทิตย์ลับฟ้า ความหนาวเย็นเริ่มเพิ่มขึ้น ใส่เสื้อโค้ชตัวอุ่น นั่งผิงไฟใต้ทะเลดาวกลางทะเลทราย เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เติมเต็มทริปนี่ได้ดีสุดๆ จิบไวน์แดงชมทางช้างเผือกก่อนเข้านอน คืนนี้คงอาจจะเป็นคืนที่ฝันดีที่สุดในชีวิตเลยค่ะ (~ ̄▽ ̄) ❤️


shutterstock_172205372
 

 

 

 

 

 

 

 

 
เที่ยวหุบเขาดาเดส (Dadès Valley)


หุบเขาดาเดส หรือ ช่องเขาดาเดส (The Dadès Gorges) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของโมรอคโค หุบเขาแห่งนี้นี้ในอดีตกว่าหลายล้านปีเคยอยู่ใต้ทะเล ซึ่งภายใต้ท้องทะเลมีตะกอนจำนวนมากสะสมไว้รอบ แนวปะการัง และเมื่อเวลาผ่านไปเกิดการเคลื่อนย้ายของเปลือกโลก ทำให้น้ำทะเลแห้งไป และผุดกลายเป็นหุบเขาดาเดสขึ้นมา และภายหลังการยกตัวของภูเขาทำให้เกิดแม่น้ำแทรกตัวขึ้นมา แม่น้ำดาเดส (the Dadès River) เริ่มค่อยๆ ไหลกัดเซาะหินตะกอนที่มีรูพรุนของภูเขาออกไป และในช่วงฤดูพายุทำให้เกิดกระแสน้ำเชี่ยวไหลกระเซาะหน้าหินแรงจะกร่อนเป็นร่องเขาที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นทุกฤดูกาลพัดหลากของน้ำ
 
ภายในหุบเขาดาเดสมีแนวเทือกเขาชื่อว่า ทอดราจอร์จ (Todra Gorge) มีลักษณะเป็นช่องเขาที่มีความกว้างประมาณ 10 เมตรล้อมรอบด้วยกำแพงหินสูง 160 เมตร ตามแนวเขามีแม่น้ำดาเดสไหลผ่าน เพราะวิวทิวทัศน์ที่แปลกตาของแนวเทือกเขา รวมทั้งยังขึ้นชื่อว่าการเดินทางมีที่นี่นั้นต้องผ่าฟันถนนคดเคี้ยวกลางหุบเขาสูงชัน หุบเขาดาเดสจึงกลายหนึ่งจุดเช็คอินสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ผู้รักการผจญภัย สำหรับใครที่ไม่ใช่สายแอดเวนเจอร์ก็อย่าพลาดน้า ไปให้เห็นกับตาตัวเองว่าความอลังการที่ธรรมชาติสร้างนั้น เอาไปโม้ต่อได้อีกหลายรุ่นเลยน้า

shutterstock_400556404
 

 

 

 

 


 
เที่ยววาร์ซาเซต (Ouarzazate)

 
วาร์ซาเซต  เมืองเล็กๆ ทางใต้ของเทือกเขาไฮแอตลาส เป็นจุดแวะพักสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปแนวหุบเขาทอดราจอร์จ หรือ หุบเขาดรา และเป็นประตูสู่ทะเลทรายซาฮาร่า ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของสตูดิโอภาพยนตร์ Ouallywood พื้นที่ซึ่งใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์โด่งดังระดับโลกอย่าง เดอะมัมมี่ (The Mummy) และ นักรบผู้กล้าผ่าแผ่นดินทรราช (Gladiators) และมหาศึกชิงบัลลังก์ (Game Of Thrones) ด้วยพื้นที่และทิวทัศน์ที่สร้างความน่าเชื่อให้กับภาพยนตร์ที่มีฉากในทิเบต โรมโบราณ โซมาเลีย และอียิปต์ ใครที่เป็นสาวกหนังดังฮอลลีวูดพลาดไม่ได้แล้ว! -

ที่นี่กิจกรรมสุดหรรษาอย่าง การทัวร์ CLA Studios แต่งชุดคอสเพลย์เป็นตัวละครดังจากภาพยนตร์ดัง เดินทัวร์พร้อมกับไกด์แบบส่วนตั๊ว ส่วนตัว เราจะได้อึ้งไปกับความอลังการของฉากเซ็ตต่างๆ ทั้งรูปปั้นทองคำของเจ้าหญิงครีโอภัตตาขนาดยักษ์ อุปกรณ์ประกอบฉากที่เคยเห็นผ่านตาในภาพยนตร์ ปลอดปล่อยจินตนาการให้โลดแล่นไปกับความแฟนตาซี ค่าเข้าชมพร้อมกับไกด์ส่วนตัวสำหรับครอบครัวหรือสำหรับกลุ่มเพียงแค่ 50 เดอร์แฮม หรือ ประมาณ 448 บาทเท่านั้นเองค่า ไปเก็บบันทึกเป็นความทรงจำว่า ครั้งหนึ่งฉันก็เป็นติ่งหนังฮอลลีวูดตัวหยงเหมือนกันนะเนี่ย ฮ่าๆ ^0^
 
shutterstock_1060507616

shutterstock_400564318


 

 

 

 

 

 
 
เที่ยวเมืองไอท์ เบนฮาดดู (Ait benhaddou)


ไอท์ เบนฮาดดู เป็นเมืองป้อมปราการ หรือ คซาร์ (Ksar) ในปี ค.ศ. 1987 ได้ถูกจัดตั้งจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเขตมรดกโลก เมืองนี้อยู่บนเชิงเขาทางใต้ของไฮแอตลาสระหว่างเมืองมาราเกชและวาร์ซาเซต ลักษณะเป็นหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ มีอาคารที่สร้างขึ้นจากโคลนดินแห้งสีแดง การจัดวางของอาคารต่างๆ ถูกสร้างขึ้นแบบกะทัดรัด ค่อนข้างเบียดเสียดกัน มีเฉพาะบางอาคารเท่านั้นที่ใหญ่ และถูกสลักลวดลายไว้อย่างแตกต่าง มีข้อสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นปราสาท หรือหอคอยของเมือง อาคารแต่ละหลังสร้างเรียงต่อกันเป็นป้อมปราการโดยกลยุทธ์ของเผ่านักรบที่ควบคุมเทือกเขาแอตลาส คาดว่าสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17  เคยเป็นพื้นที่ชุมชนพักอาศัย จุดชัยภูมิทางการรบที่ดีมีแม่น้ำเมลลาห์ (Mellah) ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของเมือง และล้อมรอบด้วยหุบเขาอูนิล่า (Ounila Valley) เมืองนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ในการถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง ได้แก่ Lawrence of Arabia , Jesus of Nazareth, Gladiator, Game of thrones, The Mummy และอีกหลายเรื่องตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 เป็นต้นมา

สาเหตุที่ไอท์ เบนฮาดดู ถูกเรียกว่า "เมืองสีส้ม" เพราะว่าเมืองนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาที่มีแสงแดดส่องถึงตลอดเวลา และเมื่อยามที่แสงอาทิตย์ส่องไปยังตัวเมือง อาคารตั้งๆ ที่สร้างขึ้นจากดินโคลนสีแดงก็กลายเป็นสีส้มสดสว่างไปทั่วทั้งเมืองนั่นเองค่า ถึงเมืองนี้จะร้อนเพราะแสงอาทิตย์ตลอดเวลากลางวัน แต่เมื่อเราได้ลองเดินเข้าไปในตัวอาคาร จะไม่รู้สึกร้อนอีกเลย เพราะตัวอาคารเหล่านี้ไม่ดูดความร้อนกลับทำให้คนพักอาศัยเย็นสบายอีกด้วย
 
shutterstock_309211601
 

 

 

 


 
เที่ยวเทือกเขาสูงแอตลาส (High Atlas)


ไฮแอตลาส เทือกเขาที่สูงที่สุดของแอฟริกาเหนือ หรือ 'Idraren Draren' (ภูเขาแห่งขุนเขา) เป็นชื่อเรียกของชาวเบอร์เบอร์ เป็นเทือกเขาที่ทอดยาวแทรกตัวเข้าไปในเมืองโมรอคโคกว่า 1,000 กิโลเมตร และล้อมรอบเมืองมาราเกชทั้งทางทิศใต้และทิศตะวันออกจากชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกทางเหนือ สุดจนทอดยาวไปทางทิศตะวันออกจนถึงชายแดนโมรอคโค-แอลจีเรีย ทำหน้าที่เหมือนเกราะกำบังป้องกันเมืองจากสภาพอากาศที่แปรปวน

ใครที่อิจฉาชีวิตท่ามกลางธรรมชาติต้องหลั่งน้ำตาให้กับวิวที่สวยงามของหมู่บ้านชาวพื้นเมืองอย่างแน่นอนค่ะ เพราะปัจจุบันยังมีชาวพื้นเมืองเบอร์เบอร์ส่วนหนึ่งอาศัยอยู่ภายในพื้นที่ของเทือกเขา บ้านหลังเล็กหลังน้อยถูกปลูกขึ้นเป็นเกาะน้อยๆ หลายจุด อยู่กับอย่างเงียบสงบ ล้อมรอบไปด้วยทุ่งหญ้ากว้างเขียวชอุ่มมีพื้นที่ให้ลูกๆ วิ่งเล่นอย่างเหลือเฟือ พร้อมกับแม่น้ำไปมาหล่อเลี้ยงตลอดทั้งปี ในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤษภาคมความเขียวขจีจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาว เป็นภาพวิวที่เราอดอิจฉาไม่ได้ แต่สำหรับชาวเบอร์เบอร์คงเป็นเรื่องธรรมดา 5555555555 และอาจจะเป็นอะไรที่แปลกตาเมื่อระหว่างทางที่เราเข้าเขตทะเลทรายในเส้นทางสู่ซาฮาร่า แต่กลับเห็นยอดเขาขาวที่มีหิมะปกคลุม The cold never bothered me anyway เอลซ่าไม่ได้กล่าว ซาฮาร่ากล่าวเองจ้า ~( ̄▽ ̄)~*

สำหรับคนที่ชื่นชอบการปีนเขาที่นี่มีเส้นทางการเดินป่าให้ได้เข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติอย่างเต็มอิ่ม ถ้ารักการท้าทายมากขึ้นหน่อย ด้านบนของเทือกเขาแอตลาสยังมีอุทยานแห่งชาติทูบคาล (Toubkal National Park) ที่อยู่สูงขึ้นไป 70 เมตร รอให้เหล่านักปีนเขาขึ้นไปพิชิต เพิ่มความแอดเวนเจอร์มากขึ้นไปอีกสำหรับนักปั่น ทางอุทยานมีทัวร์ปั่นวิบากไว้บริการด้วยค่ะ จุดชมวิวเทือกเขาแอตลาสตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองมาราเกชประมาณ 4 ชั่วโมง เดินทางมาง่ายๆ โดยการขับรถ ถนนลาดยางสะดวกสบาย แต่ค่อนข้างคดเคี้ยว ระมัดระวังขับขี่อย่างปลอดภัยนะคะ สำหรับใครที่แพลนจะเช่ารถขับท่องเที่ยวกันเองแบบเป็นกลุ่มเพื่อน หรือ ครอบครัว เพราะทุกการเดินทางเรื่องปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญที่สุดน้า
 
shutterstock_568139173