เที่ยวปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้หลายล้านคนต่อปี เพราะเสน่ห์ของศิลปะและวัฒนธรรมกระจายอยู่ทุกที่ทั่วเมือง การออกแบบและก่อสร้างสถาปัตยกรรมต่างๆ ขอบอกว่าอลังการและสวยงามมากๆ อย่ารอช้า มาดูกันเลยค่ะว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอะไรบ้างง

 

เที่ยวกำแพงเมืองจีน (Great Wall Of China)


จะมีใครบ้างที่ไม่เคยได้ยินชื่อของกำแพงเมืองจีน กำแพงขนาดใหญ่ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของประเทศจีน มีความยาวกว่า 21,196.18 กิโลเมตร โดยมีอาณาเขตครอบคลุมทั้งหมดถึง 9 มณฑล ทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และจัดเป็น 1 ใน 7 ของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอีกด้วยค่า

ผู้ก่อสร้างกำแพงเมืองจีนคนแรกก็คือ จักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์แรกของประวัติศาสตร์จีน สร้างขึ้นเพื่อเป็นแนวบอกชายแดนและป้องกันการบุกรุกของศัตรู โดยมีต้นแบบมาจากมังกรค่ะ ซึ่งในประเทศจีนมังกรเป็นสัตว์ที่แสดงถึงพลังการปกป้องคุ้มครอง ถ้ามองดูดีๆ จะเห็นว่ากำแพงเมืองจีนมีลักษณะรูปร่างคล้ายกับมังกรที่ขดตัวอยู่เหนือภูเขา เหมือนกับกำลังปกป้องอาณาเขตของตัวเองอยู่นั่นเอง

วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างมีความหลากหลายและแตกต่างกันไปตามภูมิประเทศที่กำแพงพาดผ่าน ซึ่งมีทั้งหิน ดิน ไม้ บางจุดก็ใช้หินอ่อน หินแกรนิต โคลน หรือดินเผา โดยใช้แรงงานนับล้านคน ส่วนใหญ่เป็นนักโทษสงครามและทาส มีแรงงานจำนวนไม่น้อยเลยค่ะที่เสียชีวิตลงระหว่างการก่อสร้าง และศพเหล่านั้นก็ถูกฝังทับถมอยู่ภายใต้กำแพง จนได้ชื่อว่าเป็นสุสานที่ยาวที่สุดในโลก เป็นที่กล่าวขานกันว่า ทุกๆ หนึ่งฟุตของกำแพงเมืองจีนคือหนึ่งชีวิตของผู้ก่อสร้างกำแพงค่ะ และนับจากสมัยจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ กำแพงเมืองจีนก็ถูกสร้างต่อกันมาอีกหลายยุคหลายสมัย รวมระยะเวลาทั้งสิ้นเกือบสองพันปีเลยทีเดียว







กำแพงเมืองจีนมีหลายด่านมาก แต่ละด่านก็มีความสวยงามแตกต่างกันไป จุดที่นักท่องเที่ยวจะมามากที่สุดก็คือ ด่านปาต้าหลิง (Badaling) ค่ะ เพราะเป็นด่านที่ทันสมัยที่สุด เดินทางง่าย มีรถสาธารณะคอยรับ-ส่งด้วย ทั้งกระเช้า รถราง ร้านอาหาร ไปจนถึงอินเทอร์เน็ตไร้สาย เป็นจุดที่มีความสูงชัน สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์สวยๆ ได้รอบด้านอีกด้วยค่า


 

 

 

 

 

เที่ยวหอสักการะฟ้าเทียนถาน (Temple of Heaven)


หอสักการะฟ้าเทียนถาน ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของปักกิ่งค่ะ โดยคำว่าเทียน (Tian) หมายถึงฟ้า ส่วนคำว่าถาน (Tan) หมายถึงแท่นบูชา ใช้เป็นที่ประกอบพิธีเซ่นไหว้หรือบูชาฟ้าดินเพื่อขอให้ฝนตกตามฤดูกาลและให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ตลอดทั้งปี ถูกสร้างขึ้นสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง ซึ่งใช้เวลาสร้างนานกว่า 14 ปีเลยทีเดียว และได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1998 อีกด้วยค่า

หอบูชาเทียนถานมีพื้นที่กว้างขวางมาก ประมาณ 1,700 ไร่ เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ที่ผู้คนนิยมมาออกกำลังกายและทำกิจกรรมกลางแจ้งกัน ไม่ว่าจะเป็น รำมวยจีน เต้นรำ ตะกร้อ แบดมินตัน หรือนั่งจิบน้ำชา เล่นหมากรุกกันอย่างสบายอารมณ์ รอบๆ เต็มไปด้วยต้นสนกว่า 4,000 ต้น แต่ละต้นมีอายุมากกว่าร้อยปี บางต้นก็มีอายุถึง 500 ปีเลยทีเดียว สมัยก่อนถือเป็นไม้ต้องห้ามสำหรับชาวบ้านทั่วไป เพราะถือว่าเป็นไม้ชั้นสูง มีไว้ประดับบารมีเฉพาะระดับจักรพรรดิ์เท่านั้นค่ะ









โดยได้แบ่งตำหนักและแท่นบูชาเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ตำหนักฉีเหนียนเตี้ยน หรือตำหนักสักการะ เป็นตำหนักที่ยิ่งใหญ่โดดเด่นและสำคัญที่สุด ก่อสร้างโดยใช้เสาไม้จำนวน 24 ต้น สูง 40 เมตร และไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว สร้างซ้อนกันขึ้นไป 3 ชั้น ล้อมด้วยลูกกรงหินอ่อน เปรียบเสมือนเดินขึ้นไปบนสวรรค์นั่นเองค่า

ต่อมาคือตำหนักหวงฉุงหยีว์ หรือตำหนักเทพสถิต เป็นที่สําหรับเก็บรักษาแผ่นป้ายชื่อของเทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์ ภายในมีแผ่นหินก้อนสี่เหลี่ยม 3 แผ่น เรียกว่า หิน 3 เสียง เมื่อเรายืนอยู่บนแผ่นหินแล้วปรบมือ ก็จะมีเสียงสะท้อนกลับมาด้วยนะคะ นอกจากนี้กำแพงยังสามารถนำเสียงได้เป็นอย่างดี เมื่อมีคนพูดใส่กำแพงเบาๆ และอีกคนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามเอาหูแนบกำแพง ก็จะได้ยินเสียงพูดจากอีกฝ่ายได้แบบชัดแจ๋วเลยค่า

สุดท้ายคือหยวนซิวถาน หรือแท่นบวงสรวงฟ้า ใช้เป็นที่บวงสรวงเทพฟ้าดิน ล้อมรอบด้วยรั้วหินหยกขาว แกะสลักเป็นลวดลายเมฆและมังกร เวลาประกอบพิธี ฮ่องเต้จะคุกเข่าลงตรงใจกลางของแท่นที่มีหินกลมก้อนใหญ่แล้วขอพรจากสวรรค์ เมื่อพูดด้วยเสียงดังฟังชัดจะได้ยินเสียงสะท้อน ทำให้รู้สึกว่าได้อยู่ใกล้สวรรค์และเหล่าเทพเทวดา ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษของการก่อสร้างและการออกแบบเฉพาะในสมัยโบราณนั่นเองค่ะ

ที่หอสักการะฟ้าเทียนถานนี้นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของจีนที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อยนะคะ ใครที่มาเยือนปักกิ่งห้ามพลาดเด็ดขาดเลย









 

เที่ยวพระราชวังฤดูร้อน (Summer Palace)


พระราชวังฤดูร้อน หรืออี้เหอหยวน ตั้งอยู่ในเขตเขตไห่เตี้ยน ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่งค่ะ ก่อสร้างขึ้นปีค.ศ. 1750 และเปิดให้สาธารณะเข้าชมได้ในปี ค.ศ. 1924 ต่อมาก็ถูกจัดให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโกในปี ค.ศ. 1998 อีกด้วยค่า

แต่เดิมเป็นพระราชวังของพระเจ้ากุบไลข่าน และมีการต่อเติมในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง แต่ก็ถูกทำลายหลายครั้งจากสงคราม ต่อมาพระนางซูสีไทเฮาได้บูรณะขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นที่พักของพระนางและสมเด็จพระจักรพรรดิกวางสูผู้ปกครองเมือง แต่อำนาจที่แท้จริงนั้นอยู่ที่พระนางซูสีไทเฮาค่ะ

สมเด็จพระจักรพรรดิกวางสูถูกกักอยู่ในตำหนักเล็กๆ แคบๆ ว่ากันว่าบ้านพักของลิเลียนยิง ขันทีมือขวาของพระนางซูสีไทเฮา ยังหรูหรากว่าซะอีกค่ะ มีแค่มเหสีสองคนเท่านั้นที่คอยดูแลสมเด็จพระจักรพรรดิกวางสูจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตเพราะยาพิษของพระนางซูสีไทเฮา

ที่นี่ถูกบำรุงรักษาไว้ได้อย่างดีงามสุดๆ มีพื้นที่ประมาณ 2.9 ตารางกิโลเมตร มีทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ขุดขึ้นเอง และนำดินมาถมเป็นภูเขาสูง 60 เมตร ชื่อว่า ว่านโซวซ่าน หรือภูเขาหมื่นปี บนภูเขามีสิ่งก่อสร้างมากมาย เช่น เจดีย์สูงแปดเหลี่ยม, โรงงิ้ว, สวนดอกไม้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอุทยานหลวงที่มีขนาดใหญ่และงดงามที่สุดของจีน และยังมีตำหนักน้อยใหญ่อีกเพียบ โดยตำหนักของพระนางซูสีไทเฮามีชื่อว่า Hall of Lotus Fragrance แปลว่าหงส์ที่อยู่เหนือมังกร ซึ่งหมายถึงอำนาจของพระนางที่อยู่เหนือสมเด็จพระจักรพรรดินั่นเองค่ะ

จุดที่ผู้คนมักจะมาถ่ายรูปกันก็คือบนยอดเขา ที่เมื่อมองลงมาจะเห็นทะเลสาบ เป็นภาพที่สวยงามมากกก สามารถเดินเล่นที่ระเบียงริมทะเลสาบได้ โดยมีความยาวเกือบ 800 เมตร จากหมู่พระตำหนักตะวันออกไปยังเรือหินอ่อนที่พระนางซูสีไทเฮาได้สร้างขึ้น โดยใช้เงินสำหรับการดูแลปรับปรุงกองทัพมาใช้เพื่อเป็นเพียงที่นั่งจิบน้ำชาชมทิวทัศน์ของพระนางเท่านั้น

เป็นอย่างไรบ้างคะ แค่เรื่องราวและประวัติของพระราชวังฤดูร้อนแห่งนี้ก็ไม่ธรรมดาซะแล้ว นอกจากจะเต็มไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากมาย ยังมีทิวทัศน์ที่สวยงามอลังการอีกด้วย นับเป็นอีกสถานที่ที่ควรค่าแก่การมาเยือนมากๆ เลยค่ะ















 

พระราชวังต้องห้าม (Forbidden City)


พระราชวังต้องห้ามหรือที่ชาวจีนเรียกกันว่าพระราชวังกู้กง ถือเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดในการมาเยือนประเทศจีนเลยล่ะค่ะ ซึ่งถ้าใครมาถึงปักกิ่งแล้วไม่ได้มาชมถือว่าพลาดมากกก เพราะนอกจากจะเป็นหนึ่งในพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก! ยังเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทรงคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์และวรรณคดี และยังได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกอีกด้วยค่า

ที่นี่ถูกสร้างขึ้นตามหลักฮวงจุ้ย ซึ่งอยู่ตรงตำแหน่งที่เรียกว่าหัวใจของปักกิ่ง (Heart of Beijing) เคยเป็นที่พำนักของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิงถึง 14 พระองค์ และราชวงศ์ชิงอีก 14 พระองค์ ซึ่งคำว่าพระราชวังต้องห้ามมาจากที่ในอดีตเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้สามัญชนเข้ามาด้านใน แม้แต่ข้าราชการชั้นสูงยังต้องได้รับการอนุญาตจากฮ่องเต้เท่านั้น จึงจะสามารถผ่านเข้ามายังพระราชวังแห่งนี้ได้ค่ะ และคนในที่อยู่ เช่น สนมกำนัล ขันที และข้าหลวงรับใช้ทุกคนก็จะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต

พื้นที่ของพระราชวังต้องห้ามมีทั้งหมดประมาณ 720,000 ตารางเมตร มีกำแพงสูงและคูน้ำล้อมรอบ มีประตูทางเข้าทั้งสี่ทิศ อาคารมากกว่า 900 หลัง รวมกันทั้งหมดถึงหมื่นห้อง การก่อสร้างใช้ช่างฝีมือนับแสนคนและคนงานอีกกว่าล้านคนค่ะ วัสดุทุกอย่างก็คัดเอาเฉพาะของดีมาจากทั่วทุกสารทิศ ใช้เวลาการก่อสร้างทั้งหมด 14 ปี เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่อลังการสุดๆ ไปเลยค่า

โดยแบ่งเป็นเขตพระราชฐานชั้นนอกและชั้นใน ซึ่งเขตชั้นในเป็นส่วนที่พำนักของฮ่องเต้ พระมเหสี พระสนม พระโอรสและพระธิดา มีสวนขนาดใหญ่ซึ่งรวมต้นไม้เก่าแก่ไว้หลายชนิด และมีอายุกว่า 300 ปีขึ้นไป รวมถึงใช้เป็นสถานที่ปรึกษาราชการสำคัญๆ และตรวจเอกสารอนุมัติราชการแผ่นดินในแต่ละวันด้วยค่ะ ส่วนพระราชฐานชั้นนอก ใช้เป็นที่ประกอบพิธี งานเลี้ยงต่างๆ และว่าราชการแผ่นดินกับขุนนางขุนศึก

ต้องขอบอกว่าพระราชวังแห่งนี้กว้างขวางใหญ่โตมากกก แนะนำว่าควรมีเวลาสักประมาณ 4 ชั่วโมงนะคะ เพื่อจะได้เดินชมทั่วครบทุกตำหนัก งานนี้ความรู้เพียบ แถมยังได้สัมผัสบรรยากาศเก่าๆ ไปพร้อมกันด้วยค่า













 

เที่ยวจัตุรัสเทียนอันเหมิน (Tiananmen Square)


จัตุรัสเทียนอันเหมินขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในจัตุรัสที่มีชื่อเสียงและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก! มีพื้นที่ทั้งหมด 440,000 ตารางเมตร สามารถจุคนได้ถึง 1 ล้านคนเลยทีเดียวค่า สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1417 ในสมัยราชวงศ์หมิง ถือเป็นศูนย์กลางของชาวปักกิ่ง เพราะเป็นทั้งที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางราชการ และยังใช้เป็นที่เฉลิมฉลองจัดพีธีต่างๆ รวมถึงการชุมนุมประท้วงด้วยค่ะ โดยในปี ค.ศ. 1989 นักศึกษาจีนได้ชุมนุมประท้วงเป็นระยะเวลากว่า 2 เดือน ทหารจึงเข้าปราบปรามจนเกิดเหตุรุนแรงขึ้น มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นของที่นี่เลยล่ะค่ะ







 

ภายในจตุรัสประกอบด้วย ตึกรัฐสภาประชาชน (The Great Hall of the People) ปัจจุบันยังใช้เป็นที่ทำการสภานิติบัญญัติของจีน รวมทั้งต้อนรับแขกสำคัญของบ้านเมือง



 

พิพิธภัณฑ์แห่งชาติจีน (National Museum of China) ได้รวบรวมผลงานทางประวัติศาสตร์ทั้งโบราณวัตถุ โบราณคดี และจัดแสดงเรื่องราวเหตุการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์และการปฏิวัติ เพื่อให้คนรุ่นหลังโดยเฉพาะชาวจีน ได้ทราบถึงความยากลำบากของการรวบรวมประเทศจนเป็นจีนแผ่นดินใหญ่เหมือนในปัจจุบันนั่นเอง



 

อนุสาวรีย์วีรชน (The Monument to the People’s Heroes) เป็นเสาหินแกรนิตขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ใจกลางจัตุรัส เพื่อรำลึกถึงการต่อสู้ของประชาชนชาวจีนในการรวมเป็นสาธารณรัฐจนสำเร็จ รอบๆ ฐานมีภาพสลักเรื่องราวการปฏิวัติและมีลายมือประธานาธิบดีเหมาเจ๋อตุงสลักเอาไว้บนเสาด้วยค่ะ



 

ตึกอนุสรณ์สถานประธานเหมา (Chairman Mao Zedong Memorial Hall) เราจะได้เข้ามาเคารพศพของประธานาธิบดีเหมาเจ๋อตุงที่เสียชีวิตในปี 1976 โดยร่างของท่านจะนอนอย่างสงบอยู่ในโลงแก้ว โดยถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี





 

และจุดถ่ายรูปยอดนิยมก็คือ ซุ้มประตูของพระราชวังโบราณที่หรือที่เรียกกันว่าพลับพลาเทียนอันเหมินค่ะ เป็นพลับพลาสีแดงที่มีรูปภาพขนาดใหญ่ของท่านประธานเหมาเจ๋อตุงประดับอยู่เหนือซุ้มประตู โดยซุ้มประตูทั้งสองข้างมีข้อความเขียนไว้ว่า ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนจงเจริญ และ ความสามัคคีประชาชนทั่วโลกจงเจริญประดับไว้ด้วย



ในช่วงเช้าและเย็นของทุกวันจะมีพิธีชักธงชาติ เราจะได้เห็นกองทัพทหารเดินสวนสนามอย่างพร้อมเพรียง และในวันชาติจีน คือวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี จะมีการประดับดอกไม้ และโคมไฟที่บริเวณจตุรัสเทียนอันเหมินแห่งนี้ สวยงามมากๆ เลยค่า

ที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องราวประวัติศาสตร์อันยาวนาน และเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองที่เกิดขึ้นและจารึกไว้มากมาย ซึ่งทำให้จัตุรัสแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มาเยือนได้อย่างไม่ขาดสายเลยค่ะ







 

เที่ยวถนนหนานโหลวกู่เซียง (Nanluoguxiang)


เป็นถนนคนเดินที่มีขนาดใหญ่และดีงามที่สุดในกรุงปักกิ่งค่า อยู่ทางทิศเหนือของพระราชวังต้องห้าม ทั้งสองข้างทางกว่า 800 เมตรเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย มีทั้งร้านเสื้อผ้า เครื่องประดับ ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่าง ร้านกาแฟ ผับ บาร์ ร้านอาหาร หญิงปุ๊กแอบเห็นมีร้านอาหารไทยด้วยนะคะ *0* หรือใครมองหาร้านขายของที่ระลึกสวยๆ ของฝากเก๋ๆ ที่นี่ไม่ทำให้ผิดหวังจ้า มีทุกอย่างที่ตามหาจริงๆ ตอนนี้ตามหาเนื้อคู่อยู่ มีมั้ยจ๊ะ ฮิ้ววว

อาคารบ้านเรือนของที่นี่มีอายุหลายร้อยปี นับเป็นตรอกซอกซอยที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงปักกิ่งเลยค่ะ แต่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นดีมากๆ ต่อมาได้ดัดแปลงเป็นร้านค้า แต่ก็ยังคงความเก่าแก่ของแบบบ้านโบราณไว้ ระหว่างเดินเล่นเราจะได้กลิ่นอายของความคลาสสิคที่ซ่อนอยู่ รู้สึกเหมือนได้ย้อนอดีตเลยล่ะค่ะ ถือเป็นแหล่งรวมตัวของวัยรุ่นรวมถึงนักท่องเที่ยวจากชาติต่างๆ ที่ใครได้มาสัมผัสก็ต้องฟินไปตามๆ กันค่า















 

เที่ยววัดลามะ (Lama Temple)


วัดลามะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สุดตระการตาของกรุงปักกิ่ง เคยเป็นที่พำนักหลวงแห่งราชวงศ์ชิง ปัจจุบันเป็นหนึ่งในวัดพุทธที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศจีนค่ะ มีเนื้อที่กว่า 60,000 ตารางกิโลเมตร วัดแห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นโบราณสถานที่ผสมผสานวัฒนธรรมทั้ง 4 ไว้ได้อย่างลงตัว ได้แก่ ฮั่น มองโกล แมนจู และธิเบต

โดยฮ่องเต้ได้สร้างตำหนักให้แก่องค์ชายสี่หรือหย่งเจิ้ง หลังจากที่องค์ชายสี่ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ์องค์ที่ 3 จึงย้ายเข้าไปประทับในพระราชวังโบราณ ส่วนพระตำหนักนี้ครึ่งหนึ่งใช้เป็นสถานที่พักผ่อนของพระองค์ โดยตั้งชื่อว่ายงเหอกง (Yonghe Gong) และอีกครึ่งหนึ่งถวายให้พระลามะจังเจียฮูถูเค่อถู ซึ่งเป็นพระนิกายหมวกเหลืองของทิเบต เมื่อจักรพรรดิหย่งเจิ้งสิ้นพระชนม์ลง พระโอรสของพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์แทนและได้ยกพื้นที่พระตำหนักทั้งหมดให้แก่วัด และนำพระศพของจักรพรรดิหย่งเจิ้งมาฝังไว้ที่นี่ด้วยค่ะ ซึ่งแสดงถึงความศรัทธาและผูกพันของจักรพรรดิที่มีต่อพุทธศาสนา

บรรยากาศรอบๆ ดูศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขามมาก อบอวลไปด้วยกลิ่นควันธูปหอม มีพระพุทธรูปขนาดยักษ์ที่จะทำให้ทุกคนต้องเงยหน้ามองด้วยความตะลึง เพราะพระองค์นี้มีความสูงถึง 26 เมตร แบ่งออกเป็นสองช่วงคือ ใต้ดิน 8 เมตรและ จากพื้นดินขึ้นไปอีก 18 เมตร โดยใช้ไม้กฤษณาท่อนเดียวมาแกะสลัก และต้องใช้เวลาถึง 3 ปีในการขนส่งมาที่นครปักกิ่งค่ะ

นอกจากนี้มีภาพวาดฝาผนังอันงดงาม แท่นศิลาจารึกสี่ภาษาที่สลักประวัติของวัดลามะแห่งนี้เอาไว้ ภายในวัดมีพระตำหนักหลายหลัง รวมกว่าหนึ่งพันห้อง เช่น หย่งโย่วเตี้ยน เป็นห้องนอนและห้องหนังสือของจักรพรรดิหย่งเจิ้ง และถ้ามาในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี จะได้ชมความงดงามของใบแปะก๊วยที่เรียงรายต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่บริเวณทางเข้าอีกด้วยค่า















 

เที่ยวสนามกีฬารังนก (Bird's Nest Stadium)


สนามกีฬารังนก หรือปักกิ่งสเตเดี้ยม (Beijing National Stadium) นั่นเองค่า เป็นสนามที่เคยใช้จัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 2008 และปัจจุบันก็ยังคงใช้ในการแข่งกีฬาต่างๆ อยู่นะคะ ที่เรียกว่าสนามกีฬารังนกก็เพราะว่าลักษณะการออกแบบเป็นรูปคล้ายกับรังนกขนาดใหญ่ ที่ใช้โครงเหล็กมามาสานต่อกันไปมาเป็นวงกลม 3 รอบ คือ ด้านนอก แกนกลาง และด้านใน โดยแต่ละวงกลมนี้จะช่วยพยุงซึ่งกันและกันค่ะ ซึ่งรังนกเป็นอาหารยอดนิยมของชาวจีน ทำให้สื่อได้ว่าอยู่ในประเทศจีนนั่นเอง

ที่นี่สามารถจุผู้ชมได้ถึง 91,000 ที่นั่ง ใช้งบประมาณในการก่อสร้างเบาๆ แค่ 17,500 ล้านบาทค่าา แนะนำให้ไปช่วงเย็นๆ นะคะ เพราะจะได้สัมผัสบรรยากาศทั้งแบบกลางวันและกลางคืน ซึ่งช่วงค่ำของทุกวัน ที่สนามกีฬาจะเปิดไฟแสงสีตระกาลตา อลังการสุดๆ เนื่องจากรูปร่างหน้าตาของสนามที่เก๋ไก๋สวยงามแบบนี้ ทำให้กลายเป็นเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้วจ้า นักท่องเที่ยวที่มาต้องถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกไว้ทุกคน พลาดแล้วจะเสียใจน้า









 

เที่ยวสุสานราชวงศ์หมิง (Ming Tombs)


สุสานราชวงศ์หมิง หรือที่ชาวจีนเรียกว่า หมิงสือซานหลิง (Ming Shisan Ling) เป็นสุสานหลวงที่ใช้ฝังพระศพของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงค่ะ มีหลุมฝังศพอยู่ทั้งหมด 13 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 40 ตารางกิโลเมตร

โดยจักรพรรดิหย่งเล่อได้รับสั่งให้หาทำเลที่มีทิวทัศน์สวยงามและถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักฮวงจุ้ยเพื่อใช้เป็นสุสานของพระองค์เอง และทรงตั้งชื่อสุสานแห่งนี้ว่าสุสานฉางหลิง (Changling) และพื้นที่รอบๆ ก็ถูกใช้ฝังพระศพของจักรพรรดิองค์อื่นๆ ของราชวงศ์หมิงรวม 13 พระองค์ด้วยกันค่ะ และสุสานราชวงศ์หมิงแห่งนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 2003 จากองค์การยูเนสโกอีกด้วยค่า

ปัจจุบันสามารถเข้าชมสถานที่สำคัญภายในสุสาน 4 แห่ง ได้แก่

ทางเดินแห่งจิตวิญญาณ (Spirit Way) เป็นทางเดินยาวกว่า 1 กิโลเมตร ไปสิ้นสุดที่ซุ้มประตูขนาดใหญ่ที่สร้างด้วยหินอ่อน แกะสลักลวดลายที่สวยงามประณีตมากๆ ค่ะ ทั้งสองข้างทางเรียงรายด้วยหินแกะสลักเป็นรูปขุนนางและสัตว์ต่างๆ เช่น สิงโต ช้าง ม้า และอูฐ เพื่อเป็นผู้พิทักษ์สุสานค่ะ





 

สุสานเจ้าหลิง (Zhaoling Tomb) มีพื้นที่บริเวณกว้างขวาง บรรยากาศรอบๆ ร่มรื่น เป็นเนินดินขนาดใหญ่ ล้อมด้วยกำแพงสูงซึ่งเป็นที่ฝังพระศพของจักรพรรดิจูจื้อโฮว พระมเหสี และเหล่าสนมค่ะ







 

สุสานติงหลิง (Dingling Tomb) เป็นที่ฝังพระศพของจักรพรรดิว่านลี่ จักรพรรดิองค์ที่ 13 เป็นสุสานเพียงแห่งเดียวที่มีการขุดสำรวจลึกลงไปถึงใต้ดิน 27 เมตร ชาวจีนจึงเรียกกันว่าตำหนักใต้ดิน ภายในมีโลงพระศพสีแดง 3 โลงตั้งไว้บนฐานหินอ่อน โลงพระศพที่ตั้งอยู่ตรงกลางและมีขนาดใหญ่สุดนั้นบรรจุพระศพของจักรพรรดิว่านลี่ ส่วนโลงพระศพด้านข้างคือพระศพของพระมเหสีทั้งสององค์ค่ะ

รอบๆ มีหีบสีแดงรวม 26 ใบ ที่เต็มไปด้วยโบราณวัตถุล้ำค่าในสมัยราชวงศ์หมิง และยังมีบัลลังก์หินอ่อน 3 บัลลังก์ ซึ่งชาวจีนมักจะโยนเงินทั้งธนบัตรและเหรียญลงไปยังบัลลังก์นี้กันด้วยค่ะ







เครดิตรูปภาพจาก https://www.tripoto.com/trip/beijing-private-day-tour-great-wall-at-juyongguan-changling-tomb-dingling-tomb-6089

 

สุสานฉางหลิง (Changling Tomb) เป็นสุสานฝังพระศพของของจักรพรรดิหย่งเล่อ ตั้งอยู่ด้านในสุดติดกับภูเขาเทียนโช่ว ถือเป็นสุสานที่มีขนาดใหญ่และมีทำเลที่ดีที่สุดเลยค่ะ เพราะอย่างที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ทรงเลือกทำเลด้วยตัวเอง

เมื่อเข้าไปด้านในจะพบ ซุ้มประตูและท้องพระโรงขนาดใหญ่โตสวยงาม ภายในท้องพระโรงมีรูปปั้นของจักรพรรดิหย่งเล่อนั่งอยู่บนบัลลังค์มังกรขนาดใหญ่ รอบๆ บริเวณจัดเป็นนิทรรศการแสดงประวัติความเป็นมาของสุสาน รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ด้วยค่ะ

พระศพของจักรพรรดิหย่งเล่อกับพระมเหสี ถูกฝังไว้บนหอคอยอนุสรณ์ (Minglou Tower) ซึ่งจากด้านบนสามารถมองลงมาเห็นวิวทิวทัศน์รอบๆ และบริเวณของสุสานฉางหลิงได้ชัดเจนทั้งหมดเลยค่า







 

เที่ยวสวนสัตว์ปักกิ่ง (Beijing Zoo)


สวนสัตว์ปักกิ่งเป็นสวนสัตว์แห่งแรกของจีน ที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 40,000 ตารางเมตร เราจะได้เห็นสัตว์ต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลกกว่า 1,000 สายพันธุ์ จำนวน 14,500 ตัว เช่น หมีขั้วโลก จิ้งจอกอาร์กติก ช้าง ฮิปโป แรด เสือขาว สิงโต ยีราฟ ม้าลาย อูฐ กอริลลา จระเข้ และอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงมีการจัดแสดงสัตว์กลางคืนและสัตว์เลื้อยคลานหน้าตาแปลกๆ เป็นร้อยชนิด และยังมีโซน Aquarium ขนาดใหญ่ให้ได้ชื่นชมชีวิตสัตว์ใต้ทะเลอีกด้วยค่า











และเมื่อมาถึงเมืองจีนทั้งที ก็ต้องมาทักทายหมีแพนด้าตัวเป็นๆ กันสักหน่อยยย ซึ่งถือเป็นโซนไฮไลท์ของที่นี่เลยล่ะค่ะ เจ้าแพนด้าตัวกลมกำลังนอนกลิ้งอย่างสบายใจ มีคนถ่ายรูปเพียบ ยิ่งกว่าเจอญาญ่าอีกนะคะเนี่ยย >,< เดินต่อมาจะเจอโครงกระดูกของหมีแพนด้ายักษ์ หรือ Giant Panda Skeleton ให้ชมกันด้วยค่ะ ภายในโซนยังมีของที่ระลึกเกี่ยวกับแพนด้า เช่น ตุ๊กตา พวงกุญแจ จะซื้อกลับไปเป็นของฝากหรือเก็บไว้เป็นที่ระลึกเองก็ได้ค่า









นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีก ทั้งล่องเรือเล่นตามลำน้ำชมบรรยากาศภายในสวนสัตว์ หรือชมโรงละครที่จะมีคนแต่งตัวเป็นบรรดาสัตว์ต่างๆ มาเล่านิทานเกี่ยวกับการผจญภัยสัตว์โลกให้เราฟัง เรียกรอยยิ้มทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดีเลยค่า ขอบอกว่าสนุกคุ้มค่า เผื่อเวลาเยอะๆ นะคะ 2 ชั่วโมงในสวนสัตว์แห่งนี้ไม่พอจริงๆ เพราะดูเจ้าแพนด้านอนกลิ้งไปกลิ้งมาก็เกือบชั่วโมงแล้ววว อิอิ