โอ้วว ทะเลสีครามท้องฟ้าสดใส ห่างไกลฝุ่นพิษ PM 2.5 มาลั้นล้ากันได้ที่นี่เลยจ้า หญิงปุ๊กพาเที่ยวมอลตา (Malta) มีพื้นที่เพียง 316 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี และชายฝั่งของแอฟริกา เป็นเกาะสวรรค์น้ำใสสีเทอร์ควอยซ์ ท่ามกลางท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  มีเกาะหลักๆ 3 เกาะ คือ เกาะมอลตา (Malta) เกาะโกโซ (Gozo) และเกาะโคมิโน (Comino) สูดลมหายใจให้ชุ่มปอดกับอากาศดีที่สุดในโลก ท้องฟ้าแจ่มใส เล่นน้ำทะเลคลายร้อนกันได้ทุกที่ เดินชมความหลากหลายของสถาปัตยกรรมนานาชาติทั้งกรีก โรมัน อาหรับ ชาวซิซิลี ฝรั่งเศส และอังกฤษกันให้ทั่วเมือง ได้แบบชิคๆ ชิลล์ๆ ถ่ายรูปเกร๋ๆ ชิมกาแฟ แถมได้ตามรอยซีรีย์ดังอย่าง Game of thrones อีกด้วย และที่สำคัญค่าใช้จ่ายสบายกระเป๋าถูกกว่าเที่ยวประเทศแถบยุโรปด้วยกันแหละ คริคริ ถ้าได้อ่านบทความนี้แล้ว มอลตาอาจจะถูกบรรจุไว้ในลิสต์การท่องเที่ยวของใครหลายๆ คนเลยทีเดียว

เที่ยววัลเลตตา และเมืองสามเมือง (Valletta and the Three Cities)

วัลเลตตา (Valletta) เมืองหลวงของมอลตา สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1566 โดยหัวหน้าของกลุ่มอัศวินเซนต์จอห์น ชื่อ Grandmaster Jean Parisot De Valette หลังจากถูกปิดล้อมครั้งยิ่งใหญ่ (The Great Siege) จากจักรวรรดิออตโตมัน จึงทำให้วาเลตตาล้อมรอบไปด้วยกำแพงเมือง และป้อมปราการ ตามสถาปัตยกรรมสมัยศตวรรษที่ 16 ยุคบารอก (Baroque) ผสมผสานกับยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) ยุคคลาสสิค (Classic) ความโดดเด่นของอาคารเก่าแก่ที่สมบูรณ์สวยงาม จนได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก ในปี ค.ศ. 1980 ให้เป็นเมืองแห่งมรดกโลกอันทรงคุณค่า กลายเป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหล กลมกลืนกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต และการท่องเที่ยวได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวบริเวณชายฝั่งที่เรือสำราญ เรือยอร์ชเข้ามาเทียบท่าตลอดทั้งปี สร้างความเจริญทางเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และรายได้ให้กับเศรษฐกิจในประเทศอย่างมหาศาล

สามเมือง (The Three Cities) เป็นคำที่ใช้เรียกเมืองวิตตอริโอซา (Vittoriosa) กอสปีกัว (Cospicua) และเซงเกลีย (Senglea) ในประเทศมอลตาค่ะ เป็นสามเมืองยุคกลางที่แข็งแกร่ง โดยประชากรรวมกันทั้งหมดประมาณ 10,808 คน และเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในสามเมืองนี้คือ วิตตอริโอซาซา (Vittoriosa) หรืออีกชื่อคือบีร์กู (Birgu) ค่ะ เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ไม่ว่าจะเป็นตอนกลางวันหรือกลางคืน

เริ่มต้นกันที่ประตูเเมืองวิตตอริโอซา (Vittoriosa City Gate) เป็นการผสมผสานกำแพงเมือง ให้เข้ากับความโมเดิร์นในปัจจุบัน จนกลายคอมเพล็กซ์เซ็นเตอร์ที่มีทั้งห้างสรรพสินค้า และสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตในแห่งเดียวกัน เมื่อเดินผ่านประตูเมืองเข้ามาจะพบกับ วงเวียนน้ำพุไทรทัน (Triton Fountain) เป็นมุมนั่งเล่นพักผ่อนถ่ายรูปคู่กับสายน้ำที่เต้นระบำกลางน้ำพุ ช่วยให้บรรยากาศรอบๆ เย็นสบาย และยังเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อไปแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมได้อีกด้วยค่า เช่น จัตุรัสรีพับบลิค (Republic Square) มีรูปปั้นสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ในศตวรษที่ 19 ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่หน้าหอสมุดแห่งชาติ

ถัดมาเป็นวังของอินควิสเตอร์ (Inquisitor's Palace) เคยเป็นสถานที่สำหรับพิจารณาตัดสินนักโทษในอดีต ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยา แสดงถึงความเป็นมาของชนชาติมอลตา และใครที่ชอบดูละครเวที ขอแนะนำโรงละครมาโนเอล (Manoel Theatre) หนึ่งในโรงภาพยนตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป ตกแต่งอย่างหรูหราสวยงามจนต้องบอกต่อเลยละ ไปชมความเริ่ดหรูกันต่อที่ พระราชวังแกรนด์มาสเตอร์ (Grandmaster’s Palace) สร้างขึ้นโดยเซนต์จอห์น ระหว่างศตวรรษที่ 16 และ 18 ปัจจุบันกลายเป็นทำเนียบประธานาธิบดี และพิพิธภัณฑ์จัดแสดงภาพวาด ภาพจิตรกรรมฝาผนังสไตล์บารอก บอกเล่าเรื่องราวความกล้าหาญของเหล่าอัศวิน อาวุธสมัยโรมัน ชุดโลหะเกาะ และงานศิลปะเป็นจำนวนมาก เดินชมกันไปเรื่อยๆ ให้ศิลปะซึมเข้าสู่กระแสเลือดไปเลยค่ะ 555

เครดิตภาพจาก:Uta von Ballenstedt  www.pinterest.com

เดินเล่นไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ ก็ต้องหลงใหลไปกับการตกแต่งบ้านเรือนของผู้คนในเมืองด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาชนิด และที่พิเศษสุดๆ คือ สวนบารัคคา (Barracca Gardens) ที่ตั้งอยู่บนป้อมปราการเซนต์ปีเตอร์แอนด์พอล (St. Peter & Paul Bastion) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1661 โดยอัศวินชาวอิตาเลียน เป็นสวนลอยฟ้าท้าความเสียวจร้า!!! เราจะต้องขึ้นลิฟท์เหล็กที่ความสูงถึง 60 เมตร ภายในแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Upper Barracca และ Lower Barracca ตกแต่งด้วยน้ำพุดอกไม้ มีแนวซุ้มโค้งอย่างสวยงาม และช่วงเที่ยวของทุกวันจะมีพิธีการยิงปืนใหญ่ แสดงความระลึกถึงเหล่าอัศวินผู้กล้า สวนบารัคคาเป็นจุดที่สูงที่สุดในเมืองวัตเลตตา เราสามารถมองเห็นวิวทะเลอ่าวแกรนด์ฮาร์เบอร์ (The Grand Habour) และสามเมืองได้อย่างชัดเจน ฟินสุดๆ ไปเลยจ้า

จากนั้นเราไปชมสิ่งของล้ำค่าทางประวัติศาสตร์กันที่ พิพิธภัณฑ์ทางทะเลมอลตา (The Malta Maritime Museum) ภายในจัดแสดงสมอเรือทำจากตะกั่ว สมัยโรมันขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อาวุธของเหล่าอัศวินยุคโรมัน อายุมากกว่า 2,000 ปี เรือโบราณสมัยศตวรรษที่ 18 และศิลปะวัตถุอื่นๆ เสร็จแล้วเราไปดูความใหญ่โตของกำแพงสูงริมทะเล ตั้งอยู่สุดปลายแหลมของแผ่นดินมอลตากันที่ ป้อมปราการเซนต์เอลโม (Fort Saint Elmo) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 บริเวณด้านล่างเป็นพิพิธภัณฑ์สงครามแห่งชาติ จัดแสดงเหรียญตรา อาวุธ รถถัง เครื่องบิน และสิ่งของในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งในอดีตเคยเป็นคุกขังเชลยศึกมาก่อน สำหรับด้านบนมีปืนใหญ่ประจำจุดต่างๆ ตรงนี้เราสามารถชมวิวท่าเรือมาร์ซักลอกก์ และท่าเรือแกรนด์ฮาร์เบอร์ ได้เต็มตาทั้งสองฝั่งเลยล่ะ จากนั้นเดินเลียบไปตามถนนริมทะเล จะเห็นอนุสรณ์ Siege Bell Memorial ระฆังสีทองขนาดใหญ่สไตล์นีโอคลาสิก อยู่คู่กับรูปปั้นคล้ายคนกำลังนอน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1992 เพื่อสดุดีแก่ผู้เสียสละชีวิตในสงครามโลกครั้งที่สอง และในตอนเที่ยงของทุกวัน จะมีการตีระฆังระลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านด้วยมาค่ะ

ไฮไลท์อีกแห่งของวาเลตตา ที่นักท่องเที่ยวต้องมาดูความสวยงามยิ่งใหญ่อลังการคือ มหาวิหารเซนต์จอห์น (St John’s Co-Cathedral) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองวัลเลตตา สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1577 ออกแบบโดย Gerolamo Cassar ชาวมัลติส หนึ่งในสถาปัตยกรรมบารอกชั้นสูงของยุโรป ด้านหน้ามหาวิหารโดดเด่น แปลกตาเห็นมาแต่ไกลเลยค่ะ คือหอคอยคู่ ที่ด้านหนึ่งจะเป็นระฆังใหญ่ ส่วนฝั่งตรงข้ามจะเป็นกับนาฬิกา จำนวนสามเรือน บอกวันเวลา และสัปดาห์ ภายในมหาวิหารเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ รูปทรงหลังคาโค้งสร้างขึ้นจากหินอ่อนแกะสลักทั้งหมด และถ้ามองขึ้นไปด้านบนเห็นภาพวาดลวดลายสวยงาม ตกแต่งด้วยสีทองจากทองคำเปลวสุกสว่างหรูหราตระการตาไปทั่วห้อง ส่วนพื้นด้านล่างก็เป็นภาพวาดหินอ่อน บอกเล่าเรื่องราวอัศวินนักบุญเซนต์จอห์นในอดีต นอกจากนี้ยังมีห้องขนาดเล็ก สำหรับสวดมนต์  เก็บรักษาเครื่องสักการะ ห้องจัดแสดงตราของอัศวิน Raymundo de Vere และพิพิธภัณฑ์เซนต์จอห์น สำหรับเก็บภาพวาด “The Beheading of St John The Baptist” ของจิตรกรดังระดับโลกอย่างคาราวัจโจ (Caravaggio) เป็นภาพวาดเพียงชิ้นเดียวของคาราวัจโจ ที่มีลายเซ็นด้วยเลือดของตัวเอง โอ้ววว *o* เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของศิลปินจริงๆ

มหาวิหารเซนต์จอห์น เข้าชมได้ในวันจันทร์ถึงศุกร์ เปิดเวลา 09.30 -16:30 น. วันเสาร์ 09.30 -12:30 น. แต่ประตูปิดให้เข้าชม 30 นาที ก่อนเวลาปิดจริงค่ะ ใครไปต้องดูเวลาให้ดีน้า...เดี๋ยวจะพลาดได้ สำหรับค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 10 ยูโร บัตรนักเรียน  7.50 ยูโร เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีเข้าฟรีเลยค่ะ

ป้อมเซนต์แองเจโล (Fort Saint Angelo) สร้างโดยเหล่าอัศวินเป็นที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์การรบ หลบภัย ทอดสมอเรือ และการค้าขายในอดีต จนเรียกได้ว่าเป็นแหล่งต้นกำเนิดของประวัติศาสตร์มอลตาเลยทีเดียว ภายในป้อมมีร้านอาหารสีสันสดใส ให้นั่งพักเหนื่อย หรือจะไปนั่งชิลล์ ริมแม่น้ำบีร์กู (Birgu River) ท่าเทียบเรือยอร์ชสุดหรู บริเวณรอบๆ เต็มไปด้วยคาเฟ่น่านั่งรับลมจิบกาแฟ และร้านอาหาร ทะเลจิบไวน์เบาๆ ผ่อนคลายไปกับบรรยากาศสบายๆ ที่แฝงไปด้วยความหรูหรา มันช่างฟินเวอร์ไม่ใช่น้อยเลยค่ะ

เมืองกอสปีกัว (Cospicua) หรือ Bormla มีขนาดใหญ่ที่สุดในสามเมือง ตั้งอยู่ตรงข้ามวัลเลตตา สร้างขึ้นโดยเซนต์จอห์นในศตวรรษ 16 และ 17 สำหรับเป็นสถานที่หลบภัย และป้อมเฝ้าระวังศัตรู เพราะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ แบบพาโนราม่าเลยทีเดียว ต่อมาได้ฟื้นฟูและการพัฒนาเป็นท่าเรือ และอู่ต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมืองนี้ได้รับความเสียหายในสงครามโลกครั้งที่สองเป็นอย่างมาก จนถึงกับมีการสร้างอนุสรณ์สถานสงคราม (The War Memorial) อยู่ด้านหน้าโบสถ์ Parish Church ในปี ค.ศ. 1994 โดย Michael Camilleri Cauchi เพื่อแสดงถึงชัยชนะในสงคราม และเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี การสิ้นสุดของสงคราม

และสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมไปดูด้วยตาตนเองก็คือ โบสถ์โดมแห่งโมสตา (Rotunda of Mosta) หรือโดมแห่งปาฏิหาริย์ (The Parish Church of Immaculate Conception) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 สถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสิก เป็นโดมไร้เสาขนาดใหญ่อันดับสามของโลก มีชื่อเสียงอย่างมาก ในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ จากเหตุการณ์ในสงครามโลกที่ผ่านมา ได้มีเครื่องบินทิ้งระเบิดน้ำหนักกว่า 200 กิโลกรัม ตกทะลุลงมาตรงใจกลางโบสถ์ในขณะที่ชาวเมืองกว่า 300 คนกำลังสวดมนต์กันอยู่ด้านใน แต่ระเบิดกลับไม่ทำงาน แม้ว่าบริเวณรอบๆ ทั้งบ้านเรือนอาคาร ป้อมปราการ ระเบิดกันตูม ตูม ตูม!!! สนั่นหวั่นไหวจนสร้างเสียหายไม่ใช่น้อย Oh My God!!! #สายมูเตรู# ตัวจริงอย่างเรา ต้องไม่พลาดด้วยประการทั้งปวงจร้าาา

  

อุ๊ๆ มาชมเสน่ห์ของ เมืองเซงเกลีย (Senglea) ตั้งอยู่บนคาบสมุทรยื่นออกไปในทะเล ที่นี่ยังมีคอลเลคชั่นอาคารเก่าแก่ศิลปะสวยงาม แนววินเทจให้ได้ชื่นชม ถ่ายรูปชิคๆ กันอีกด้วยนะจ้า เริ่มกันที่ โบสถ์ Basilica of the Nativity of Mary ตั้งอยู่กลางใจเมือง  สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1580 โดยสถาปนิก Vittorio Cassar เพื่อเป็นอนุสาวรีย์แห่งชัยชนะของคริสเตียนหลังจากการบุกโจมตีครั้งใหญ่ ต่อมาโบสถ์แห่งนี้ถูกทำลายด้วยระเบิดในปี ค.ศ. 1941 และบูรณะปรับปรุงขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1956 ภายในตกแต่งด้วยสีทอง และภาพวาดความเชื่อในศาสนาคริสต์ ที่เห็นแล้วสัมผัสได้ถึงแรงศรัทธาของชาวเมืองแห่งนี้เป็นอย่างมาก จากนั้นเราไปดูอะไรเบาๆ แปลกตากันต่อที่ สวน Gardjola  สวนแห่งนี้มีความพิเศษอยู่บริเวณหอคอยหิน แกะสลักรูป ตา หู และนก แสดงถึงสัญลักษณ์ตัวแทนของผู้ปกครองชายฝั่งมอลตา และในบริเวณท่าเรือแกรนด์ฮาร์เบอร์ วันที่ 31 มีนาคมและ 8 กันยายนของทุกปี จะมีการจัดงานเฉลิมฉลอง กิจกรรมแข่งเรือแบบดั้งเดิม ตามถนนหนทางบ้านเรือนประดับประดาไปด้วยไฟรอบเมือง จุดพลุดอกไม้ไฟริมทะเลอย่างสวยงาม

  

เที่ยวเกาะโกโซ (Gozo island)

เกาะโกโซ หรือเกาะคาลิปโซ่ (Isle of Calypso) ชื่อธิดาของเทพแอตลาส แห่งเผ่าไททันในตำนานกรีก เป็นเกาะกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางเหนือของเกาะมอลตา เราต้องนั่งเรือเฟอรี่จากท่า Cirkewwa ข้ามไปยังท่าเรือ Mgarr บนเกาะโกโซ ค่าเสียหายก็ 4 ยูโรเท่านั้น ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง การท่องเที่ยวบนเกาะนี้ก็สะดวก มีรถบัส Hop-On Hop-Off พาตระเวนไปเที่ยวรอบเกาะ หรือจะเช่าแท็กซี่ ขี่จักรยานชมเกาะก็ได้ค่ะ เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศที่โรแมนติกริมฝั่งทะเล จนเราต้องหลงใหลไปกับมนต์เสน่ห์แห่งเกาะในตำนานกรีก และถือโอกาสเช็คอินตามรอยซีรีย์ดังอย่าง Game of Thrones ที่นี่เลยจ้า หน้าต่างแห่งอาซูเร (Azure Window) ตั้งอยู่ที่อ่าวดเวราจา (Dwejra Bay) ซุ้มประตูหินโค้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ คล้ายกับหน้าต่าง มีความกว้างกว่า 100 เมตร และสูง 50 เมตร ตั้งอยู่ในหมู่บ้านซานลอว์เรนซ์ (San Lawrenz) เกิดจากการถูกคลื่นกระแทก และกัดเซาะเป็นเวลาหลายล้านปี เป็นจุดดำน้ำชื่อดัง และเป็นหนึ่งในฉากซีรีย์ดังอย่าง Game of Thrones ทำให้เกาะโกโซเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่ว่าช่างน่าเสียดายยิ่งนักที่หน้าต่างแห่งอาซูเรได้ถล่มลงไปในท้องทะเล โดยไม่มีใครคาดคิดจากเหตุการณ์พายุใหญ่พัดเข้าชายฝั่งในปี ค.ศ. 2017 แล้วค่ะ T.T

แต่ยังคงมีแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ อีกมากมาย ให้เราตามไปดู เกาะหินเห็ด (Fungus Rock) ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเล เป็นเกาะหินปูนขนาดใหญ่ความสูง 60 เมตร ถูกค้นพบโดยอัศวินฮอสพิทาลเลอร์ บนเกาะนี้มีเห็ดมอลตา  ซึ่งความจริงไม่ใช่เห็ด แต่มันเป็นพืชดอกชนิดหนึ่งที่สามารถนำสกัดเป็นยารักษาโรคใช้สำหรับรักษาบาดแผล และโรคบิดได้เป็นอย่างดี  ไปชมทะเลใน (Inland Sea) หรือทะเลสาบน้ำทะเลเพียงแห่งเดียวในมอลตา ที่คนท้องถิ่นเรียกว่า Il-Qawra รูปอ่าวครึ่งวงกลม เกิดขึ้นจากการยุบตัวของถ้ำหินปูนใต้น้ำทะเลหลายล้านปีเลยทีเดียว ความพิเศษอยู่ตรงที่ทางเข้าออก ต้องผ่านช่องอุโมงค์ของหน้าผาขนาดใหญ่ ความยาวถึง 60 เมตร ที่เชื่อมต่อระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กับแผ่นดินบริเวณริมชายฝั่ง ซึ่งเหมาะสำหรับการจอดเรือประมง เพื่อพักหลบคลื่นลมทะเลเป็นอย่างยิ่ง

แล้วเราก็ไปเล่นน้ำต่อกันรัวๆ ที่เมืองมาร์ซาลฟอร์น (Marsalforn) ชายหาดที่เต็มไปด้วยรีสอร์ท ร้านค้าช็อปปิ้ง กินอาหาร อาบแดด เล่นน้ำ ได้ทั้งดำน้ำลึก และดำน้ำตื้นอย่างจุใจเลยทีเดียว หรือจะเดินดูวิถีชีวิตหมู่บ้านชาวประมง ออกเรือหาปลา ทำนาเกลือริมทะเลบริเวณอ่าว Xwejni Bay ชมทัศนียภาพ แนวชายฝั่งทะเล Wied II-Ghasri Lagoon ไปตามริมหน้าผา มองลงมาจะเห็นสายน้ำทะเล ทอดเป็นแนวยาวให้หวาดเสียวเล่นระหว่างทางเดิน และบนสายน้ำริมหน้าผาก็มีนักท่องเที่ยวเล่นน้ำ พายเรือคายัคกันอย่างสนุกสนาน

เที่ยวถ้ำคาลิปโซ่ (Calypso Cave) ตั้งอยู่บริเวณชายหาดรัมลา (Ramla Bay) หรือชายหาดสีแดง ถ้ำแห่งนี้เป็นตำนานแห่งรัก 7 ปี ระหว่างเทพธิดาคาลิปโซ่กับทหารหนุ่มโอดิสซิอุส ต่อมาฝ่ายชายได้เดินกลับไปบ้านเกิด แล้วไม่กลับมาที่ถ้ำนี้อีก ทำให้เทพธิดาคาลิปโซ่เสียใจเป็นอย่างยิ่ง ภายในถ้ำมีทางเดินเล็กๆ วกวนสลับซับซ้อน ให้เราได้เดินงงในดงความรักกันแบบซึ้งๆ.... จนต้องร้องขอไปโดดน้ำเล่นกันที่บลูโฮล (Blue Hole) สระว่ายน้ำทะเลขนาด 10 เมตร เกิดขึ้นจากการยุบตัวของถ้ำหินปูนใต้น้ำ บริเวณชายฝั่งเกาะโกโซ เป็นแหล่งดำน้ำลึก และดำน้ำตื้นยอดนิยม เราสามารถว่ายน้ำเล่นเคียงคู่ไปกับปลาตัวเล็กตัวน้อยในบลูโฮลได้ ราวกับเป็นนางเงือกเลยทีเดียว

จากนั้นไปชมหอคอย De Redin Coastal Towers สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1638 เพื่อสังเกตการณ์ปกป้องชายฝั่งจากการโจมตีของศัตรู เป็นหนึ่งในหอคอย 13 แห่งของมอลตา ที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสความสูงสองชั้น ด้านล่างใช้สำหรับเก็บของเท่านั้น ส่วนด้านบนเป็นที่พักสำหรับทหารสี่ถึงห้าคน มีปืนใหญ่สองกระบอกประจำหอคอย และประตูทางเข้าออกอยู่ด้านบนเป็นบันไดที่พับเก็บได้จากด้านในหอคอยเท่านั่้น โอ้วๆๆ กลไกปกป้องปราการสุดยอดจ้า ใครจะมาแอบเปิดประตูเข้าไปข้างในไม่ได้เลยละ 5555

เครดิตภาพจาก : www.visitgozo.com

เที่ยวเมืองเอ็มดิน่า (Mdina)

เมืองหลวงเก่าของมอลตา อายุประมาณ 1,500 – 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งอยู่บนเนินเขาความสูงประมาณ 150 เมตร จากระดับน้ำทะเล สร้างขึ้นในช่วงการปกครองของอาหรับเชื้อสายฟินิเชีย (Phoenician) ศิลปะยุคกลาง สไตล์ Medieval ผสมผสานสถาปัตยกรรมระหว่างอาหรับ และยุโรป จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวหาดูได้ยาก ภายนอกเมืองล้อมรอบด้วยกำแพงสูงสีทอง ภายในมีทั้งพระราชวัง พิพิธภัณฑ์ โบสถ์ จัตุรัส สวนสวย บ้านพักที่มีคนอาศัยอยู่ราว 300 คนเท่านั้นเอง ทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็น เมืองแห่งความสงบเงียบ (Silent City) ที่ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมได้สมกับเป็นหนึ่งในมรดกโลกของมอลตา ก่อนเข้าไปสู่เมืองเอ็มมิน่า เราจะเห็นประตูเมือง (The Main Gate) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1724 รูปทรงโค้งสถาปัตยกรรมยุคบารอก เป็นจุดเช็คอินที่ต้องมาเก็บภาพไว้เป็นหลักฐานสักหน่อย เพราะแค่เห็นหน้าประตู ก็ยังกับหลุดไปในโลกเทพนิยายกรีกโรมัน ที่มีอัศวินขี่ม้าขาวรอเจ้าหญิงอย่างเราอยู่ในเมืองแห่งความฝันแล้วจ้า #อร้ายๆ ><.

ก้าวผ่านพ้นประตูเมืองไป เราก็จะพบกับ พระราชวัง Magisterial Palace สไตล์ฝรั่งเศสแบบบารอก สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1726 ถึง ค.ศ.1728  ในช่วงการเกิดอหิวาตกโรคระบาดไปทั่วในยุโรป เคยใช้สถานที่เป็นโรงพยาบาลรักษาผู้คนชั่วคราว ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ National Museum of Natural History ด้านในเต็มไปด้วยคอลเลกชั่นประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติ ฟอสซิลสัตว์ พืชพรรณ และหินแร่ธาตุหายากของมอลติส

เครดิตภาพจาก:www.malta.com

ณ ใจกลางเมืองเป็นที่ตั้งของ มหาวิหารเซนต์พอล (Saint Paul Cathedral) หรือมหาวิหารเอ็มดิน่า (Mdina Cathedral) นิกายโรมันคาทอลิก สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 เพื่ออุทิศให้แก่นักบุญพอล ต่อมาได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว จึงสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1696-1705 สถาปัตยกรรมแบบบารอกผสมผสานกับมอลติส เพียงแค่ก้าวเข้าไปก็ต้องตกตะลึงกับความงดงามตระการตา ภายในตกแต่งไปด้วยสีทอง สีแดง สีขาว และแท่นบูชาแกะสลักตรงอยู่เบื้องหน้า เมื่อก้มมองด้านล่างจะพบกับ พื้นหินอ่อนที่มีลวดลายแกะสลักชื่อ และประวัติของนักบุญที่สวยงามวิจิตรบรรจงสวยงามไม่แพ้โบสถ์อื่นๆ ในมอลตาเลยทีเดียว เดินเล่นไปตามตรอกซอกซอยเล็กๆ จะได้สัมผัสถึงความสวยงามของบ้านเรือนสีเหลืองอ่อน แปลกตา ไปตามช่วงเวลาที่แสงแดดตกกระทบในแต่ละวัน บานประตูสีเขียว น้ำเงิน และสีแดง สดใสสวยงาม เดินไปตามทางเรื่อยๆ จนถึง จัตุรัสเมสควิตา (Mesquita Square) หนึ่งในฉากซีรีย์ Game of Thrones หรือนั่งม้าชมเมืองก็ได้บรรยากาศน่ารักๆ ก็ฟินไปอีกแบบ

สำหรับใครที่ชื่นชอบสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ต้องการแรงบันดาลใจสายอาร์ต ขอแนะนำที่นี่เลยค่ะ อาคารพาลาซโซ พาริซิโอ  (Palazzo Parisio, Naxxar) ที่พักฤดูร้อน และสวนสวย สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1733 สำหรับเป็นที่พักล่าสัตว์ ของตระกูลพาริซิโอ (Parisio Family) ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นวิทยาลัยของคณะแห่งพระเยซูเจ้า และในปี ค.ศ. 1900 ได้รับการบูรณะดูแลจากตระกูลมิคาลเลฟ (Micallef Family) จนกลายเป็นคฤหาสน์สไตล์สอาร์ตนูโว ที่หรูหราประดับประดาไปด้วยโคมไฟระย้า ภาพจิตรกรรมฝาผนัง รูปปั้น และห้องจัดเลี้ยงสีเหลืองทองงดงามอร่ามตา จนได้รับก็ยกย่องว่าเป็น “แวร์ซายจิ๋ว” ภายในยังมีบ้านพัก Palazzo Falson ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี และอาคาร Palazzo Santa Sofia ที่เชื่อกันว่าเป็นอาคารเก่าแก่ที่สุดในเมืองนี้ โดยเฉพาะชั้นใต้ดินสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1233 สำหรับด้านบนสร้างในศตวรรษที่ 20 นอกจากนี้ยังมีสวนสวยบรรยากาศรื่นรมย์ ให้นั่งพักผ่อนคลายอารมณ์ ไปกับการชมดอกไม้หลากสีเลยค่ะ

   

  

พิพิธภัณฑ์ Cathedral Museum เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ทางศาสนาที่โดดเด่นที่สุดของยุโรป แต่ละห้องจะจัดแสดงคอลเลกชั่นรูปปั้น ภาพวาด เหรียญโบราณ ไม้แกะสลัก และข้าวของเครื่องใช้ในอดีต แล้วไปต่อกันที่หอคอย Torre Dello Stendardo ทรงสี่เหลี่ยมสูง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1750 เพื่อเป็นหอสังเกตการณ์ส่งสัญญาณไฟเตือน ให้ชาวบ้านภายในเมืองได้เตรียมตัวพร้อมรับภาวะสงคราม ปัจจุบันเป็นหอสถานีตำรวจของเอ็มดิน่า เดินชิลกันไปเรื่อยๆ ระหว่างทางมีร้านกาแฟน่ารักเล็กๆ อยู่ท่ามกลางบรรยากาศสวยงาม สงบ ที่นำเราย้อนยุคไปในอดีตดั่งภาพฝัน

เที่ยวเมืองราบัต (Rabat) 

ราบัต หรือวิกตอเรีย (Victoria) ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงในเกาะโกโซ เป็นเมืองแห่งมรดกโลกที่ได้รับ การยกย่องจากองค์การยูเนสโกปีค.ศ. 1980 แค่ยืนมองจากภายนอกก็สัมผัสได้ถึงมนต์ขลัง ความอลังการของดินแดนประวัติศาสตร์สมัยชาวโรมัน ชาวอาหรับ และชาวนอร์มัน ต่อมาในสมัยศตวรรษที่ 17 อัศวินเซนต์จอห์นได้สร้าง ป้อมปราการวิคตอเรีย (Victoria Fortress) เป็นกำแพงหินทรายสีเหลืองทองล้อมรอบเมืองขึ้นมาใหม่ และกลางใจเมืองจะได้พบกับวิหารวิกตอเรีย (Cathedral of the Assumption) เป็นโบสถ์ประจำเมืองสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 17 ภายในโบสถ์ตกแต่งหรูหราตระการตาตามสไตล์ศิลปะแบบมอลติส  ถนนหนทางภายในเมืองเล็กๆ แคบๆ สองข้างทางเดินตกแต่งด้วยภาพวาด รูปปั้น และต้นไม้ให้ความรู้สึกสดชื่น และเพลินตาไปจนถึงวิหารเซนต์จอร์จ (St.George’s Basilica Victoria)  หรือที่เรียกว่า โบสถ์ทองคำแห่งโกโซ สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1672 - 1678 ตกแต่งตามสไตล์บารอกด้วยหินอ่อน และรูปปั้นที่ลงรักปิดทองคำสวยงามสะกดทุกสายตาที่ได้พบเห็นเลยทีเดียว นอกจากนี้บริเวณหน้าโบสถ์ Xaghra Parish Church  และโบส์อื่นๆ ในโกโซ ก็มีร้านอาหาร ชา กาแฟในบรรยากาศที่เงียบสงบ ผ่อนคลาย เหมาะแก่การนั่งจิบชาอุ่นๆ ฟินๆ ยามบ่าย

เทวสถานหินใหญ่แห่งมอลตา (The Megalithic Temples of Malta) แหล่งมรดกโลกที่สำคัญของมอลตา ได้รับการขึ้นทะเบียนในปี ค.ศ. 1980 ตั้งอยู่บนเกาะโกโซ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นระหว่าง 3600 – 2200 ปีก่อนคริสตกาล เป็นวิหารหินขนาดใหญ่กระจายอยู่บนเกาะ และเป็นหนึ่งในศาสนสถานวิหารหินเก่าแก่มากที่สุดในโลก สถาปัตยกรรมการก่อสร้างจากหินใหญ่ แต่ละแห่งมีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่ซ้ำกันถึง 6 แห่ง ได้แก่ วิหารอัลซาฟลิเอนิไฮบเจียม (Hal-Saflieni Hypogeum) เป็นวิหารใต้ดิน 3 ชั้น ความลึกประมาณ 12 เมตร แต่ละชั้นเป็นบันไดวน เชื่อมโยงกันด้วยทางเดินแคบๆ สลับซับซ้อนเหมือนเขาวงกต ด้านในแบ่งเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ และห้องต่างๆ ตกแต่งด้วยภาพวาด หินแกะสลักตามฝาผนัง บอกเล่าเรื่องราวในยุคก่อนประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีได้ค้นพบรูปปั้นผู้หญิงนอน “The Sleeping Lady” ในสภาพที่สมบูรณ์แบบ จนกลายเป็นวัตถุโบราณอันทรงคุณค่าของมอลตา

วิหารจกันติยา (Ggantija Temples) หรือวิหารยักษ์ มีตำนานเล่าว่าเผ่าพันธุ์ยักษ์เป็นผู้สร้างขึ้น เพราะขนาดของก้อนหินปูนน้ำหนักมากกว่า 50 ตัน ยาวถึง 5 เมตร ภายนอกล้อมรอบด้วยกำแพงหิน เครื่องปั้นดินเผา รูปปั้นคนและสัตว์ ถัดไปวิหารทาร์เซียน (Tarxien Temples) ได้ค้นพบแท่นบูชา หินแกะสลักลวดลายเกลียววงกลม และมีรูปปั้นหินขนาดมหึมา ความสูงถึง 2.50 เมตร วิหารมนัจดรา (Mnajdra Temple) ภายในมีห้องลับที่ซ่อนอยู่ตามผนังหิน วิหารฮาการ์ คิม (Hagar Qim Temple) โครงสร้างภายนอกเป็นหินขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มาต่อกันจนกลายเป็นวงกลม ด้านในนำหินมาเรียงกันเป็นห้อง และสุดท้ายวิหารสกอร์บา (Skorba Temple) ภายในมีข้าวของเครื่องใช้ ภาชนะดินเผา แสดงให้เห็นถึงวิถีการดำรงชีวิตในอดีต ปัจจุบันได้นำผ้าใบมาคลุมเอาไว้ เพื่อรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดการกัดกร่อนจากลมฟ้าอากาศ และวัตถุโบราณจากวิหารทั้ง 6 แห่ง ได้ถูกกระจายเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์หลายแห่งในมอลตา

 

หลังจากนี้เราไปชม โบสถ์ทาปนู (Ta’Pinu) ตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้า แถบชานเมืองกันบ้างค่ะ สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 เพื่อบูชาพระแม่มารี Our Lady of Ta’Pinu เป็นหนึ่งโบสถ์ที่พระสันตะปาปาเสด็จมาเยือนถึง 2 องค์ คือโป๊ปจอห์นปอลที่ 2  ในปี ค.ศ.1990 และโป๊ปเบเนดิกต์ที่ 14 ในปี ค.ศ. 2010 ได้มอบกุหลาบสีทอง (Golden Rose) สัญลักษณ์ที่แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์แห่งนี้ ภายในโบสถ์ตกแต่งประดับด้วยภาพโมเสคจำนวน 6 ภาพ และกระจกสีจำนวน 76 บาน และมีหอระฆังสูง 61 เมตร โดดเด่นตัดขอบฟ้าและน้ำทะเลจ้า

เที่ยวหมู่บ้านป๊อปอาย (Popeye’s Village)

หมู่บ้านป๊อปอาย หรือ   สวีทเฮฟเว่น วิลเลจ  (Sweet haven  Village) เป็นเกาะริมทะเลน่ารัก คิ้วท์ๆ >v< ตั้งอยู่ในอ่าวแองเคอร์ (Anchor Bay) เป็นหมู่บ้านเรือประมงริมทะเล สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1980 เพื่อเป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์เพลงเรื่องป๊อปอาย ของ Paramount Pictures และ Walt Disney Productions นำแสดงโดยโรบิน วิลเลียม การ์ตูนเรื่องนี้เป็นแนวตลกผจญภัยที่โด่งดัง และป๊อปอายกะลาสีเรือมีเอกลักษณ์จากการคาบไปป์ กินผักโขมเเพื่อพิ่มพลัง จะได้มีแรงไปช่วยโอลีฟออยล์สาวคนรัก ที่มักจะถูกลวมลามรังแก จากบรูโตจอมซ่าส์ที่เป็นทั้งคู่กัด และคู่แข่งทางหัวใจ ซึ่งจากความโด่งดังของการ์ตูนป๊อปอาย บวกกับบรรยากาศที่โรแมนติกริมทะเล ทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตติดชาร์ท และคู่รักจำนวนก็ชอบมาถ่ายพรีเวดดิ้งด้วยจ๊ะ

บ้านไม้ริมทะเลสีสันแซ่บจี๊ดจ๊าดสดใส ^0^ สร้างขึ้นจากไม้ที่มาจากประเทศฮอล์แลนด์ และแคนาดา ทั้งหมดจำนวน 19 หลัง กลายเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งริมทะเลหลังจากที่ถ่ายภาพยนตร์เสร็จสิ้น ภายในหมู่บ้านตกแต่งด้วยรูปปั้นของตัวละครมากมายทั้ง ป๊อปอาย โอลีฟ ออยล์ บลูโต สวีทพี วิมปีน บ้านแต่ละหลังเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้สไตล์วินเทจ คลาสิกแบบเท่ห์ๆ ระหว่างวันจะมีขบวนพาเหรดตัวการ์ตูนจำลองออกมา ร้องเพลงเต้นรำถ่ายรูปคู่กัน เล่นเกมส์ เพ้นท์หน้า เล่นน้ำ ล่องเรือชมเมืองกันอย่างสนุกสนาน  หรือจะพักเติมพลังนั่งพักจิบกาแฟ ชิมเค้ก ปิ้งบาร์บีคิว ทานอาหารริมทะลก็มีเมนูให้เลือกหลากหลาย นอกจากความสนุกแล้ว ความปลอดภัยก็เป็นเริ่ดค่า เพราะว่าบ้านไม้ทุกหลังติดตั้งเครื่องดับเพลิง สร้างมั่นใจให้เที่ยวได้อย่างสบายใจด้วยจ้า

การเดินทางสามารถนั่งเรือ หรือรถบัสจากวัลเลตตา สาย 41 หรือ 42 ไปลงที่ Mellieha Centre แล้วต่อสาย 101 ไปลงที่หมู่บ้านป๊อปอายได้ เปิดให้เข้าเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี แบ่งเป็น 3 ช่วงเวลา ได้แก่ เดือน พ.ย. - มี.ค. เวลา 9.30 - 16.30 น. ช่วงเดือน เม.ย. - มิ.ย. และ ก.ย. - ต.ค. เวลา 9.30 - 17.30 น. และสุดท้ายช่วง ก.ค. - ส.ค. เวลา 9.30 - 19.00 น.

เที่ยวบลูลากูนแห่งเกาะโคมิโน (Blue Lagoon Island of Comino)

เกาะโคมิโน เป็นเกาะเล็กๆ มีพื้นที่เพียง 3.5 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่กลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนระหว่างเกาะมอลตา และโกโซ ในอดีตเคยเป็นคุกคุมขังนักโทษเพราะล้อมรอบไปด้วยทะเล บวกกับเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติรักษาพืชพันธุ์ตามธรรมชาติ จึงทำให้เกาะนี้เงียบสงบมาก มีคนที่อาศัยอยู่บนเกาะไม่ถึงสิบคน แต่กลับมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนกันเข้ามากันอย่างไม่ขาดสาย  ตอบโจทย์ความต้องการพักผ่อนของคุณได้แน่นอน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นเกาะสวรรค์บนดินที่ใครๆ ก็มาได้

บลูลากูน หรือบ่อน้ำทะเลสีฟ้าใสสะอาดราวกับแก้วคริสตัล แสงแดดตกกระทบบนหาดทรายสีขาว ส่องแสงระยิบระยับในอ่าวซานตามาริจา (Santa Marija Bay) และอ่าวซานนิกลาว (San Niklaw Bay) ระหว่างวันมีเรือนักท่องเที่ยวเข้าออกเป็นจำนวนมาก เราสามารถเล่นน้ำ ดำน้ำตื้น ดำน้ำลึกชมปะการังได้ ใครอยากเดินป่าสำรวจบนเกาะ ปีนเขา หรือตั้งแคมป์ปิ้งนอนค้างแรมบนเกาะ ตามรอยหนังฮฮลีวูดชื่อดังเรื่อง Troy ที่นำแสดงโดย แบรด พิตต์ ก็สามารถทำได้ หรือสนใจซื้อทริป Comino - Blue Lagoon Day Trip ก็มีให้เลือกหลากหลายออปชั่น ทั้งช่วงเวลา ราคา และบริการบนเรือ ถ้าเราแค่ข้ามเรือไปกลับเล่นน้ำแวะพักเพียงแห่งเดียวก็ 10 ยูโร ถ้าแวะเล่นน้ำ 3 - 4 แห่ง แพ็คเกจยอดนิยมราคาราว 25 - 35 ยูโร มีบริการอาหารกลางวัน 1 ชุดต่อคน เครื่องดื่มน้ำเปล่า ไวน์แดง ไวน์ขาว เบียร์ โค้ก ดื่มฟรีได้ตลอดเวลาค่ะ เอาไปเลยจ้า 10 10 10 !! มันช่างเป็นเวลาที่เราได้ Take Time To Chill ชาร์ตแบตให้กับตัวเองได้เป็นอย่างดีเยี่ยม

เที่ยวถ้ำบลูกร็อตโต้ (Blue Grotto)

ฟินสุดๆ ชื่นชมความงามของถ้ำบลูกร็อตโต้ (Blue Grotto) ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเอกลักษณ์ของมันคือ แสงแดดจะส่องเข้ามาทางปากถ้ำ สะท้อนขึ้นบนผนังและเพดานถ้ำ และลำแสงตกกระทบกับน้ำทะเลสีครามระยิบระยับเป็นประกายวิบวับสุดๆ ซึ่งเป็นความงามจากธรรมชาติ ที่รังสรรค์มาจากการกัดกร่อนของกระแสลมและน้ำ เป็นซุ้มประตูขนาดใหญ่สูงกว่า 30 เมตร แล้วยังมีถ้ำตามหน้าผาริมทะเลจำนวน 7 แห่ง เราสามารถนั่งเรือเข้าไปดูในถ้ำ และบริเวณรอบๆ หรือจะว่ายน้ำเล่นด้วยก็ได้ ส่วนการเดินทางไปนั้น ต้องดูช่วงเวลาให้เหมาะ ไม่ว่าจะพระอาทิตย์ส่องแสง ระดับน้ำทะเล กระแสน้ำ รวมถึงความแรงลมด้วย ความสวยงามในแต่ละครั้งก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วยค่ะ

การเดินทางก็สามารถซื้อ Boat Trips จากท่าเรือ Wied iz-Zurrieq ได้ ผู้ใหญ่คนละ 8 ยูโร เด็ก 4 ยูโร นั่งเรือออกไปทางตอนใต้ของเกาะมอลตาประมาณ 20 นาที เรือหนึ่งลำจะบรรทุกผู้โดยสารประมาณ 10 คน และทุกคนต้องสวมเสื้อชูชีพ เพื่อความปลอดภัยด้วยนะคะ

เที่ยวหน้าผาดิงลี (Dingli Cliffs)

หน้าผาดิงลีจุดสูงสุดของหมู่เกาะมอลตา มีความสูงถึง 253 เมตร จากระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่นอกหมู่บ้านดิงลีบนชายฝั่งตะวันตกของมอลตา ที่เราต้องนั่งรถลัดเลาะไปตามริมหน้าผา มองออกนอกหน้าต่างเบื้องหน้าคือท้องทะเลสีครามเวิ้งวางสุดสายตา บนหน้าผาเป็นที่ตั้งของศูนย์ปฏิบัติการเรดาร์ชายฝั่ง รูปทรงคล้ายลูกกอล์ฟขนาดใหญ่ตั้งโดดเด่นอยู่ริมหน้าผา รายล้อมไปด้วยทุ่งหญ้าดอกไม้ป่าสีสันสดใส และมีเก้าอี้ไม้คลาสิกเรียงราย ให้เราได้นั่งพักชมวิวทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแบบพาโนรามาได้อย่างสบายอารมณ์

นอกจากนี้บนหน้าผาดิงลี ยังมีโบสถ์เล็กๆ บนยอดเขา สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับ Saint Mary Magdalene ขอแนะนำให้ไปช่วงเย็นๆ นะคะ เพราะอากาศไม่ร้อนมาก จะได้ดูพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ตกดินลับสายตาไปในที่สุด แหม...บรรยากาศมันช่างสุดแสนโรแมนติก เหมาะสำหรับคู่รักมาแต่งงานกันจังเลย มีท้องฟ้ากับน้ำทะเลสีครามเป็นสักขีพยานให้กับความรักของสองเรา โอ้ยๆๆ แค่คิดก็ฟินจิกหมอนกระจายแล้วจ้า เที่ยวไปมโนไปสุขใจจริ๊งจริง >,<

 

เที่ยวหมู่บ้านประมง มาร์ซักลอกก์ (Marsaxlokk Fishing Village)

หมู่บ้านประมงมาร์ซักลอกก์ ท่าเรือขนาดใหญ่อันดับสองของมอลตา บริเวณตรงท่าเรือ จะมีบรรดาเรือประมงพื้นเมืองหรือ Luzzus จอดอยู่เต็มไปหมดเลยค่ะ สีสัน และรูปทรงของเรือ เก๋ไม่เบาเลย เวลามาจอดกันเยอะๆ แลสวยงามดีค่ะ และลองสังเกตดูดีๆ นะคะ บริเวณด้านหน้าของเรือทุกลำ จะมีตาสองดวงแปะอยู่ ซึ่งเป็นดวงตาผู้พิทักษ์ Eye of Horus or Of Osiris ที่จะคอยสอดส่องคุ้มครองให้ไม่ได้เกิดภัยอันตรายกับชาวประมงขณะเดินเรือค่ะ ด้านหลังท่าเรือเป็นโบสถ์มาร์แมกซ์ลอกก์ (Marsaxlokk Parish Church) นิกายโรมันคาทอลิก สร้างในศตวรรษที่ 19 ภายในตกแต่งด้วยสีขาว สีแดง สลับกับลงรักปิดทองคำได้อย่างลงตัว และทุกวันอาทิตย์ด้านหน้าโบสถ์ ก็จะมีตลาดนัดขายเสื้อผ้า ขนมกินเล่น ผัก ผลไม้ งานอาร์ตลวดลายสีสันสวยงาม ให้เลือกซื้อเป็นของที่ระลึกกันได้ ในราคาไม่สะเทือนกระเป๋าตังค์เท่าไรค่ะ แถมยังมีน้ำพุ และมุมถ่ายภาพชิคๆ ตึกรามบ้านช่อง เป็นตรอกซอกซอยสไตล์ดั้งเดิม สีสันสดใส เก๋ไก๋ ไม่แพ้เมืองอื่นในยุโรปเลย

เดินลัดเลาะไปทางด้านหลังจะพบกับ โบสถ์คาร์เมไลท์ (Carmelite Church หรือ Basilica of Our Lady of Mount Carmel) สถาปัตยกรรมแบบบารอก สร้างขึ้นประมาณ ปี ค.ศ.1570 และได้รับความเสียหายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงบูรณะขึ้นใหม่ตั้งแต่ ค.ศ. 1958 -1981 เป็นโบสถ์ที่มียอดโดมยิ่งใหญ่อลังการมากที่สุดในมอลตา ด้วยความสูงถึง 42 เมตร ภายในตกแต่งด้วยหินอ่อนสีแดง และสีขาวตัดกันอย่างลงตัว ไปต่อกันที่ป้อมปราการเดลีมารา (Fort Delimara) หนึ่งในป้อมปราการตามแนวป้องกันชายฝั่งท่าเรือมาร์แมกซ์ลอกก์ ภายในมีหอคอยเซนต์ลูเซีย (St. Lucian Tower) สร้างในศตวรรษที่ 17 สำหรับใช้สังเกตการณ์ทางทะเลมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสอง รองจากหอคอยเซนต์โทมัสในมอลตา และบนหอคอยมีปืนใหญ่จำนวน 6 กระบอกประจำจุดต่างๆ ปัจจุบันได้กลายเป็นศูนย์วิจัยเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ ที่เปิดให้บริการเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวัน ยกเว้นวันเสาร์ค่ะ

เที่ยวเซลีมา และมหาวิหารเซนต์จูเลียน (Sliema and Saint Julians)

มาลั้นลากันยามค่ำคืนที่เซลีมา อดีตเคยเป็นหมู่บ้านเรือประมง และเมืองท่าตากอากาศอันแสนเงียบของชนชั้นสูงชาวอังกฤษ ทำให้ตามแนวชายฝั่งทะเลเต็มไปด้วยบ้านเรือน ทาวน์เฮ้าส์แบบมีระเบียง และวิลล่าหรูหราสไตล์วิคตอเรีย รวมถึงถนนหนทางในเมือง ถูกตั้งชื่อตามสถานที่สำคัญของอังกฤษด้วยค่ะ เช่น ถนนนอร์ฟอล์ก ถนนปรินซ์ออฟเวลส์ วินด์เซอร์เทอเรซ ถนนเกรแฮม จึงเป็นที่นิยมสำหรับเดินเล่นชมวิวทิวทัศน์ยามเย็นระยะทางราว 2 กิโลเมตร จาก Qui-Si-Sana ถึง St Julian's พร้อมกับชมบ้านโบราณ ที่ประตูบ้านก็สีสันแจ่มจี๊ดจาดฉูดฉาด แถมแนวระเบียงด้านบน ก็ตกแต่งด้วยดอกไม้หลากสีสันเกร๋ๆ แบบไม่มีใครยอมใครกันเลยทีเดียว และแถว Saint Julians ยามค่ำคืนก็เต็มไปด้วยแสงสีเสียง ผับ บาร์ ซึ่งรวบรวมแหล่งแฮงเอาต์ริมทะเลไว้มากมาย ให้เราได้ชีวิตไนท์ไลฟ์กันให้เต็มสตรีมไปเลยจ้า  ตึ้ง ตึง ตึ้ง ตึง ตึง......

ข่วงกลางวันเซลีมาเป็นย่านเศรษฐกิจ การค้า แหล่งชิม ช็อป ใช้ ตังค์กันให้คุ้มกับความบันเทิง และของกินอร่อยๆ กันที่ The Point ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดของมอลตา ทางเข้าเป็นสะพานกุญแจแห่งรัก ซึ่งคู่รักจะมาคล้องกุญแจแห่งรัก ตามแนวสะพานเป็นจำนวนมาก และอธิษฐานให้ความรักมั่นคงยืนยาว คล้ายกับสะพานปง เด ซาร์ (Pont Des Arts) ของฝรั่งเศส The Point ตั้งอยู่ในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ริมชายฝั่งทะเลที่มีทั้งโรงแรม เพนท์เฮ้าส์ อาคารสำนักงาน ร้านอาหาร ร้านค้าแบรนด์ดัง สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของป้อมปราการของวัลเลตตา และแกรนด์ฮาร์เบอร์ ได้อย่างเต็มตา