เที่ยวอูลันบาตาร์ (ULAAN BAATAR) ประเทศมองโกเลีย ดินแดนแห่ง The Land of Eternal Blue Sky ท้องฟ้าสีครามตัดกับทุ่งหญ้าสเต็ปป์สีเหลืองทอง ภูเขาต้นไม้ เนินทรายสีทอง แหล่งขุดค้นพบฟอสซิสไดโนเสาร์ที่มีอายุยืนยาวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เยือนพื้นดินแห่งเจงกิสข่านนักรบแห่งประวัติศาสตร์ของโลก ศิลปวัฒนธรรมที่แฝงไปด้วยหลักธรรมทางศาสนาสอดคล้องกับวิถีชีวิตตามธรรมชาติที่นำไปเป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญนักท่องเที่ยวชาวไทยไม่ต้องขอวีซ่านะจ๊ะ จองตั๋วเครื่องบินพร้อมแล้ว ไปลุยกันเลยค่าา!


 

 

เที่ยวพระราชวังฤดูหนาวของ บอกด์ ข่าน (Winter Palace of Bogd Khan)


พระราชวังฤดูหนาวของ บอกด์ ข่าน หรือพระราชวังสีเขียว สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1893 - 1903 เป็นที่ประทับของบอกด์ ข่าน ยาวนานถึง 20 ปี จนกระทั่งสวรรคตในปี ค.ศ. 1924 หลังจากนั้นได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์พระราชวังฤดูหนาวของ บอกด์ ข่าน เปิดให้เข้าชมครั้งแรกในปี ค.ศ. 1926 และกองทุนโบราณสถานโลก (World Monuments Fund : WMF) ได้ประกาศให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรม เพื่อการอนุรักษ์ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมประวัติศาสตร์มองโกเลียในศตวรรษที่ 17-20 สำหรับจัดแสดงศิลปวัตถุที่ทำด้วยฝีมืออย่างประณีต ทรงคุณค่าหาได้ยากมากกว่า 8,600 ชิ้นๆ เลยค่ะ

โดเรม่อนมีประตูวิเศษ แต่ที่นี่มีประตูแห่งความสุขและสันติภาพรอทุกท่านที่เยือนอยู่นะจ๊ะ ประตูไม้ของพระราชวังที่สร้างตามสถาปัตยกรรมแบบทิเบต เพื่อเฉลิมฉลองอิสรภาพของมองโกเลียจากประเทศจีน มีความพิเศษตรงที่ใช้ไม้ประสานกัน 8 ชิ้น โดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว บานประตูสีแดงสดบนผนังประตูมีรูปวาดเทพเจ้าสององค์ หลังคาสีเขียว 7 ชั้น ตกแต่งลวดลายด้วยรูปสัญลักษณ์ทางศาสนา





บริเวณพิพิธภัณฑ์พระราชวังฤดูหนาวแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือ พระราชวังฤดูหนาว สถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปออกแบบโดยสถาปนิกชาวรัสเซีย เป็นอาคารสองชั้นสีขาว แบ่งเป็นห้องจัดแสดงสิ่งของมีค่ามากมาย เช่น เกอร์หรือกระโจม รองเท้าบูททองคำจากพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่สองแห่งรัสเซีย อัญมณี เครื่องเงิน เครื่องถ้วยชามสังคโลก แจกันหยก ชุดน้ำชา พระพุทธรูปแนววัชรยาน แมนดาลา (Mandala) และใช้สำหรับฝึกสมาธิด้วยค่ะ







เครดิตภาพ: www.awanderer.smugmug.com

เครดิตภาพ: www.awanderer.smugmug.com

         

เครดิตภาพ: www.bogdkhaanpalace.mn

             

เครดิตภาพ: www.bogdkhaanpalace.mn

ส่วนที่สอง สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1893-1903 โดยบอกด์ ข่านที่แปด สถาปัตยกรรมแบบธิเบตเป็นอาคาร สำหรับประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนา ต้อนรับแขกที่มาเยือน  พระราชวังฤดูหนาว อยู่ห่างจากจตุรัสซัคบาทาร์ ไปทางใต้ประมาณ 1.5 กิโลเมตร ในฤดูร้อนเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 09:00 - 19:00 น. ในฤดูหนาวเปิดวันพฤหัสบดีถึงวันจันทร์ เวลา 10:00 -17:00 น. ปิดในวันอังคาร และวันพุธ ราคาตั๋วผู้ใหญ่ 8,000 ทูกริก บัตรนักเรียน 3,000 ทูกริก เด็ก 1,500 ทูกริก เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีเข้าฟรี ถ้านำกล้องเข้าไปถ่ายภาพต้องจ่ายเพิ่ม 25,000 ทูกริก ถ้าอัดวิดีโอ 400,000 ทูกริกค่ะ






 

 

เที่ยวอารามกันดาน (Gandan Monastery)


อารามกันดาน ชื่อเดิมคือ อารามสีเหลือง (Shar Sum) สร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1809 โดยบอกด์ ข่านที่ห้า แห่งมองโกเลียค่ะ ต่อมาปี ค.ศ. 1838 ย้ายมาตั้งอยู่ใจกลางเมืองอูลานบาตาร์ เพื่อเป็นที่พำนักของบอกด์ ข่านที่แปด และองค์ดาไลลามะที่ 13 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวมองโกเลีย สถาปัตยกรรมสไตล์ทิเบตในศาสนาพุทธ  สร้างด้วยไม้ อิฐ ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น อารามกันดานเท็กชินเลน (Gandantegchinlen Monastery) ที่มีความหมายว่า "สถานที่แห่งความสุขสมบูรณ์" ในปี ค.ศ. 1925 ได้ก่อสร้างรูปปั้นองค์พระอวโลกิเตศวร หรือพระโพธิสัตว์ที่สูงที่สุดในโลก ปัจจุบันภายในอารามกันดานมีวัดเล็กๆ หลายแห่ง เป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ศึกษาด้านพุทธปรัชญา การแพทย์แผนโบราณ และโหราศาสตร์ ซึ่งมีพระสงฆ์จำพรรษากว่า 500 รูปค่ะ





เมื่อเข้ามาภายในจะพบกับวัด Avalokiteshvara สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1912 ลานกว้างด้านหน้าตรงกลางมีกระถางธูปขนาดใหญ่สีดำ และสถูปสีเหลืองทองคู่อยู่ด้านหน้า ภายในอาคารเป็นที่ประดิษฐสถานรูปปั้นพระอวโลกิเตศวร ปางยืนในร่มที่สูงที่สุดในโลก ความสูง 26.5 เมตร ต่อมาใน ค.ศ. 1930 ช่วงการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโจเซฟสตาลิน แห่งสหภาพโซเวียต ได้เข้ามาทำลายอารามทั่วประเทศกว่า 900 แห่ง สังหารลามะนักบวชนิกายมหายาน แบบธิเบตที่สวมหมวกเหลืองสีเหลืองสวมชุดสีเหลืองแดง จำนวนกว่า 15,000 องค์ รวมทั้งทำลายรูปปั้นเพราะต้องการนำทองคำ ทองแดงไปใช้สำหรับทำกระสุน อารามถูกสั่งปิดในปี ค.ศ. 1938 เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับกองทัพแห่งสหภาพโซเวียต จนกระทั่งปี ค.ศ. 1944 ได้รับอนุญาตให้เปิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองจ้า

ต่อมาในปี ค.ศ. 1996 อาคารเป็นที่ประดิษฐสถานรูปปั้นพระอวโลกิเตศวร ได้รับการบูรณะปรับปรุง ด้วยเงินสนับสนุนเงินสิ่งของมีค่าจากประชาชนภายในประเทศ และต่างประเทศ ปัจจุบันรูปปั้นพระอวโลกิเตศวร ลงรักปิดด้วยทองคำแท้ ทองคำเปลวทั้งองค์ ตกแต่งด้วยอัญมณีล้ำค่ากว่า 2,286 ชิ้น ห่อหุ้มด้วยผ้าปักทองคำ และผ้าไหมอีกชั้น มีน้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม บริเวณรอบๆ ตกแต่งด้วยรูปปั้นที่มีสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา เมื่อมองขึ้นไปจะพบกับเพดานทองคำสีเหลืองสุกสว่างงดงามน่าประทับมากๆ ค่ะ





เดินต่อมาจะพบกับวัด Ochidara สำหรับเป็นสถานที่จัดพิธีสำคัญทางศาสนา





บริเวณใกล้เคียมีวัด Vajradhara และวัด Dzu







อาคาร Dedanprovan สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นอาคารสองชั้น ในปี ค.ศ. 1904 เป็นที่พักอาศัยขององค์ดาไลลามะที่ 13 ปัจจุบันเป็นห้องสมุดมีหนังสือมากกว่า 50,000 เล่ม ที่บรรจุพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งภาษามองโกเลีย ทิเบต และสันสกฤตค่ะ







 

เที่ยวจัตุรัสซัคบาทาร์ (Sukhbaatar Square)


จัตุรัสซัคบาทาร์ หรือที่รู้จักในอดีตว่า เจงกีส สแควร์ (Genghis Square) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1946 ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอูลันบาตาร์ เป็นลานกว้างไว้สำหรับจัดกิจกรรมงานเฉลิมฉลองเอกราช เดินเล่นพักผ่อนยามเย็น บริเวณรอบๆ เต็มไปด้วยสถานที่ทางราชการ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เช่น อาคารรัฐสภา พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ พิพิธภัณฑ์ทางธรรมชาติ โรงละครแห่งชาติ ตลาดหลักทรัพย์ ตึกเรือใบสูงที่สุดในมองโกเลีย และห้างสรรพสินค้า Tower State department store

เริ่มกันที่อนุสาวรีย์แดมดิน ชุคบาตาร์ ตั้งอยู่ตรงกลางจัตุรัสซัคบาทาร์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2006 ด้วยทองสัมฤทธิ์ เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 800 ปี การก่อตั้งจักรวรรดิมองโกเลีย  เพื่อเป็นเกียรติและระลึกถึง แดมดิน ชุคบาตาร์ ผู้ก่อตั้งพรรคประชาชนมองโกเลีย ผู้นำการปฏิวัติประกาศอิสรภาพจากการยึดครองของจีนสมัยราชวงศ์ชิง ที่ฐานอนุสาวรีย์ได้สลักคำพูดของแดมดิน ชุคบาตาร์ ว่า “ถ้าพวกเราทุกคนร่วมมือกัน มีความพยายามเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่จะทำไม่สำเร็จ ไม่มีอะไรที่เราจะเรียนรู้ไม่ได้ หรือไม่มีอะไรที่จะทำแล้วล้มเหลว” อ่านแล้วรู้สึกหึกเหิมขึ้นมาทันที!









ด้านหลังอนุสาวรีย์แดมดิน ชุคบาตาร์ คือที่ตั้งของอาคารรัฐสภาสร้างจากหินอ่อนขนาดใหญ่ ด้านหน้าของอาคารรัฐสภามีรูปปั้นของบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ 3 ท่าน ได้แก่ ตรงกลาง รูปปั้นเจงกิสข่าน (Genghis Khan) ขนาดใหญ่นั่งอยู่โดดเด่น ขนาบข้างด้วยรูปปั้นโอกิไดข่าน (Ogedei Khan) ลูกชายคนที่สามของเจงกิสข่าน และกุบไลข่าน (Kublai Khan) หลานชายของเจงกิสข่าน บุคคลทั้งสองช่วยขยายดินแดนต่อจากเจงกิสข่าน





พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ (National History Museum) เปิดดำเนินการครั้งแรกในปี ค.ศ.1924  บอกเล่าประวัติความเป็นมาของมองโกเลียศิลปวัฒนธรรม ตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน ภายในอาคารแบ่งเป็นสี่ชั้น ได้แก่ ชั้นแรกจัดแสดงประวัติศาสตร์สมัยโบราณ ชั้นที่สองยุคกลาง บอกเล่าเรื่องราวการขยายอาณาเขตที่ยิ่งใหญ่ของมองโกเลีย ยุคจักรวรรดิมองโกเลียมองโกเลียในการปกครองของแมนจูเรีย ชั้นที่สาม ยุคชาติพันธุ์วัฒนธรรมดั้งเดิมของมองโกเลีย  และยุคปัจจุบัน ซึ่งในแต่ละชั้นเต็มไปด้วยวัตถุโบราณล้ำค่าทางประวัติศาสตร์กว่า 15,000 ชิ้น ทั้งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของชนเผ่าเร่ร่อนและทหารมองโกเลีย ดาบ ถ้วยชาม เครื่องเงินค่ะ





เครดิตภาพ: asemus.museum/museum/national-museum-of-mongolia



เครดิตภาพ: nationalmuseum.mn/exhibition



เครดิตภาพ: nationalmuseum.mn/exhibition



เครดิตภาพ: nationalmuseum.mn/exhibition

พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ (The Central Museum of Mongolian Dinosoaurs) จัดแสดงโครงกระดูกไดโนเสาร์ที่สมบูรณ์สองตัว สายพันธุ์ซอโรโลฟัส (Saurolophus) กินเนื้อในตระกูลปากเป็ดมีหงอน ความสูงถึง 15 เมตร หนักสี่ถึงห้าตันต่อตัว ค้นพบในทะเลทรายโกบีทางตอนใต้ของประเทศมองโกเลีย ซึ่งเป็นแหล่งที่พบไดโนเสาร์มากที่สุดในโลก ที่จัดแสดงสัตว์สตัฟมากกว่า 200 สายพันธุ์ เช่น นก ปลา ม้า อูฐ และลา





สำหรับขาช็อป ขอแนะนำ ห้างสรรพสินค้า State department store อาคารตกแต่งด้วยกระจกสีสันแปลกตาในเมืองอูลาบาตอร์ เป็นแหล่งรวมสินค้า ไม่ว่าจะเป็นผ้าพันคอ ถุงเท้า เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มแคชเมียร์ หรือใครสนใจเดินตลาดพื้นเมืองของคนที่นี่ ตลาด Naran tuul เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกหลังจากช็อปเสร็จ อย่าลืมแวะถ่ายรูปที่ตึกรูปทรงเรือใบที่สูงที่สุดของในอูลานบาตอร์นะคะ ความสูงถึง 105 เมตร สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2009 การออกแบบคล้ายกับโรงแรม Burj Al Arab ในดูไบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของมองโกเลีย เรียกได้ว่ามาแถวจัตุรัสซัคบาทาร์จุดเดียว เที่ยวได้หลากหลายที่กันเลยจ้า






 

 

เที่ยวอนุสรณ์สถานแห่งการต่อสู้ไซซาน (Zaisan Memorial)


อนุสรณ์สถานแห่งการต่อสู้ไซซาน ตั้งอยู่บนยอดเขาไซซาน บริเวณด้านล่างของเชิงเขาไซซาน เราจะพบกับรถถังของสหภาพโซเวียต จากนั้นเดินขึ้นบันได 612 ขั้น ใช้เวลาประมาณ 20 -30 นาที  จะพบกับอนุสาวรีย์รูปทรงวงกลม ศิลปะแบบฟิวเจอร์ริสม์ (Futurism) ร่วมกับแนวคิดคิวบิสม์ (Cubism)  สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติรำลึกถึงทหารมองโกเลียที่เข้าร่วมรบกับ ทหารสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2สำหรับการครบรอบ 50 ปีของการปฏิวัติประกาศอิสรภาพของประเทศมองโกเลีย รอบวงกลมๆ ตกแต่งด้วยคอนกรีตรูปปั้นซัคบาทาร์ โจเซฟ สตาลิน ส่วนภายในวงกลมเป็นภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังบนกระเบื้องหิน บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ ระหว่างสหภาพโซเวียต และมองโกเลีย พร้อมกับชมวิวเมืองอูลานบาตอร์แบบ 360 องศา สำหรับการเดินทางสามารถเรียกแท็กซี่ หรือขึ้นรถบัสสาย 7 จากจตุรัสซัคบาทาร์ ฝั่งห้องสมุดแห่งชาติมองโกเลีย ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ค่ารถประมาณ 300 ทูกริก เปิดทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง เข้าชมฟรี จ่ายเป็นเหงื่อแทนค่า คริคริ












 

 

เที่ยวอนุสาวรีย์เจงกีสข่านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในมองโกเลีย (Genghis Khan Equestrian Statue)


อนุสาวรีย์เจงกีสข่านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในมองโกเลีย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำตูล (Tull River) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2008 โดยทุ่มเงินทุนในการก่อสร้างกว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ ออกแบบโดยสถาปนิก D.Erdenebileg และ J.Enkhjargal สถาปัตยกรรมแบบโกธิค รูปปั้นเจงกิสข่านขี่ม้า ตั้งอยู่บนอาคารที่สร้างไว้เป็นฐานรองรับ ความสูงประมาณ 40 เมตร น้ำหนักกว่า 250 ตัน สร้างจากสแตนเลสสีเงินที่สะท้อนแสงโดดเด่นแวววาวไปทั่วบริเวณท้องทุ่งหญ้า แสดงถึงการเชิดชูเกียรตินักรบเจงกีสข่านผู้ยิ่งใหญ่ ที่นำพากองทัพมองโกเลียขยายอาณาเขตดินแดน เกือบหนึ่งในสี่พื้นที่ของโลก ตั้งแต่เอเชียตะวันออกไกลจรดถึงยุโรปด้านตะวันออก







เมื่อก้าวเข้าสู่ภายในอาคารที่เป็นฐานของรูปปั้น แบ่งออกเป็นสี่ชั้นได้แก่ ชั้นใต้ดินเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงนิทรรศการประวัติเจงกิสข่าน รูปปั้นครอบครัวเจงกิสข่าน ส่วนที่โดดเด่นสะดุดทุกสายตาคือรองเท้าบูทจำลอง ความสูง 10 เมตร ทำจากหนังจามรี สำหรับด้านบนสุด ต้องขึ้นบันไดเลื่อนจากภายในตัวอาคาร จะพบกับทางออกที่รูปปั้นเจงกิสข่านในส่วนของคอม้า มีบันไดทางเดินเชื่อมไปสู่หัวม้าได้ ซึ่งเป็นจุดชมวิวเราต้องร้อง Oh!! Wow !!! Amazing ยิ่งใหญ่อลังการสวยงามสุดๆ ค่ะ มองไปบริเวณรอบๆ อนุสาวรีย์จะรายล้อมไปด้วยกระโจมบ้านพักชั่วคราวของชาวมองโกเลีย 200 หลัง บนที่ราบทุ่งหญ้าสีเขียวสด ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าเข้ม สามารถเดินทางไปได้ทั้งรถบัสหรือแท็กซี่ จากเมืองอูลานบาตอร์ ระยะทางประมาณ 54 กิโลเมตร ค่าตั๋วเข้าชม ผู้ใหญ่ 7,000 ทูกริก และเด็ก 3,500 ทูกริกจ้า








 

 

เที่ยวเมืองคาราโครัม (Kharakhorum)


เมืองคาราโครัม หรือเคอร์คอริน (Kharkhorin) เมืองหลวงโบราณของอาณาจักรมองโกล สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1220 โดยเจงกิสข่าน ตั้งอยู่ในหุบเขาโอคอนวัลเลย์ ตอนกลางของมองโกเลีย มีความอุดมสมบูรณณ์ทั้งภูแขา แม่น้ำ น้ำตก จนกลายเป็นจุดศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญบนเส้นทางสายไหม (Silk Road) ที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมระหว่างโลกตะวันออก และโลกตะวันตกเข้าไว้ด้วยกัน เพราะมีหลักการปกครองเมืองให้อิสระต่อความเชื่อทางศาสนา ทำให้มุสลิม เอเชียตะวันออก และยุโรป เข้ามาติดต่อสื่อสารทำการค้าขายระหว่างกันได้อย่างเสรี เปิดกว้างมากๆ ซึ่งในอดีตนักเดินทาง นักประวัติศาสตร์ พ่อค้า ผู้คนจากชาติต่างๆ จะสัญจรผ่านเข้ามาภายในเมืองแห่งนี้ จนทำให้เมืองคาราโครัมส่วนหนึ่งของมรดกโลกหุบเขาโอคอนวัลเลย์







โอโตไก ข่าน (Ogodei) ลูกชายของเจงกีสข่าน ได้สร้างเมืองหลวงคาราโครัมเสร็จสมบูรณ์ ในปี ค.ศ. 1235 หลังจากที่เจงกิสข่านได้เสียชีวิตไปแล้ว  คาราโครัมได้สถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงตั้งแต่ ค.ศ. 1235 - ค.ศ. 1260 ระยะเวลา 40 ปี ภายนอกกำแพงเมืองจะพบเต่าหินแกะสลักขนาดใหญ่ เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอาณาเขตของเมือง หินคาร์คอริน (Kharkhorin Rock) ขนาดใหญ่มีความยาว 24 นิ้ว บริเวณกำแพงเมืองรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีความยาวด้านละ 400 เมตร ตั้งอยู่ที่ประตูทางเข้าทุกด้าน ระหว่างกำแพงสร้างสถูปเจดีย์แบบทิเบตจำนวน 108 แห่ง ภายในกำแพงเมืองเป็นที่ตั้งของพระราชวังตุเมนอมาลกันสร้าง ด้วยเสาไม้จำนวน 64 ต้น ตั้งอยู่บนฐานหินแกรนิต รวมทั้งอารามหลายสิบแห่ง จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1937 เข้าสู่ยุคการปกครองโดยคอมมิวนิสต์ได้เข้ามาเผาทำลายอาราม สังหารนักบวชจำนวนมาก ปัจจุบันเมืองคาราโครัมเป็นหมู่บ้านของชนเผ่าเร่ร่อน เป็นหนึ่งในสิบสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเยือนกันค่ะ












 

 

เที่ยวอารามเออร์ดีนซู (Erdene zuu monastery) และอนุสาวรีย์แผนที่จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ (Great imperial map monument)


อารามเออร์ดีนซู หรือพิพิธภัณฑ์อารามเออร์ดีนซู สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1585 โดย Abtai Sain Khan ตั้งอยู่ติดกับกำแพงเมืองคาราโคลัม เป็นอารามเก่าแก่ที่สุด สร้างขึ้นจากซากปรักหักพังของเมืองคาราโคลัมในอดีต สถาปัตยกรรมแบบจีนผสมกับทิเบต รูปทรงคล้ายกับพระราชวังต้องห้ามในประเทศจีน หลังคาปูด้วยกระเบื้องสีเขียว มุมและขอบตกแต่งด้วยรูปสัตว์สัญลักษณ์พุทธศาสนาแบบทิเบต ภายในเป็นที่ประดิษฐสถานของพระพุทธรูป ผ้าเขียนแบบทังก้าที่วาดขึ้นจากความศรัทธาของนักบวช













   



บริเวณใกล้เคียงมี วัดกอร์บันซูน (Gorban Zuu Temple ) ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีน และวัดลาวิรัน (Laviran Temple) ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบทิเบต จากซากอาคารต่างๆ ที่เหลือรอดจากการทำลายในยุคการปกครองของคอมมิวนิสต์







อนุสาวรีย์แผนที่จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ (Great Imperial Map Monument) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2004 ตั้งอยู่บนเนินเขาไม่ไกลจากวัดเออร์ดินซู ใช้ระยะเวลาเดินเพียงห้านาที อนุสาวรีย์มีลักษณะเป็นกำแพงทรงกลม แต่ละด้านเป็นรูปแผนที่อาณาเขตของมองโกล ในอดีต 3 ยุคสมัยได้แก่ ยุค 200-300 ก่อนคริสตกาล ในจักรวรรดิ Xiongnu ที่เป็นชนเผ่าเร่ร่อนอาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้าสเตปป์ ยุคในช่วงคริสต์ศักราช 600-800 ปกครองโดย Turkic Khaganate ในยุคมองโกเลียในศตวรรษที่ 13 ปกครองโดยเจงกีสข่าน ที่บริเวณกำแพงแต่ละด้าน ตกแต่งด้วยกระเบื้องสีแดง เหลือง ขาว ฟ้า ตรงกลางเป็นกองหินซ้อนกัน และมีไม้ปักอยู่บนยอดค่ะ





กองหินโอวู (Ovoo) หรือหินที่นำมากองซ้อนกันๆ ตรงกลางมีไม้ที่นำผ้าสีฟ้ามาผูกไว้ นิยมสร้างบนยอดเขาหรือจุดที่อยู่สูง เกิดขึ้นจากความเชื่อเพื่อแสดงความเคารพบูชาเทวดา ฟ้าดิน สักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอพรให้เดินทางปลอดภัย ในอดีตเมื่อนักเดินทางพบเจอโอวูจะเดินวนสามรอบตามเข็มนาฬิกา จากนั้นโยนหิน 3 ก้อนเข้าไปเพิ่มเติม เราจะพบเห็นโอวูได้ทั่วไปในมองโกเลีย  สำหรับการเดินทางมาที่เมืองคาราโคคัม และอารามเออร์ดีนซู สามารถโดยสารรถประจำทางที่สถานีรถบัส Dragon ที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของจตุรัสซัคบาทาร์ บนถนน Peace ราคา 17,000 ทูกริก  ใช้ระยะเวลาในการเดินทาง 5 - 6 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร หรือจะซื้อทัวร์ เช่ารถขับมาเองก็ได้ค่ะ ค่าเข้าชมอารามเออร์ดีนซู 3,000 ทูกริก กล้องถ่ายภาพ 5,000 ทูกริก เรียกได้ว่า ได้ทั้งความรู้เต็มอิ่มไปกับศิลปวัฒนธรรม และธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์หลากหลายเข้ากันอย่างลงตัวเลยค่ะ






 

 

เที่ยวเนินทรายในมองโกเลีย (Mongol Sand Dune)


เนินทรายในมองโกเลีย ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติโกบี เป็นทะเลทรายที่อยู่บริเวณรอยต่อ ระหว่างประเทศมองโกเลียตอนใต้กับประเทศจีนทางตอนเหนือ ทะเลทรายโกบีมีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย มีพื้นที่ 1,300,000 ตารางกิโลเมตร ทอดตัวเป็นแนวโค้งยาว 1,600 กิโลเมตร สูงเหนือระดับน้ำทะเล 900-1,500 เมตร เป็นทะเลทรายแบบร้อนอันดับที่ 3 ของโลก อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุด และต่ำสุดอยู่ที่ -40 ในเวลากลางคืนถึง 50 องศาเซลเซียสในตอนกลางวันค่ะ โอ้วว เหมือนสลับอยู่ในตู้เย็นกับเตาอบ >,<







เนินทราย Khongor sand dunes หรือ Singing Sands ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอูลานบาตาร์ เป็นส่วนหนึ่งของทะเลทรายโกบี ที่เป็นเส้นทางสายไหม ความแตกต่างที่โดดเด่นกว่าทะเลทรายแห่งอื่น คือพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ ทุ่งหญ้าสเตปป์มีต้นหญ้าปกคลุม และมีพุ่มไม้เล็กๆ บางส่วน เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่มาจากแรงลมกับเทือกเขาหิมาลัย (Himalaya) ที่เป็นภูเขาสูงขนาดใหญ่ทอดตัวเป็นแนวยาวขวางกันเมฆฝน และความชื้น ทำให้เกิดลมพัดมายังทะเลทรายโกบี เราสามารถเดินขึ้นไปถึงบนยอดได้ค่ะ เมื่อขึ้นไปถึงยอดมองลงไป จะเห็นแนวสันทรายสวยงามสุดลุกหูลุกตาสวยงามตัดกับฟ้าสีคราม ราวกับภาพวาดที่น่าประทับใจมากจริงๆ ค่ะ







ผาหินสีแดงเพลิง (Flaming Cliff หรือ Bayan Zag) เป็นหน้าผาสูงใหญ่มีความสูง 30 เมตร ยาว 100 เมตร เกิดขึ้นจากการกัดกร่อนจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งในทะเลทราย และสีของดินเหลืองรวมกับสีของแสงพระอาทิตย์ ที่ตกกระทบลงมาที่หน้าผาสะท้อน ทำให้ออกมาเป็นสีแดงสวยราวกับเพลิงไฟ บนหน้าผาจะมีลมค่อนข้างแรง ทางเดินค่อนข้างแคบ ในปี ค.ศ. 1920 ชาวอเมริกัน Roy Chapman Andrews ได้ค้นพบฟอสซิลไข่ไดโนเสาร์ครั้งแรกของโลกบริเวณรอบๆ หน้าผาแห่งนี้ ต่อมาได้ขุดพบฟอสซิลไดโนเสาร์ที่มีอายุกว่า 60-70 ล้านปี ที่นี่จึงกลายเป็นแหล่งขุดพบฟอสซิสที่สำคัญของโลกหลากหลายสายพันธุ์ และถูกนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ทั่วโลกเลยค่ะ









ช่องเขาของนกแร้ง (Yol valley or Yoliin Am) มีความสูง 2,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล ครอบคลุมพื้นที่ 64 ตารางกิโลเมตร ยาวประมาณ 40 กิโลเมตร สูงถึง 200 เมตร มีลักษณะเป็นหุบเขาที่ลึกและแคบลงเรื่อยๆ จนเดินผ่านได้เพียงแค่หนึ่งหรือสองคนเท่านั้น เป็นหุบเขาที่แสงแดดส่องเข้าไปไม่ถึง ทำให้ภายในเป็นชั้นน้ำแข็งหนาตลอดทั้งปี ระหว่างทางเดินของช่องเขามีลำธารสายเล็กๆ ไหลผ่าน ตลอดทางเดินจะพบกับต้นไม้ทุ่งหญ้า ดอกไม้ และกระต่ายที่รูปร่างคล้ายหนูตัวเล็กๆ เจ้าไพกา (Pika) หรือปิก้า  เอ๋...ปิกา ปิก้า ปิกาจู มีต้นกำเนิดมาจากหนูปิก้าใช่ไหมน้า??







Tsagaan Suvarga (white stupa) แหล่งเหมืองแร่ทองแดงของมองโกเลีย มีลักษณะเป็นหน้าผาสูง 60 เมตร ยาว 400 เมตร ที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ในอดีต 10 ล้านปีก่อน บริเวณหน้าผานี้เคยอยู่จมอยู่ใต้น้ำทะเล เมื่อเวลาผ่านไปน้ำทะเลเหือดแห้งลง เกิดการกัดเซาะของชั้นดินจากลม ฝน ทำให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งเลยค่ะ ^^

การเดินทางไปเนินทรายในมองโกเลีย และสถานที่บริเวณใกล้เคียง สามารถซื้อทัวร์จากในเมืองอูลาบาตอร์ เดินทางด้วยรถบัสหรือรถตู้ ซึ่งภายในรถจะเตรียมอุปกรณ์สำหรับค้างคืนพร้อมอาหารไว้ให้ค่ะ ระหว่างทางจะมีการแวะพักอาศัยตามเกอร์ของชาวโนเมดแท้ๆ ใช้ระยะเวลาขั้นต่ำประมาณ 3-4 วันในการท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ แบบเต็มอิ่ม ฟินๆ ไปกับธรรมชาติรอบข้างได้อย่างเต็มที่ค่ะ

 

 

 

 

 

เที่ยวพักเกอร์ (Ger) กับชาวโนแมดแท้ๆ ขี่ม้า


พักเกอร์ (Ger) หรือ yert (เยิร์ต) กระโจมบ้านพักชั่วคราวของชาวโนแมด (nomad) เป็นชนเผ่าเร่ร่อนดั้งเดิมของชาวมองโกเลียมากว่าพันปี ไม่ใช่โนเมจเหล่ามักเกิ้ลที่ไม่ใช่พ่อมดแม่มดนะ อย่าสับสนนะคะสาวกเจเค โลว์ลิ่ง ! 555555 อยากแนะนำให้มาลองสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวโนแมดดูกันสักครั้ง แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วว ^^!  ชนเผ่าโนแมดนั้นมีศิลปวัฒนธรรมอันมีเสน่ห์น่าหลงใหล เราสามารถดื่มด่ำไปกับธรรมชาติที่โอบล้อมด้วยภูเขา ท้องทุ่งหญ้าสเต็ปสีเหลืองทอง แม่น้ำ ดวงดาวที่ส่องสว่างเต็มฟ้าระยิบระยับสวยงาม ฟินเว่อร์ (>o<)







เกอร์ มีรูปทรงเป็นกระโจมวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสิบสามฟุตถึงสิบห้าฟุต ไม่มีหน้าต่าง มีแต่ประตูที่ทางเข้าหันไปทางทิศใต้เสมอ ภายนอกสร้างจากไม้สานกัน ห่อหุ้มด้วยหนังสัตว์ ภายในด้านบนตรงกลางของเกอร์ นำหลักธรรมทางศาสนาพุทธมาประยุกต์เป็นรูปวงล้อแห่งชีวิต (Wheel of life)  มีที่นอน ผ้าห่ม เตาผิง เตียง บางเกอร์ที่ทันสมัยหน่อยก็อาจมี เตาไฟ ทีวี ที่ผลิตไฟฟ้ามาจากพลังงานแสงอาทิตย์ และที่พิเศษสุดๆ สำหรับคนชอบเปิด อุ้บส์ >,< ขอเชิญพบกับห้องน้ำแบบพาโนรามาที่มองเห็นได้ 360 องศา ชมวิวกลางทุ่งได้สบายๆ เลยค่า ชอบมุมไหนเลือกได้ เวลาทำธุระอาจมีสัตว์ๆ เดินผ่านไปมาให้ชมอีกด้วย อาบน้ำกึ่งซาฟารีเนอะ 55555 แต่สำหรับใครที่ชอบความสะดวกสบาย ก็มีเกอร์แบบถาวรที่เป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว จะมีห้องน้ำแบบปิดให้บริการค่า











ชาวโนแมด (์Nomad) เป็นชนเผ่าเร่ร่อนของชาวมองโกเลีย ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เคลื่อนย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ ตามสภาพอากาศที่เหมาะสมในแต่ละฤดู ไม่นิยมการอาบน้ำ เอ้ะ...หรือเราจะเป็นทายาทโนแมด ฮิฮิ ด้วยเพราะสภาพอากาศที่ค่อนข้างหนาวเย็น จึงทำให้แต่งกายด้วยชุดหนังสัตว์หนาๆ ขี่ม้าไล่ต้อนฝูงสัตว์ ประกอบอาชีพเกษตร เลี้ยงสัตว์ ล่าสัตว์ หาของป่า หาอาหารตามธรรมชาติ และมีเหยี่ยวเป็นสัตว์เลี้ยงคู่กาย เท่มากค่ะ เวลาเดินทางหรือย้ายถิ่นฐานจะนิยมใช้ม้า หรืออูฐเป็นพาหนะ จึงทำให้นักรบมองโกลเลียยิงธนูบนหลังม้าได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะม้าทากิ เป็นม้าสายพันธุ์พื้นเมืองของมองโกเลีย ตระกูลเดียวกับม้าโพนี่ หรือม้าแคระ ตัวเล็กๆ เตี้ยไม่สูงใหญ่มาก เวลาม้าวิ่งจึงไม่กระโดกกระแดกมาก เพราะความที่ตัวเตี้ยจึงมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ เหมาะกับการขี่เล่นชมทุ่งหญ้าได้อย่างสนุกสนาน และเพลินตา ที่สำคัญไม่ต้องกลัวมาเตะค่า เพราะขามันสั้น ฮ่าๆๆๆ




 

 

เที่ยววัดอารียาบาล (Aryapala Temple)


สำหรับสายบุญที่ชื่นชอบการไหว้พระ วัดอารียาบาล (Aryapala Temple)  ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติกอร์คเทเรลจ์  สร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 1998 - 2004 สถาปัตยกรรมแบบทิเบต ระหว่างทางเดินมีแผ่นป้ายไม้สีเขียว ที่อธิบายคำสอนในศาสนาพุทธ ทั้งภาษาธิเบตและภาษาอังกฤษควบคู่กัน เรียงรายอยู่ตลอดข้างทาง จำนวน 72 แผ่น ส่วนด้านหน้าศาลาไม้สีเหลือง จะพบกับแท่นหินศิลาที่มีรูปปั้นเต่าอยู่ด้านบน ภายในศาลาไม้สีเหลืองเป็นที่ตั้งของกงล้ออธิษฐาน หรือกงล้อมนตรา (The great player wheel of kanguyer) สีแดงขนาดใหญ่ รูปทรงกระบอกหมุนได้ ที่ด้านข้างสลักตัวอักษรที่เป็นมนตราศักดิ์สิทธิ์ เป็นคำว่า " โอม มณี ปัทเม ฮัม " ในภาษาธิเบตโบราณ มีความเชื่อว่าผู้ใดที่สวดมนต์ และหมุนกงล้ออธิษฐานไปพร้อม ๆ กันนั้น 1 รอบ ด้วยศรัทธาที่แน่วแน่จะเท่ากับสวดมนต์ 108 จบ ที่เป็นการบำเพ็ญบุญกุศล ชำระบาปกรรมด้วยกรรมดีค่ะ









ก่อนถึงวัดอารียาบาล จบพบกับบันไดจำนวน 108 ขั้น ภายวัดมีห้องโถงขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยผ้าทังก้าสีสันสวยงาม โดดเด่นด้วยองค์พระพุทธรูปสีทองที่ประดิษฐานอยู่ตรงกลาง รวมทั้งภาพวาดปรัชญาพุทธศาสนา 220 ชิ้น ของศิลปิน Bayantsagaan แสดงถึงความเชื่อที่แตกต่างของศาสนาต่างๆ และปรัชญาของพุทธศาสนา ด้านหลังวัดมีถ้ำ ภายในมีรูปปั้น ให้ได้บูชาสักการะกันค่ะ อิ่มบุญสุดๆ สาธุบุญค่าาา








 

 

 

เที่ยวอุทยานแห่งชาติกอร์คเทเรลจ์ (Gorkhi -Terelj National Park)


อุทยานแห่งชาติกอร์คเทเรลจ์ (Gorkhi-Terelj National Park) เป็นเขตอนุรักษ์ทางธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่มีภูเขาหินแกรนิตขนาดใหญ่รูปร่างแปลกตา เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติ เมื่อรายการโทรทัศน์ซีบีเอสเรียลลิตี้ The Amazing Race Season 10 Episode 2 ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำรายการในปี ค.ศ. 2006 จุดที่ทุกคนต้องมาเช็คอินถ่ายรูปกับภูเขาหินแกรนิตขนาดใหญ่รูปเต่า (Turtle Rock or Mungut Khad) ความสูงถึง 24 เมตรเลยค่ะ เกิดขึ้นจากการกัดกร่อนของน้ำฝนและสายลมตามธรรมชาติ ภายในมีโพรงเล็กๆ ที่เป็นท้องเต่ามีตำนานเล่าว่าหัวหน้าเผ่าที่สู้รบแพ้ เข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่แห่งนี้ บริเวณรอบๆ มีรูปปั้นไดโนเสาร์ยักษ์สายพันธ์ต่างๆ รอให้เราถ่ายรูปกันด้วยค่ะ แงง ฝันวัยเด็กที่เป็นจริง ไดโนเสาร์ค่ะแม่! นั่น ...ไดโนเสาร์!!











ภายในอุทยานแห่งชาติกอร์คเทเรลจ์ มีแคมป์เกอร์กระโจมบ้านพักชั่วคราวของชาวโนแมด ให้เช่าพักค้างคืนจะได้เต็มอิ่มกับบรรยากาศทั้งกลางวัน และกลางคืน ภายในเกอร์อุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งเตียง ผ้าห่ม ไฟฟ้า น้ำ สัญญาณอินเตอร์เน็ต มีห้องน้ำที่อยู่ด้านนอก เราจะเลือกพักแบบเหมารวมค่าอาหารหรือไม่ก็ได้ค่ะ ถ้ารวมแนะนำให้ลิ้มลองอาหารประจำถิ่นเกี๊ยวทอดไส้เนื้อ (Khuushuur) ที่คลุกเคล้ากับเครื่องเทศ มีน้ำซุปชุ่มฉ่ำอยู่ในไส้เกี๊ยว เสิร์ฟคู่กับซุบเนื้อแกะกับผัก ภายในอุทยานมีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ให้ได้เลือกซื้อทั้งของตัวเองเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ หรือจะเป็นของฝากยิ่งดีเลยค่า ^^  สำหรับการเดินทางสามารถใช้บริการรถแท็กซี่ และรถบัสจากอูลานบาตอร์ ราคา 2,500 ทูกริก แถวจัตุรัสซัคบาทาร์บนถนน Peace Avenue  ตรงข้ามโรงแรม Narantuul  ระยะทาง 66 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 -3 ชั่วโมง ค่าเข้าอุทยาน ราคา 3,000 ทูกริก