เที่ยวในมิวนิค (Munich) เยอรมัน มนต์สเน่ห์แห่งเมืองหลวงแคว้นบาวาเรีย เมืองที่แต่งแต้มแบบสไตล์ยุโรปรวมสมัย แต่ก็ไม่ได้ทิ้งความเป็นมาและประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 เมืองนี้ถูกรอบล้อมไปด้วยเทือกเขาแอลป์ ทำให้เรารู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา จากวิวทิวทัศน์และธรรมชาติที่งดงาม แต่ก็ไม่ขาดสีสันของความสนุกสนานของศิลปะหลากรูปแบบหลายสไตล์แน่นอนค่า

 

เที่ยวปราสาทนอยชวานชไตน์ (Neuschwanstein Castle)


ปราสาทนอยชวานชไตน์ (Neuschwanstein Castle) ตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์แถบแคว้นบาวาเรีย มิวนิค ประเทศเยอรมนี เป็นปราสาทที่งดงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค. ศ. 1868 โดยคำสั่งของกษัตริย์ลุดวิกที่สองแห่งบาวาเรีย ซึ่งต้องการให้ปราสาทนั้นมีสไตล์เป็นของตัวเอง และสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอัศวินนักรบชาวเยอรมัน เขาต้องการสร้างที่นี่ไว้เพื่อเป็นแหล่งพักพิงและที่อยู่อาศัย ทำให้ที่แห่งนี้มีห้องจำนวนมากมายไว้อำนวยความสะดวกสบาย รวมไปถึงวิวทิวทัศน์ของปราสาทนั้นชวนให้เพลิดเพลินยิ่งนัก ซึ่งความโรแมนซ์ขนาดนี้ ก็ทำให้กษัตริย์ลุดวิกที่สองแห่งบาวาเรียนั้นถูกขนานนามว่า เป็นคนที่มีความโรแมนติคและอินกับความรักมากๆ เลยค่ะ >//<

หลังจากการเสียชีวิตของกษัตริย์ลุดวิกในปี ค. ศ. 1956 ที่นี่ก็เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชม และศึกษาประวัติความเป็นมาของปราสาทนอยชวานชไตน์ ทุกวันนี้ปราสาทแห่งนี้ถูกขนานนามว่า “ปราสาทแห่งเทพนิยาย” สาวๆ สายฟรุ้งฟริ้งเจ้าหญิงทั้งหลายคงรู้กันแน่นอนว่า ปราสาทเจ้าหญิงนิทรา ที่สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ ก็ใช้ที่นี่เป็นต้นแบบด้วยนะจ๊ะ











เนื่องจากหญิงปุ๊กไปเที่ยวเยอรมัน และยุโรปตะวันออกช่วงปีใหม่ ทำให้เมืองทั้งเมืองปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนตลอดทั้งทริป ช่างโรแมนติคตรงคอนเซ็ปของกษัตริย์ลุดวิกเลยเพคะ อิอิ เลยแอบมโนว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงเอลซ่า ในหนังเรื่อง Frozen ด้วยละค่าาาา ฮ่าๆๆ มันก็จะแฮปปี้ๆๆ นิ๊สนึง >< คลิกที่หัวข้อเพื่ออ่านรีวิวเพิ่มเติมนะค้า





โดยรวมแล้วตัวปราสาททั้งหมดใหญ่ม๊ากกกก ด้านนอกสวยงามอลังการ แต่ด้านในสร้างไม่เสร็จนะคะ วิธีการขึ้นปราสาทมี 3 วิธีคือ เดินขึ้น ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที นั่งรถบัสขึ้น 10 นาที หรือนั่งรถม้าขึ้น ซึ่งเสียเงินแพงสุด แต่ดูดีมีชาติตระกูลที่สุด ทีแรกเราก็ว่าจะขึ้นรถบัสกัน เพราะสะดวกและทำเวลาได้ดีที่สุด แต่หิมะตก ลมแรง รถบัสปิดให้บริการ เลยต้องนั่งรถม้าแทน ต้องรอคิวชั่วโมงกว่า โคตรจะหนาว ยืนหนาวรอคิว ออกแนวอดทนและทรมาน แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี คือ ได้นั่งรถม้าเป็นคันสุดท้าย เย้เฮแต่... ขาลง หญิงปุ๊กก็ต้องเดินลงนะคะ ค่อยๆ เดินใช้เวลาไป 30-40 นาที ถึงลานจอดรถ พื้นลื่น และเอียงตลอด แอบเจ็บเท้าเหมือนกัน น้องม้าเหนื่อยหยุดพัก ไม่มาบริการเจ้าหญิงปุ๊กเลย หญิงหนาวววววนะ!





ม้าพาเรามาส่งด้านบนแล้ว เราก็เข้าไปรับประทานอาหารก่อน แล้วก็เดินต่อไปอีกนิด ไปยังประตูทางเข้าปราสาทจ้า ปราสาทสู้งงงสูง การเข้าปราสาทเข้าในต้องรอคิว ตามที่ได้ซื้อตั๋วจองไว้ตั้งแต่ด้านล่าง เนื่องจากภายในปราสาทเค้าไม่ให้ถ่ายรูป เลยได้มาแต่รูปห้องครัวก่อนออกนะจ๊ะ แต่ตามห้องต่างๆ ในปราสาทไม่ได้สวยงามอะไรมาก ยกเว้นห้องที่ประดับด้วยหงส์ค่ะ เมื่อชมปราสาทเสร็จแล้ว ก็แวะมาถ่ายรูปวิวปราสาท และภาพมุมสูง นอกจากนี้ในบริเวณใกล้เคียง ก็มีอีกหนึ่งปราสาท ชื่อโฮเฮนชวานเกา Hohenschwangau แต่ว่าเราไม่ได้เข้าไปค่า



 

เที่ยวพระราชวังพระราชวังเรสซิเดนซ์ มิวนิค (Residenz Munich)


พระราชวังเรสซิเดนซ์ มิวนิค (Residenz Munich) หรือ Residenz München สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1385 ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองสมัยก่อนเรียกว่า Neuveste หรือในปัจจุบันคือ มิวนิค (Munich) นั่นเองค่า ที่นี่ถูกยกให้เป็นพระราชวังใจกลางเมืองที่มีชื่อเสียง และมีขนาดใหญ่มากที่สุดของประเทศเยอรมัน เคยเป็นที่ประทับและทรงงานของกษัตริย์แห่งแคว้นบาเยิร์นมากว่า 500 ปี! และยังเป็นที่ตั้งของรัฐสภาเยอรมันในสมัยนั้นๆ อีกหลายยุคสมัยด้วย ซึ่งภายหลังเกิดการปฏิวัติทำให้บ้านเรือนและชุมชนพังเสียหายมากมาย รวมทั้งพระราชวังเรสซิเดนซ์ด้วย ในปี ค.ศ. 1918 เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองสงบลง พระราชวังและรัฐสภาแห่งนี้ก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์การออกแบบภายใน ใช้เป็นที่เก็บสะสมงานทางศิลปะและเป็นคลังเก็บสมบัติของกษัตริย์ รวมถึงมีอนุสาวรีย์หินสลักภาพภาพของผู้อุปถัมภ์ผู้ปกครองจาก House of Wittelsbach ผู้ปกครองบาวาเรียตั้งแต่ ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นไป และเปิดให้ประชาชนเข้าชมตอนปี ค. ศ. 1920 จ้า

แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อสงครามสิ้นสุดลงพระราชวังเรสซิเดนซ์จึงถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี ค. ศ. 1945 พร้อมทั้งมีการสร้างพิพิธภัณฑ์ของกรมบาวาเรียพาเลซ และสถาบันทางวัฒนธรรมอื่นๆ และที่นี่ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในบาวาเรียคอมเพล็กซ์ด้วยนะคะ









พระราชวังแห่งนี้สวยงามยิ่งใหญ่อลังการมากๆ ทั้งการออกแบบตกแต่งภายในและภายนอก ในตัวอาคารมีห้องทั้งหมดกว่า 130 ห้อง แต่ละห้องแสดงถึงความมั่งคั่งและความสวยงามหรูหราแตกต่างกันไป มีภาพวาดอันสวยงามที่แฝงวิถีชีวิตของชาวบาวาเรียไว้มากมาย และยังมีสมบัติต่างๆ ทั้งเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเคลือบ เครื่องเงิน และภาพเขียนทางประวัติศาสตร์โดยเฉพาะประวัติความเป็นมาของพระเยซู และห้องไฮไลท์ที่ควรเยี่ยมชมก็คือ  Antiquarium Hall of Antiquities ห้องโถงสไตล์เรอเนสซองส์ที่มีความสวยงามมากกกกค่ะ ต้องชมจริงๆ





ภายในอาคารยังมีโรงละครที่เรียกว่า Cuvilliés Theatre บอกเลยว่าอึ้งกับอลังการและหรูหราตามแบบฉบับเรอเนสซองส์ไปเลยเจ้าค่า โรงละครแห่งนี้ถูกยกมาสร้างขึ้นใหม่ในพระราชวังเรสซิเดนซ์หลังจากถูกทำลายไปในปี ค.ศ. 1944 ยังเคยถูกตั้งชื่อให้เป็น "โอเปร่าเฮาส์แห่งใหม่" โดยสถาปนิก François Cuvilliés Elder ผู้ออกแบบ แต่ปัจจุบันถูกเรียกว่า Old Residence Theatre







และไม่ละสายตาไปไม่ได้เลยกับ ศาลสวน (Court Garden) สวนหญ้าสไตล์ยุโรปขนาดใหญ่ ที่ตั้งโดดเด่นอยู่ทางด้านหลังหรือโซนล่างของพระราชวังเรสซิเดนซ์ การออกแบบที่ดึงดูสายตากับลานน้ำพุสี่ทิศที่แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากจะไปนั่งพักผ่อนหย่อนใจหามุมถ่ายรูปสวยๆ โพสต์ลงอินสตราแกรมสักรูปสองรูป ชัวร์!







ใครที่ชอบสายพิพิธภัณฑ์ไม่ควรพลาดจริงๆ ค่ะ เพราะมีความยิ่งใหญ่อลังการมว๊ากกก เดินเป็นชั่วโมงยังไม่ทั่วนะบอกเลย สุดจะคุ้มค่า โดยเปิดให้เยี่ยมชมในวันอังคาร-วันอาทิตย์ ในเดือนเมษายน-ตุลาคม เวลา 9.00-18.00 น. เดือนพฤศจิกายน-มีนาคม เปิดเวลา 10.00-16.00 น. ค่าเข้าชม 5 ยูโร เด็กไม่เสียเงินจ้าา ดูข้อมูลได้ที่ http://www.residenz-muenchen.de/englisch/tourist/index.htm

ก่อนอื่นก็เข้ามาซื้อตั๋วก่อนเลยจ้า ในวังนี้มี 3 โซน 1. ชมวัง 2. ห้องสมบัติ 3. โรงละคร แต่หญิงปุ๊กแค่ชมวังอย่างเดียวค่า ถ้าใครมีเวลาก็เข้าไปชมสมบัติกับโรงละครได้นะค้า แล้วก็ด้านในมีร้านของฝากด้วยนะคะ ร้านค้าพิพิธภัณฑ์ของกรมบาวาเรียพาเลซ จริงๆ ร้านนี้เดินเข้ามาก็เจอก่อนห้องไหนๆ เลย ก่อนออกผ่านอีกรอบก็สามารถเลือกซื้อของเก็บเป็นไว้ที่ระลึกได้เลยค่ะนักสะสมทั้งหลาย





 

เที่ยวจตุรัสมาเรียน พลัทซ์ (Marienplatz)


จตุรัสมาเรียน พลัทซ์ (Marienplatz) หรือ จัตุรัสมารี (Mary) แลนด์มาร์คใจกลางเมือง ที่นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับคนที่มาท่องเที่ยวในมิวนิคค่า ในอดีตพื้นที่นี้เคยเป็นตลาดเรียกว่า “ตลาดสี่เหลี่ยม” ภายหลังได้กลายเป็นที่ตั้งของ New Town Hall ได้รับการออกแบบและตกแต่งในสไตล์โกธิค ในบริเวณจตุรัสประกอบไปด้วย ศาลากลางเก่าที่มีซุ้มประตูและหอคอย ศาลาว่าการ New Town สถาปัตยกรรมเสารูปปั้นของพระแม่มารีสีทอง น้ำพุปลา และหอคอย Glockenspiel ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ในช่วงฤดูร้อนจะมีการโชว์ระบำตุ๊กตาในช่วงเวลา 11.00 น. - 12.00 น. และ 17.00 น. แต่ในช่วงฤดูหนาวเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ไม่มีการแสดงในช่วงเย็นนะคะ











รอบๆ ใกล้กับจัตุรัสมี Spielzeug Museum หรือ พิพิธภัณฑ์ของเล่น ให้คนรักการสะสมของกุ๊กกิ๊กน่ารักได้ไปลองแวะชมกัน ค่าเข้าชมแค่ 5 ยูโร เท่านั้นค่า หลังจากดูของเล่นกันไปแล้วถัดมาก็จะมี โบสถ์ Heiliggeistkirche หรือ Church of the Holy Ghost โบสถ์โกธิคขนาดใหญ่ที่มีการตกแต่งหลังคาโบสถ์ด้วยกระเบื้องโมเสกอย่างสวยงาม ใช้เป็นที่พักอาศัยแก่พระธุดงค์ผู้นับถือพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสำหรับสายกินสายช้อป ย้ำ! ห้ามพลาดกับตลาด Viktualienmarkt เดินจากจัตุรัสไม่ไกลเลยค่า





ส่วนใครมีแพลนที่จะไปเที่ยวเยอรมันก่อนคริสมาสต์ก็อย่าลืมถือโอกาสแวะเวียนไปที่ Christmas Market หรือ ตลาดคริสมาสต์ กันนะคะ งานจะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน ถึง 24 ธันวาคม ของทุกปี โดยตลาดนี้จะมีในช่วงเวลาเดียวกับการสรรเสริญพระเยซูเจ้าในช่วงที่ทรงประสูติ และปรินิพพานที่เป็นพิธ๊กรรมของชาวคริสเตียน งานนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ มีทั้งต้นคริสมาสต์ขนาดยักษ์ และไฟที่ประดับประดาอย่างสวยงาม ณ กลางลานจตุรัสมาเรียน พลัทซ์





 

เที่ยวพระราชวังนิมเฟนบูร์ก (Nymphenburg Palace)


พระราชวังนิมเฟนบูร์ก (Nymphenburg Palace) ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1664 เพื่อเป็นที่พำนักหน้าร้อนของราชวงศ์กษัตริย์แห่งบาวาเรียมาก่อนค่า ซึ่งภายหลังจากสงครามสเปนได้มีการเปลี่ยนยุคสมัยของกษัตริย์พระราชวังแห่งนี้ก็ถูกขยาย ต่อเติม และออกแบบตกแต่งใหม่ ในปี ค.ศ. 1745 สถาปนิก Joseph Effner ร่วมกับมือสถาปนิกชาวฝรั่งเศส Dominique Girard ออกแบบโครงการสร้างพระราชวังนิมเฟนบูร์กขึ้นใหม่ ตัวอาคารที่พักของราชวงศ์จะถูกสร้างขึ้นอยู่ด้านหน้าของพระราชวัง ส่วนที่พักของพวกลูกขุนนั้นจะสร้างเป็นกำแพง 5 ทิศ ล้อมกั้นพระราชวังอยู่ภายด้านนอกตั้งอยู่ในเขตกลางเมือง พื้นที่และอาคารทั้งหมดจะตกแต่งเป็นสไตล์บาโรก

ซึ่งสถาปนิกทั้งสองเรียกแผนโครงการนี้ว่า “เมืองในอุดมคติ” สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับครอบครัวขนาดใหญ่ของราชวงศ์และเหล่าขุนนางได้นั่นเองค่า ภายในของพระราชวังตกแต่งไปด้วยเครื่องกระเบื้องปั้นมือ และของประดับตกแต่งทั้งหลายผลิตมาจาก Nymphenburg Porcelain Manufactory ซึ่งเป็นอาคารผลิตและประดิษฐ์ของตกแต่งในพระราชวัง ต้องอลังการเบอร์ไหนกันคะเนี่ย!









ต่อมาจักรพรรดิชาร์ลส์ที่เจ็ดทรงต้องการสร้าง The Palace’s crescent หรือ เสี้ยวพระราชวัง เรียกง่ายๆ ว่า วังลูกนั่นเองจ้า โดยที่พระองค์มีพระประสงค์จะสร้าง Charles Town ขึ้นมาในเขตพระราชวังนั่นเองค่า ซึ่งวังลูกที่พระองค์รักมากและภูมิใจมากที่สุดคือ วัง Amalienburg ที่นี่ถูกตกแต่งด้วยอัญมณี Rococo อันสง่างาม ออกแบบโดย FrançoisCuvillés Elder ซึ่งเป็นสถาปนิกที่ได้รับการฝึกฝนมาจากกรุงปารีส ได้นำศิลปะแบบมิวนิคมาผสมผสานทำให้เกิดสุดยอดของการออกแบบที่นี่นั่นเองค่า





นอกจากวัง Amalienburg แล้ว จะมีวังลูกอีก 3แห่ง คือ วัง Badenburg ที่ถูกเรียกว่า ห้องอาบน้ำชั้นดีของกษัตริย์ ไฮไลท์คือพื้นของห้องน้ำถูกตกแต่งด้วยกระเบื้องของชาวดัตช์ และชั้นลอยด้านบนห้องน้ำประดับด้วย scagliola ส่วนบนฝาผนังนั้นได้มีการลงลวดลายศิลปะเป็นรูปน้ำพุอย่างงดงาม นึกถึงห้องอาบน้ำในแฮร์รี่พอตเตอร์เลยละค่ะ



เครดิตรูปจาก https://www.flickr.com/photos/reduit/3992886617

ถัดมา วัง Pagodenburg การออกแบบจะมีกลิ่นอายของวังสไตล์อินเดีย ที่วังนี้ข้างๆ จะมีสนาม Mailspiel (กีฬาคล้ายๆ กอล์ฟ) ขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นที่พักผ่อนของกษัตริย์กับเหล่าหญิงสาวหลังเล่น Mailspiel เสร็จค่า





และสุดท้าย วัง Magdalenenklause ที่นี่ไม่ได้สร้างเพื่อความหรูหราแต่สร้างขึ้นเพื่อเป็นศาล และเป็นที่พักของนักบวช ตั้งอยู่ในพื้นที่รกร้าง ภายนอกมีการออกแบบตกแต่งให้ดูเก่า การทำสีขาวตามร่องอิฐให้ดูเหมือนรอยแตก เพื่อเตือนสติเกี่ยวกับความอ่อนแอที่เกิดขึ้นบนโลก ภายในโบสถ์จะมีแท่นบูชา ไม้กางเขนและเชิงเทียน รวมถึงมีการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีเข้ม





ปัจจุบันที่นี่กลายเป็นพระราชวังเก่าและมีพิพิธภัณฑ์ Marstallmuseum with Museum of Nymphenburg Porcelain ซึ่งรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับคอกม้าเก่าของพระราชวังนิมเฟนบูร์ก มีการเล่าประวัติความเป็นมาของสถานที่ตั้ง และมีทั้งการจัดโชว์ของรถม้าที่นำเอามาตกแต่งใหม่อย่างสวยงามหรูหรา รวมถึงประติมากรรม ภาพวาดเกี่ยวกับเรื่องราวของคอกม้านี้ในสมัยนั้นค่า





เครดิตรูปจาก https://hiveminer.com/Tags/germany%2Cmarstallmuseum

แต่นอกจากการชมพระราชวัง ดูพิพิธภัณฑ์แล้ว ยังมีอีกหนึ่งกิจกรรมที่แนะนำค่า สำหรับใครที่ไปเที่ยวในช่วงฤดูร้อน (เมษายนถึงกลางเดือนตุลาคม) อย่าลืมไปลองนั่งเรือแจวในคลองชมวิวรอบพระราชวังดูนะค้า เรือมีบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00 น.  ซึ่งใช้เวลาการทัวร์รอบละประมาณ 30 นาที ราคาเพียงคนละ 15 ยูโรเองค่า สำหรับใครที่พาลูกๆ ที่อายุน้อยกว่า 7 ขวบไปด้วย สามารถนั่งฟรีได้ทั้งครอบครัวเลยน้า คุ้มสุดๆ ส่วนใครที่ชอบขี่ม้าสามารถจองขี้ม้าชมพระราชวังได้ด้วยนะคะ สามารถดูรายะเอียดได้ที่ www.gondel-nymphenburg.de



 

เที่ยวพิพิธภัณฑ์ BMW (BMW Museum)


พิพิธภัณฑ์ BMW (BMW Museum) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1973 เป็นสถานที่จัดแสดงวิวัฒนาการของรถยนต์ BMW ซึ่งมีต้นกำเนิดที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี นี่เราเพิ่งมีรถยนต์ใช้กันเมื่อ 100 ปีที่แล้วเองหรือนี่ ตึกที่เราเห็นเป็นอาคารรูปทรงกระบอกสูบรถยนต์ คือสำนักงานใหญ่ ส่วนตัวตึกที่มีลักษณะเป็นชามคือพิพิธภัณฑ์ ค่าก่อสร้างตึกประมาณ 9,500 ล้านบาทเท่านั้นเองค่าาาา 555 เฮือกก

คำว่า BMW ย่อมาจาก Bavarian Motor Work (Bayerische Motoren Werke) โดยผู้ผลิตรถยนต์ 3 บริษัทใหญ่ Rapp Motorwn werk, BayerischeFlugzeugweke และ Fahrzeugfabrik Eisenach ได้รวมตัวก่อตั้งบริษัทสร้างเครื่องยนต์ สำหรับเครื่องบิน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีแนวคิดในการผลิตมอเตอร์ไซค์ เนื่องจากต้นทุนต่ำกว่า โดยโลโก้รูปวงกลมใบพัดฟ้าขาว ซึ่งหมายถึงลักษณะการหมุนของใบพัดเครื่องบิน สีฟ้าและสีขาว เป็นสีประจำแคว้นบาวาเรียนั่นเองจ้า







บริเวณการจัดแสดงหลักของพิพิธภัณฑ์จะมีทั้งหมด 7 ห้อง ได้แก่ House of Design (ห้องออกแบบ) House of Company (ห้องประวัติของบริษัท) House of the Motorcycle (ห้องเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์) House of Technology (ห้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีของ BMW) House of Motor Sport (ห้องเกี่ยวกับเครื่องยนต์รถสปอร์ตสปอร์ต) และ House of the Series (ห้องเกี่ยวกับรถทุกซีรี่ย์ของแบรนด์ BMW) ส่วนโซนรอบๆ ยังเพิ่มมาอีก 2 ส่วนนะคะ โซนแรกคือ BMW ROADSTER อีกหนึ่งความสำคัญในประวัติศาสตร์ของรถยนต์ BMW ออกแบบให้มีการจัดนิทรรศการไว้ที่โซนกลางอาคารหลังคาต่ำ เพื่อให้ได้สัมผัสความรู้สึกที่พิเศษกับรถสปอร์ตคาร์สองที่นั่ง ความเร็วโฉบเฉียวที่สุด และอีกหนึ่งโซนคือ BMW ART CARS หรือ BMW Art Car Collection ของพิพิธภัณฑ์ BMW เป็นโซนที่รวบรวมผลงานมาสเตอร์พีซของศิลปินทั่วโลกมาไว้ที่นี่ทั้งหมด 17 คันค่ะ











ฤกษ์งานยามดี พาป๊า ม้า ไปดูรถในฝัน ขอออกตัวก่อนเลยว่า หญิงปุ๊กเป็นคนง่ายๆ ขอคันไหนในนี้ก็ได้ แต่เลข 8 ดีสุดนะ เป็นเลขมงคล เลขแห่งความสมบูรณ์ สมดุล รวย มั่งคั่ง สุดยอดอ่ะ 555 ยิ่งขับยิ่งรวยนะม้าม้าบอก ได้ๆๆๆ รอถูกรางวัลที่หนึ่งก่อน จะซื้อให้ แต่คือ.. ม้าไม่ซื้อหวย เงิบบบบ ปกติหญิงปุ๊กก็ไม่ซื้อหวย แต่ต่อไปนี้จะต้องซื้อมั่งแล้ว มีลุ้นบ้างสักนิดก็ยังดี 555 รถเค้าสวยและเท่ห์นะ ตอนนี้มีสีแดง แมกซ์ทอง ยังกับไอรอนแมน เท่ห์ฝุดๆ กรี๊ดดดด กางปีกพร้อมบิน

และที่อัพเดตสุดๆ ตอนนี้คือ มีการจัดแสดงพิเศษสำหรับ BMW i ด้วยโดยทางบริษัทเรียกนวัตกรรมนี้ว่า “วิสัยทัศน์การเคลื่อนที่” ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2018 ถึงกันยายน 2019 เพื่อให้เห็นถึงความทุ่มเทเกี่ยวกับการทำให้รถยนต์สปอร์ตคาร์เคลื่อนไหวด้วยไฟฟ้าคาร์บอน โดยการใช้เทคโนโลยีแบตเตอรี่และวัตถุดิบทดแทน และยังมีการโชว์โมเดล BMW i MemphisStyle ในงานนิทรรศการพิเศษนี้ด้วยค่า อยากได้คันไหน เลือกเลยจ้ะ มีรถมาแจกให้ทุกคนน 555 เห็นแล้วก็กิเลสมา แต่ยังไม่ซื้อ รอลดราคา คริคริ





 

เที่ยวร้านขาหมูฮอกซ์เบาวเออร์ (Haxenbauer)


ร้านขาหมูฮอกซ์เบาวเออร์ (Haxenbauer) ขึ้นชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่ถ้าไม่ไปถือว่ามาไม่ถึงเยอรมันนะคะ เป็นร้านเบียร์และขาหมูเยอรมันที่เก่าแก่แห่งหนึ่งในมิวนิคซึ่งมีอายุมากกว่า 100 ปี อยู่ใกล้ จตุรัสมาเรียน พลัทซ์ (Marienplatz) ตั้งอยู่ในอาคาร Scholastikahaus ถือว่าเป็นจุดนัดพบยอดฮิตในเมืองแห่งนี้เลยละค่ะ เมนูเด็ดอีกอย่างหนึ่งของร้าน ที่นอกจากขาหมูแล้ว ก็ต้องยกให้กับเนื้อหมูรสเลิศและข้อต่อเนื้อลูกวัว Haxengrill ("Haxen") ที่ถูกนำมาย่างบนเตาถ่านไม้บีช ถูกปรุงแต่งรสชาติด้วยเกลือ และ ส่วนผสมลับเฉพาะของทางร้าน โดยใช้เวลามักถึง 24 ชม. รับลองความอร่อยไม่แพ้กับขาหมูกรอบๆ แน่นอนค่ะ!







เครดิตรูปจาก https://www.kuffler.de/en/restaurant/haxnbauer/

แค่เพียงก้าวเข้าร้านเห็นขาหมูที่เค้าย่างอยู่ ขนาดนี่ไม่ต้องพูดถึง ไซส์บึ้ม น่าอร่อย สุดยอดไปเลยค่า เห็นแล้วต้องจัด! บรรยากาศภายในร้านจะกว้างๆ มีโต๊ะให้เลือกนั่งเยอะ หลายมุม หลายห้อง

เย้! ถึงแล้วเยอรมัน.. ขาหมูเยอรมันขาโต้โต.. อร่อยมากค่า ~ หนังกรอบๆ กัดดังเปรี๊ยะๆ อื้อหื้อ... กรอบสุดยอดไปเลยลูกเพ่ > < แต่ก็แอบยอมแพ้.. เยอะเกิ๊นนนน หญิงปุ๊กเอ๊งงง ก็ดันเข้าใจผิด สั่งมา 2 ขา เห็นแล้วจาเปงลม สั่งมาวันนี้ คงกินหมดอาทิตย์หน้าอะค่ะ แต่ยังไงใครมาก็อยากลืมมาลองกินนะคะ ขาหมูเยอรมันของแท้เลยเจ้าค่า



 

เที่ยวเทศกาลเบียร์ Oktoberfest


เทศกาล Oktoberfest มีจุดเริ่มต้นมาจาก เมื่อเจ้าชายลุดวิกที่ 1 แห่งแคว้นบาวาเรีย ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเทเรซา แห่งแซกโซนี-ฮิลด์บวร์กเฮาเซน เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1810 และได้ทรงเชิญประชาชนพลเมืองชาวมิวนิคมาร่วมพิธีครั้งนี้ด้วยค่ะ โดยจัดการเฉลิมฉลองขึ้นที่เขตหน้าประตูเมือง และเหตุการณ์ครั้งนี้ถูกเรียกว่า Theresienwiese และยังมีการแข่งม้าของราชวงศ์บาวาเรียที่เป็นไฮไลท์ด้วยนะคะ ซึ่งในปีต่อมาการแข่งม้าก็ได้ถูกจัดขึ้นอีก ทำให้เกิดเป็นประเพณีของเมืองเรียกว่า Oktoberfest ค่า

ภายหลังเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปการแข่งม้าก็ถูกหยุดไป และกลายเป็นงานที่ถูกจัดเพื่อให้เกษตรกรชาวบาวาเรียนำผลิตผลออกมาจำหน่ายแทนค่ะ ซึ่งจะจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี ต่อมาเรื่อยๆ เริ่มมีการจัดงานบันเทิงขึ้น เช่น การเอาม้าหมุนตัวและชิงช้าสวรรค์ เข้ามาในงาน และผู้คนที่มาเดินงานก็มีความสนใจในการดื่ม และเพิ่มขึ้นจำนวนมากมหาศาล ในท้ายที่สุดปี ค.ศ. 1896 เบียร์ได้แทนที่ประเพณีเก่าๆ เมื่อบริษัทเบียร์เล็งเห็นว่าคนเริ่มสนใจการดื่มเพิ่มมากขึ้น ก็ได้เริ่มเข้ามาให้สนับสนุน ซึ่งได้การเปิดรับจากประชาชนในพื้นที่ด้วยเช่นกันค่ะ โดยถ้าใครไปเที่ยวมิวนิคในช่วงเดือนตุลาคมก็จะได้เจอกับเต้นท์ขนาดใหญ่ที่ถูกกางอยู่ในใจกลางเมือง และชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ด้วยน้า

Oktoberfest ถือว่าเป็นงานเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 21โดยทุกๆ ปีจะมีผู้เข้ามาร่วมกับเทศกาลนี้จากทั่วทุกมุมโลกสูงกว่า 6 ล้านคน ถึงแม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่สำหรับคนเยอรมันแล้ว Oktoberfest  ก็ยังทำให้ระลึกถึงเหตุการณ์ "Wies'n" ซึ่งถ้ามีคนเยอรมันมาพูดกับคุณว่า "ยินดีต้อนรับสู่ Wies'n" นั่นหมายถึง "ต้อนรับสู่ Oktoberfest" นั่นเองค่า!













 

เที่ยวมหาวิหารเฟราเอน (Cathedral Frauenkirche)


มหาวิหารเฟราเอน Cathedral Frauenkirche ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1468 เป็นทั้งมหาวิหารโกธิคและเป็นโบสถ์เมือง และยังเป็นที่ตั้งของหลุมศพเจ้าชายหลายองค์ในราชวงศ์บาวาเรียรวมถึงจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ มหาวิหารนี้ตั้งอยู่ในย่าน Old Town ใกล้กับจตุรัสมาเรียน พลัทซ์ (Marienplatz) ช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นี่ถูกทำลายและได้บูรณะใหม่ภายหลัง ทางใต้ของมหาวิหารมีหอคอยเรียกว่า หอคอยแห่ง Frauenkirche ซึ่งถ้าขึ้นไปข้างบนของหอคอยจะสามารถมองเห็นวิวรอบๆ เมืองมิวนิคค่า และยังสามารถเห็นเทือกเขาแอลป์ที่ตั้งเป็นแนวยาวล้อมรอบเมืองนี้อยู่ด้วยค่ะ บอกเลยว่า เป็นภาพที่สวยจนลืมไม่ลง







ภายในตัวโบสถ์นั้นจะตกแต่งด้วยสไตล์โกธิค ซึ่งจะมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า Devil's Strike หรือ รอยเท้าของปีศาจ อยู่บริเวณกลางโถงโบสถ์ การทิ้งรอยเท้าไว้กลางโบสถ์นี้เพื่อต้องการจะสื่อสารกับดวงวิญญาณปีศาจที่อยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ตามความเชื่อของเจ้าของโบสถ์และผู้ออกแบบโบสถ์ เพราะในสมัยก่อนโบสถ์แห่งนี้ ถ้ามองไปโดยรอบจะไม่มีหน้าต่าง ซึ่งหลังจากที่มหาวิหารและโบสถ์ถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ถูกปรับปรุงใหม่แล้วก็ออกแบบให้มีหน้าต่างและลมสามารถพัดผ่านได้แล้วนะค้า



เครดิตรูปจาก https://www.zigzagging.net/blog/page/3/

 

และอีกหนึ่งจุดเด่นในโบสถ์นี้คือ Schidersrab โดย Ludwig IV the Bayer อนุสาวรีย์ขนาดกลางที่สามารถมองเห็นได้จากทางเข้าโบสถ์ เป็นอนุสาวรีย์ที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยรูปปั้นทองเหลืองและสัญลักษณ์ มงกุฎจักรวรรดิเพื่อรำลึกถึงกษัตริย์ลุดวิกนั่นเองค่า  ที่นี่ยังมีการแสดงดนตรีด้วย ออร์แกนขนาดใหญ่ แขวนติดบนอยู่บนผนังโบสถ์ ซึ่งออร์แกนนี้จะถูกบรรเลงในทุกๆ วันอาทิตย์ เวลา 10.00 น. และช่วงในเทศกาลสำคัญอื่นๆ ก็จะมีงานจัดแสดงสินค้าช่วงเช้าและเย็นด้วยนะจ๊ะ



เครดิตรูปจาก https://www.flickr.com/photos/prof_richard/8204974887

 

เที่ยวอัลลิอันซ์อาเรนา Allianz Arena


สนามกีฬา Allianz Arena ถูกสร้างขึ้นในปี ค. ศ. 2005 เป็นสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ มีขนาดพื้นที่รวมสิ่งก่อสร้างแล้ว 258  x  227  x  52 เมตร โดยใช้ทุนสร้างถึง 340 ล้านยูโร สเตเดียมแห่งนี้ถูกสร้างมาเพื่อซัพพอร์ตทีมเอฟซีบาเยิร์น มิวนิค เจ้าของโครงการนี้บอกว่าที่แห่งนี้ คือ ความฝันที่เป็นจริงสำหรับเขา ไม่ว่าจะเป็น โค้ช หรือ หุ้นส่วน ต่างก็ภูมิใจกับสถาปัตยกรรมของ Allianz Arena เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ หรือ พื้นที่การใช้งาน และที่นี่ก็เป็นเหมือนอีกหนึ่งความภูมิใจของคนสายเลือดเยอรมันเลยละค่ะ











สเตเดียมแห่งนี้สามารถจุคนได้ถึง 90,930 คน ทั้งนั่งและยืนในเกมแมตซ์ใหญ่ระดับชาติ และ 70,000 ที่นั่งในแมตซ์ระดับลีกระหว่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดจะแบ่งเป็น 2,048 ที่นั่ง สำหรับชั้นธุรกิจ ห้องวีไอพี 106 ห้อง สามารถรองรับแขกได้ 1,374 คน มีพื้นที่สำหรับสโมสร 350 ที่นั่ง และ 227 ที่นั่งพิเศษสำหรับผู้พิการ อีกหนึ่งอย่างที่ผู้ออกแบบและเจ้าของที่นี่ภูมิใจนำเสนอมากๆ คือ จอ LED Video Walls ที่มีขนาดใหญ่ถึง 16: 9 กว้าง 42.5 เมตร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกเช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ  ห้องน้ำถึง 1,121 ห้อง ไม่ต้องกลัวห้องน้ำเต็มเลยจ้า  ร้านของสะสมของทีมเอฟซีบาเยิร์น มิวนิค หรือ FC Bayern Megastore รวมไปถึงห้องพักสื่อ และห้องประชุมสำหรับทีมและสโมสรอีกค่ะ





และไฮไลท์เด็ดของที่นี่ก็คือ FC Bayern Erlebniswelt พิพิธภัณฑ์สโมสรที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนี ที่รวบรวบไว้ตั้งแต่การก่อตั้งทีม ประวัติผู้เล่น ทั้งเก่าและใหม่ รวมไปถึงของใช้ของสะสมของคนในทีมอีกด้วย แฟนๆ เสือใต้ เอฟซีบาเยิร์น มิวนิค ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยค่าาาา Super Bayern! Super Bayern! Hey! Hey!









เครดิตรูปจาก http://www.unternehmensmuseen.de

 

เที่ยวตลาดวิคทัวเลียน Viktualienmarkt


ตลาด Viktualienmarkt เป็นตลาดกลางแจ้งซึ่งเคยอยู่ในพื้นที่ตั้งของจตุรัสมาเรียน พลัทซ์ (Marienplatz) เมื่อนานๆ เข้าตลาดก็เริ่มขยายใหญ่จนกินพื้นที่ เลยทำให้รัฐบาลได้สั่งย้ายตลาดออกมาจากพื้นตรงนั้นจ้า แต่ก็ไม่ได้ย้ายมาไกลจากจัตุรัสมากเท่าไหร่เล้ย อยู่ข้างๆ กันไปอีกนะจ๊ะ ตลาดใหม่ถูกสร้างในปี ค.ศ. 1823 แต่ดันถูกเผาทิ้งในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ได้มีการเปิดใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 2005 ที่นี่เต็มไปด้วยอาหารท้องถิ่น ผัก ผลไม้ ไวน์พื้นเมือง และของฝากมากกว่า 140 ร้าน รวมไปถึงร้านขายของสะสมที่มีให้เลือกช้อปกันให้หน่ำใจไปเลยค่า ร้านค้าแผงลอยทั้งหลายจะเปิดให้บริการ วันจันทร์ถึงวันศุกร์เวลา 10.00 น. - 18.00 น. และวันเสาร์ 10:00 น. - 15:00 น ส่วนใครที่มามิวนิคในวันอาทิตย์ก็น่าเสียดายนะคะ ตลาดปิดค่าาา