12 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในแคนาดาตะวันตก

วันนี้หญิงปุ๊กจะพาทุกคนไปตะลุยดินแดนแคนาดาตะวันออกค่าาา เป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก น่าเที่ยวมากกก เพราะมีชื่อเสียงในเรื่องความงามของธรรมชาติและกิจกรรมกลางแจ้ง มีสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ และแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกของมากมาย หลายแห่งยังได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกด้วยนะคะ
เที่ยวทะเลสาบแคนาดา (Lakes in Canada)
รู้ไหมคะว่า ประเทศแคนาดาได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งทะเลสาบ หรือ Land of Lake ด้วยน้าาา เพราะเป็นประเทศที่มีจำนวนทะเลสาบน้ำจืดมากที่สุดในโลก!! ถ้าถามว่าเยอะแค่ไหน ก็ทะเลสาบทั้งหมดในโลก กว่า 60% อยู่ที่แคนาดานี่เองค่า รวมๆ แล้วก็ประมาณ 31,752 แห่ง บางแห่งมีขนาดใหญ่กว่า 100 ตารางกิโลเมตรเลยทีเดียวววว ทะเลสาบสีสวยน้ำใสเป็นประกายวิบวับ ดีต่อใจ~ สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ละฤดูกาลก็มีความสวยงามต่างกันค่ะ หญิงปุ๊กมีตัวอย่างสถานที่เด็ดๆ มาแนะนำเพื่อนๆ ด้วยจ้าที่แรกเลย ทะเลสาบลูอิส (Lake Louise) ตั้งอยู่อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) มีพื้นที่ประมาณ 2.5 กิโลเมตร ลึกราวๆ 90 เมตร และอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,730 เมตร ซึ่งชาวพื้นเมืองจะเรียกทะเลสาบแห่งนี้ว่า HO-RUN-NUM-NAY แปลว่า Lake of Little Fishes บางคนก็เรียกกันว่าทะเลสาบมรกต เพราะในฤดูร้อนผืนน้ำจะเป็นสีฟ้ามรกตใสกริ๊ง!!! สวยสะกดทุกสายตา *0* ต่อมาในปี ค.ศ. 1914 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นทะเลสาบลูอิส เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าหญิงลูอิส ดัชเชสแห่งอาร์กายล์ นั่นเองค่ะ (Princess Louise, Duchess of Argyll)


ทะเลสาบมาลิญ (Maligne Lake) ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติแจสเปอร์ (Jasper National Park) รัฐแอลเบอร์ ไฮไลท์เด็ดคือการล่องเรือไปเกาะ Spirit Island ใช้เวลาประมาณ 15 นาที บรรยากาศระหว่างทางคือดีมากกก ทะเลสาบสีฟ้าอมเขียว ใสราวกับคริสตัล คือฟินมากกกจ้า อากาศเย็นสบายยย ซึ่งบริการล่องเรือจะอยู่ในช่วงพฤษภาคมถึงตุลาคมเท่านั้นนะคะ และถ้าค่ำคืนไหนอากาศดีท้องฟ้าเปิดก็จะได้เห็นแสงเหนืออีกด้วย โอ้วววว...สวรรค์บนดินที่แท้ทรู~


ทะเลสาบโมเรน (Moraine Lake) ทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์ที่แอบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหุบเขาสิบยอดสูง (The Valley of the Ten Peaks) ในอุทยานแห่งชาติแบมฟ์วิวสวยมากจนแทบจะลืมหายใจ! วิวมุมนี้มีชื่อเรียกว่า Twenty Dollar View เคยปรากฏอยู่ในธนบัตร 20 ดอลลาร์ ในช่วงปี ค.ศ.1969 - 1979 ด้วยนะคะ โดยสีของน้ำจะเปลี่ยนไปตามแสงที่ส่องลงมาตกกระทบบนผิวน้ำ น้ำก็งาม วิวก็เลิศ จะพลาดได้ไงใช่ม้าาา เสร็จแล้วค่อยไปพายเรือคายัค เล่นน้ำ นั่งสบายๆ สูดอากาศบริสุทธิ์กันให้ชุ่มปอดกันต่อได้อีกกก


ทะเลสาบเปโต (Peyto Lake) หรือทะเลสาบสุนัขจิ้งจอก ที่ขึ้นชื่อเรื่องรูปร่างสุดแปลกตา บวกกับน้ำในทะเลสาบสีฟ้าน้ำนม ซึ่งเกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งเปโต (Peyto Glacier) สวยขนาดขึ้นปกนิตยสาร Lonely Planet มาแล้วหลายครั้ง เลยกลายเป็นจุดชมวิวมหาชนที่ต้องมาเห็นกับตาตัวเองสักครั้งจริงๆ ค่า


ทะเลสาบเบิร์ก (Berg Lake) ทะเลสาบธารน้ำแข็ง อยู่ใกล้กับยอดเขาร็อบสันที่มีความสูงถึง 3,954 เมตร จุดเด่นคือ ธารน้ำแข็งสีขาวขนาดใหญ่ ทอดยาวลงสู่ทะเลสาบสีฟ้าคราม สีของธารน้ำแข็งตัดกับสีน้ำทะเลสาบสวยมากๆ หาดูได้ยากสุดๆ และการเดินทางไปนั้นก็ท้าทายไม่แพ้กันอีกด้วยค่ะ เพราะว่าต้องเดินไปตามแม่น้ำร็อบสัน ความยาวประมาณ 19 กิโลเมตร ซึ่งจะมีจุดตั้งแคมป์ให้พักเหนื่อยอยู่ตลอดทางเดิน อ๊ะๆ ว่าแล้วก็ไปฟิตร่างกายกันก่อนเลยดีกว่า ฮึบๆ >,<


ปิดท้ายด้วยทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในแคนาดา นั่นก็คือ ทะเลสาบหมีใหญ่ (Great Bear Lake) ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าหมี เพราะว่าตั้งชื่อตามหมีกริซลี่ย์ที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งนั่นเองค่า มีพื้นที่ถึง 31,328 ตารางกิโลเมตร ลึกอีก 2,719 เมตร ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลกเชียวนะ! น้ำใสสส อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลาเทราท์ แหม่ น้องหมีของเรานี่ยืนน้ำลายไหลเลยยย 555


10 สุดยอดทะเลสาบที่สวยที่สุดในแคนาดา
https://www.yingpook.com/blogs/world/10-bests-in-lake-canada
ชมแสงเหนือที่ยูคอน (Yukon)
อีกกิจกรรมที่หญิงปุ๊กเลิฟมากกกกอย่างหนึ่งก็คือ การล่าแสงเหนือค่าาา เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เห็นแล้วต้องว้าว!!! *0* สถานที่แนะนำในแคนาดาก็ต้องที่นี่เลยยย เมืองยูคอน อยู่ทางตะวันตกของประเทศ เป็น 1 ใน 3 ดินแดนที่เล็กที่สุดของประเทศแคนาดา และยังเป็นสถานที่ชมแสงเหนืออันโด่งดังด้วยจ้า สามารถมาชมได้ตลอดทั้งปีเนื่องจากยูคอนเป็นเมืองที่มีธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ เป็นแหล่งเหมืองทองคำ มีแม่น้ำขนาดใหญ่ และเมืองหลวงชื่อว่า ไวต์ฮอร์ส (Whitehorse) ซึ่งเป็นเมืองที่มีอากาศที่บริสุทธิ์อันดับ 1 ของโลก!! แหม่ ว่าแล้วก็อยากจะสูดอากาศให้เต็มปอด ถ้าไม่เกรงใจจะเก็บใส่กระเป๋ากลับมาที่บ้านด้วยเลยเอ้าา! >,<การชมแสงเหนือที่ยูคอนไม่ธรรมดานะคะบอกเลย ท่ามกลางอากาศเย็นยะเยือกกก ในช่วงหน้าหนาวแบบพีคๆ ก็ติดลบถึง -30 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว แต่เขามีบ่อน้ำพุร้อนทาคินี (Takhini Hot Springs) ที่เปิดให้บริการมานานกว่า 100 ปี ให้นักท่องเที่ยวได้นอนแช่น้ำแร่ธรรมชาติอุณหภูมิ 36 - 42 องศาเซลเซียส พร้อมชมแสงเหนือไปด้วยแบบไม่มีแสงไฟมารบกวน มันช่างฟินจริงจริ๊ง
และกว่าร้อยละ 80 ของดินแดนนี้เป็นพื้นที่ธรรมชาติ จึงสามารถพบกวางมูสและกวางเรนเดียร์ ได้ง่ายมากๆ จะขับรถกินลมชมวิวเข้าป่าพร้อมกับแหงนหน้าชมแสงเหนือที่ส่องสว่างและเคลื่อนไหวเหมือนกับกำลังเต้นระบำอยู่บนท้องฟ้าก็ย่อมได้จ้า รวมถึงมีกิจกรรมสนุกๆ เช่น เล่นสกี ขี่สโนว์โมบิล สุนัขลากเลื่อน ตกปลา พายเรือคายัค เรือแคนู และปั่นจักรยานเสือภูเขา








นั่งรถไฟหรูชมวิว Rocky Mountaineer
นั่งรถไฟหรู Rocky Mountaineer ชมวิวแคนาดากันค่า!! แอร้ยยยตื่นเต้นนนน รถไฟโดมกระจกสุดไฮโซที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้โดยสารได้รื่นรมย์กับวิวสวยๆ ชมวิวธรรมชาติผ่านหน้าต่างบานใหญ่แบบ 180 องศา!! แถมใกล้ชิดสุดๆ ไปเล้ยยยRocky Mountaineer เป็นบริษัททัวร์รถไฟของแคนาดาที่ให้บริการรถไฟฟ้าบนเส้นทางรถไฟ 4 เส้นทาง ห้องโดยสารหรูหรา นั่งสบาย ปลอดภัย ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก หน้าต่างหรี่แสงได้เพื่อควบคุมระดับแสงแดด ที่นั่งออกแบบมาเป็นพิเศษพร้อมระบบทำความร้อน รวมทั้งมื้ออาหารแสนอร่อยโดยเชฟมืออาชีพระดับแนวหน้า จิบไวน์ชั้นเยี่ยมชิลๆ ไปด้วย ระหว่างทางจะได้เห็นต้นไม้เขียวๆ ทั้งสองข้างทาง หน้าผาสีดำจากลาวา หุบเขาลึก ทะเลสาบหลุยส์หรือที่รู้จักกันในนามไข่มุกแห่งเทือกเขาร็อคกี้ แม่น้ำที่ไหลเชี่ยว เห็นแกะและแพะภูเขา นกอินทรี หรือบางทีอาจจะเจอหมูดำหรือหมีกรีซลี่ตัวใหญ่เบิ้มด้วยน้า
โดยเส้นทางนี้จะเริ่มตั้งแต่เมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver) ตัดผ่านเทือกเขาร็อคกี้ ไปยังเมืองแจสเพอร์ (Jasper) และจะเดินทางในตอนกลางวันเท่านั้นนะคะ เพื่อให้เราได้ดื่มด่ำกับความงดงามรอบข้างได้แบบเต็มอิ่ม โดยพักค้างคืนที่เมืองแคมลูปซ์ (Kamloops) ก่อนจะเดินทางต่อไปในวันรุ่งขึ้น ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นเส้นทางแรกๆ ของโลกที่ควรไป ได้รับรางวัล World's Leading Travel Experience by Train ถึง 7 ครั้ง และยังได้รับการยกย่องจากสมาคมนักท่องเที่ยวทางรถไฟระหว่างประเทศ (The Society of International Railway Travelers) และ National Geographic Magazine Rocky ว่าเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวที่ดีที่สุดอีกด้วยค่า ราคาเริ่มต้น 1,800$ หรือประมาณ 57,100 บาท https://www.rockymountaineer.com






เที่ยวสวนบุตชาร์ต (Butchart gardens)
สวนบุตชาร์ต เป็นสวนดอกไม้ที่มีชื่อเสียงที่สุดของแคนาดา และได้รับการยกย่องว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลกเลยนะจ๊า ธรรมดาที่ไหนกันนน ตั้งอยู่ในเขตเบรนท์วูด (Brentwood) บนเกาะแวนคูเวอร์ อายุก็ราวๆ 111 ปีแล้วค่า เก่าแก่มากสร้างโดยเจนนี่ บุตชาร์ต (Jennie Butchart) ขอเล่าที่มาสักหน่อยละกันนน เกิดจากสามีของเธอชื่อว่า โรเบิร์ต พิม บุตชาร์ต (Robert Pim Butchart) ทำอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ที่ตรงนี้ก็เคยเป็นโรงงานปูนซีเมนต์ และได้ขุดพื้นดินเพื่อนำหินปูนไปขาย ทำให้พื้นเป็นหลุมเป็นบ่อเต็มไปหมด มองไปก็เจอแต่ก้อนอิฐก้อนหินแตกๆ หักๆ และก็ถูกปล่อยร้างเป็นพื้นที่ว่าง เธอจึงตัดสินใจสร้างสนามหญ้าและปลูกต้นไม้ ดอกไม้มันซะเลย มีการใช้พันธุ์ไม้เลื้อยต่างๆ ไว้ตามซอกหรือรอยแตกของหินตามกำแพง จนปัจจุบันกลายเป็นสวนดอกไม้สุดอลังการที่มีผู้เข้าชมมากกว่าล้านคนต่อปี!
โดยได้จ้างสถาปนิกจากทั่วโลก ทำการเปลี่ยนสนามเทนนิสเป็นสวนสไตล์อิตาเลี่ยน ตกแต่งด้วยน้ำพุและรูปปั้นเทพเมอร์คิวรี่ เปลี่ยนสวนผักเป็นสวนกุหลาบสไตล์อังกฤษ มีสวนนั่งจิบชาสไตล์ญี่ปุ่น น้ำตก สระบัว รูปปั้น ศาลา และอื่นๆ อีกเพียบ จนได้รับการกําหนดให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติของแคนาดา
เรียกได้ว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ดีงามมากๆ >3< พื้นที่กว้างขวางสำหรับเดินเล่นและถ่ายรูป เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณที่ผลัดกันออกดอกบานสะพรั่งตลอดทั้งปี ใครที่อยากรู้ข้อมูลของดอกไม้ชนิดต่างๆ ทางสวนก็มีเจ้าหน้าที่คอยให้ข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวด้วยนะคะ มีการแสดงดนตรีกลางสวนเพลินๆ ส่วนตอนกลางคืนก็ประดับประดาไฟอย่างสวยงาม มาเที่ยวกันได้ทั้งกลางวันกลางคืนเลยยย






เที่ยวสะพานแขวนคาพิลาโน (Capilano Suspension Bridge)
สะพานแขวนคาพิลาโน ที่เขาพูดกันว่าใจไม่แข็งอย่าขึ้นไป! แต่เราเป็นสาวสตรองซะอย่าง สั่นสู้จ้า ณ จุดนี้ >,< ไปค่ะ ลุยยยยย สะพานแขวนข้ามแม่น้ำคาพิลาโนความยาวกว่า 140 เมตร และสูงจากระดับน้ำด้านล่างถึง 70 เมตร เป็นสะพานไม้แขวนที่ยาวที่สุดของแคนาดา ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงที่อายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี...เกิดจากความรวยของมหาเศรษฐีชาวอังกฤษที่มีบ้านอยู่ริมหน้าผา และในปี ค.ศ.1889 ได้จ้างวิศวกรชาวสกอตแลนด์ George Grant Mackay มาสร้างสะพานเพื่อเดินเชื่อมไปยังจุดต่างๆ เมื่อก่อนทำจากแผ่นกระดานไม้สนและเชือกปอ แต่ต่อมาก็ได้มีการเปลี่ยนเป็นใช้สายเคเบิ้ลแทนเพื่อความแข็งแรง สามารถรับน้ำหนักของคนได้มากกว่า 1,300 คนเลยทีเดียว และด้วยบรรยากาศรอบๆ ที่สวยงาม โรแมนติคท่ามกลางป่าเขา จึงกลายเป็นสถานที่ขอแต่งงานของคู่รักอีกด้วยค่า



ไฮไลต์สุดหวาดเสียวที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ ทางเดิน Cliffwalk เป็นสะพานทางเดินที่ยื่นออกมาจากหน้าผา ถูกแขวนด้วยลวดแค่ไม่กี่เส้น! เห็นแล้วเพลงพี่บี้ก็แว๊บเข้ามาในหัวทันที… กะกะกะกลัวที่ไหนนนน~ เกรงใจหรอกหนาาา แถมตรงจุดที่สูงที่สุดจะถูกบุด้วยแผ่นกระจกใส ให้เราได้เห็นยอดของต้นไม้ที่อยู่ใต้เท้า และมองทะลุลงไปถึงพื้นเบื้องล่าง เพิ่มความเสียวไปอี๊กกกก


อีกหนึ่งจุดน่าสนใจก็คือ Totem Park เสาไม้แกะสลักสุดแปลกตา หลายรูปแบบ หลายสีสัน ที่ซึ่งมีมาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1930 แต่ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในสภาพดีเลยล่ะค่ะ ว่าแล้วก็ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกกันซะหน่อยค่า



เที่ยววิสต์เลอร์ แบล็คโคมบ์ (Whistler Blackcomb)
วิสต์เลอร์ แบล็คโคมบ์ อัญมณีที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาแคนาดา ได้ชื่อว่าเป็นสกีรีสอร์ทที่ดีที่สุดในโลก และเป็นพื้นที่กีฬาฤดูหนาวที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ อยู่ห่างจากแวนคูเวอร์แค่ 2 ชั่วโมงเองค่ะ ขับรถมาเที่ยวได้ง่ายๆ ที่สำคัญยังเคยใช้เป็นสถานที่จัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2010 ด้วยค่า จึงทำให้เป็นที่รู้จักและโด่งดังไปทั่วโลก เป็นแหล่งรวมกิจกรรมสำหรับครอบครัวชั้นเยี่ยม เหมาะแก่การมาพักผ่อนหย่อนใจในช่วงวันหยุด ในแต่ละปีจึงมีนักท่องเทียวเยือนกว่า 2 ล้านคนเลยทีเดียวววในช่วงหน้าหนาวที่นี่เป็นเหมือนรีสอร์ทในฝันสำหรับผู้เริ่มต้นเล่นสกีไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญ มีโรงเรียนสอนสกีมากมาย ช่วงที่เหมาะสมในการเล่นคือตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนพฤษภาคม นอกจากจะสนุกกับการเล่นสกีและสารพัดและกิจกรรมท่ามกลางหิมะต่างแล้ว ในช่วงหน้าร้อนก็ปังไม่แพ้กันค่ะ เป็นเหมือนสถานที่พักผ่อนตากอากาศของชาวแคนาดา มีหาดทราย มีทะเลสาบให้มาลงน้ำกัน บางคนก็พายเรือคายัค ปั่นจักรยานเสือภูเขา
สัมผัสกับบรรยากาศของเมือง ตัวหมู่บ้านคือสวยงามมากกก มีความสะดวกสบายหลากหลายรูปแบบ มีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวให้เลือกมากมายตั้งแต่รีสอร์ทไปจนถึงโรงแรมหรู เรียงรายไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้า สปา หอศิลป์ สิ่งปลูกสร้าง ตัวอาคารต่างๆ ถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกลมกลืนกันอย่างดี ถึงกับได้รางวัลดีไซน์ฝังเมืองและรูปแบบหมู่บ้านสวยงามอีกด้วยนะคะ






ดูหมีขาวที่เมืองเชอร์ชิล (Polar bears in Churchill)
เมืองเชอร์ชิล ดินแดนของหมีขั้วโลก >3< ได้รับการขนานนามว่า Polar Bear Capital of the World เป็นเมืองเล็กๆ ริมอ่าวฮัดสัน (Hudson Bay) อยู่ในรัฐมานิโตบา (Manitoba) ตอนกลางของประเทศค่ะ เมืองนี้มีคนอยู่อาศัยแค่ 600 คน คนในพื้นที่บอกว่าเมืองนี้ให้หมีอยู่ไม่ใช่ให้คนอยู่.. อ่ะเค รู้เรื่องงงง 5555 ภายในเมืองได้มีการสร้างอนุสาวรีย์หมีขั้วโลกไว้ด้วยนะคะสาเหตุที่มีน้องหมีขาวอยู่เยอะก็เพราะว่า พวกเขาอาศัยในอ่าวฮัดสัน ในช่วงหน้าหนาว น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง หมีขาวเลยไปอาศัยจับแมวน้ำกินเป็นอาหารหลัก แต่พอเข้าหน้าร้อนอ่าวฮัดสันจะละลาย ก็เลยต้องกลับมาขึ้นฝั่ง ในช่วงนี้แหละค่ะที่เจ้าหมีทั้งหลายจะขึ้นฝั่ง เราจึงมีโอกาสพบเจ้าหมีขั้วโลกได้ง่ายนั่นเอง
เดินในเมืองนี้ให้สังเกตุป้ายระวังหมีกันด้วยนะคะ เดินเลยเขตไปอาจจะไปโป๊ะเช๊ะเจอน้องหมีโดยไม่ทันตั้งตัวได้ แต่เขาจะมี polar bear police คอยดูแลให้ตลอดค่ะ แถมยังมีคุกหมีขั้วโลก (Polar Bear Jail) เป็นสถานที่คุมประพฤติน้องหมีขาวที่หลงเข้าไปในเมือง ทางเจ้าหน้าที่จะกักตัวน้องๆ ไว้รอจนถึงฤดูออกหากินก็จะปล่อยตัวอีกครั้งค่า >,<
เดือนพฤศจิกายนเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการไปดูหมีขั้วโลก หรือเรียกกันว่า ช่วง polar bear season เรามาสามารถจองทัวร์ได้ สามารถเข้าดูรายละเอียดได้ที่ http://www.everythingchurchill.com บอกเลยว่าเต็มเร็วมากกก โดยเราจะได้ดูหมีอย่างปลอดภัยจากในรถที่มีการดัดแปลงเป็นพิเศษ เรียกว่าทุนดรา บั๊กกี้ (tundra buggies) ได้เห็นน้องหมีเต็มไปหมดเลยยย รีบหยิบหล้องขึ้นมาถ่ายกันรัวๆๆๆ ความน่ารักคือเต็ม 10 ไม่หัก ถ้าไม่ติดว่าเป็นสัตว์กินเนื้อนี่จะลงไปกอดแล้วนะคะเนี่ยยย แต่ไม่ได้นะคะ อิอิ



.jpg?1627761072586)
.jpg?1627761072586)
.jpg?1627761072586)
.jpg?1627761072586)
อย่าลืมแวะมาที่พิพิธภัณฑ์ Itsanitaq museum ที่จะแสดงซากและหุ่นสตาฟของสัตว์พื้นเมืองและสิ่งของต่างๆ ตัวพิพิธภัณฑ์ไม่ใหญ่มาก เดินเกือบๆ ชั่วโมงก็ทั่วแล้วค่ะ เข้าชมฟรีแถมได้ความรู้กลับไปอีกด้วย


เที่ยวเทศกาล Calgary Stampede
Calgary Stampede เทศกาลเก่าแก่ประจำปีที่หลายคนรอคอย เป็นงานสไตล์คาวบอยตะวันตกที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ อลังการ ที่รัฐอัลเบอร์ตา (Alberta) มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1886 แล้วค่ะ โดยจะจัดในช่วงเดือนกรกฎาคมต่อเนื่องประมาณ 10 วัน ให้ได้จุใจเต็มอิ่มกันไปเล้ยยยผู้คนจะแต่งตัวสไตล์คาวบอยกันทั่วเมือง ภายในงานจะมีการเดินขบวนพาเหรด ขี่ม้า มีเครื่องเล่นต่างๆ ให้เล่นมากมาย ทั้งชิงช้าสวรรค์ กระเช้า เกมยิงปืน เหมือนยกสวนสนุกขนาดย่อมมาไว้ในงานเลยล่ะค่า มีการจัดแสดงขี่ม้าพยศ การแข่งขันขี่ม้าเทียมเกวียน จัดคอนเสิร์ต การจัดแสดงด้านเกษตรกรรมของคนในถิ่น และการเดินขบวนพาเหรดคาวบอยขี่ม้า ที่ทุกคนร่วมกันแต่งตัวกันแบบจริงจังแบบไม่มีใครยอมใคร ธีมงานจะเป็น Old West แสดงออกถึงความภาคภูมิใจของคนในยุคก่อน เรียกได้ว่ามาจากคาวบอยยุคบุกเบิกในอเมริกาเหนือเลยทีเดียว
และไฮไลท์เด็ดคือ ได้ชมการแสดงกลางแจ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก!! คือการแสดงโชว์ขี่ม้า รวมถึงการสู้วัวกระทิง แบบดุเดือดและใกล้ชิด หาดูไม่ได้ง่ายๆ นะคะบอกเลยยย งานนี้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้กว่าล้านคนต่อปี! ใครได้มาเที่ยวช่วงนี้ห้ามพลาดเลยค่า







ชมการแข่งขันดอกไม้ไฟ Celebration of Lights
เทศกาลการแข่งขันดอกไม้ไฟ Celebration of Lights เป็นงานระดับนานาชาติที่จะจัดขึ้นทุกๆ ฤดูร้อนเป็นประจำทุกปีในเมืองแวนคูเวอร์ค่า เริ่มจัดครั้งแรกตั้งปี ค.ศ.1990 โดยใช้ชื่อว่า Symphony of Fire ตอนนี้รวมๆ ก็ 30 ปี ได้แล้วค่ะ ถือเป็นการแข่งขันดอกไม้ไฟนอกชายฝั่งที่ดำเนินมายาวนานนนที่สุดในโลก ปัจจุบันจะจัดในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมหรือต้นสิงหาคม ตลอด 3 วัน 3 คืน ที่อ่าวอิงลิชเบย์ค่ะ (English Bay) นักออกแบบดอกไม้ไฟเก่งๆ ก็จะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ด้วยโดยจะจัดแสดงดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่จากทีมระดับโลก หลาย 10 ประเทศ แต่ละทีมก็โชว์เทคนิคพิเศษกันแบบไม่ยั้ง สีสันของพลุและดอกไม้ไฟเปลี่ยนท้องฟ้าในยามค่ำคืนให้สว่างไสวไปทั่วเมือง สวยตะลึง จนต้องอ้าปากค้างงงง *0* ว้าวววววว เป็นงานที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเพื่อมาสัมผัสประสบการณ์ดีๆ ชมความยิ่งใหญ่ตระการตาของดอกไม้ไฟ คอนเสิร์ตกลางแจ้ง และลิ้มรสอาหารท้องถิ่นที่เปิดร้านขายกันเต็มบริเวณอ่าว
ถ้าใครอยากหลบคนมาหน่อย แนะนำจุดชมที่ Stanley Park ซึ่งจะหันหน้าไปทางอ่าวอิงลิชเบย์ ก็จะมองเห็นดอกไม้ไฟได้ชัดเหมือนกันค่ะ และสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็กต้องการมีพื้นที่ ที่ Dundarave Pier ใน West Vancouver ก็มุมดีเหมือนกันค่า





เที่ยวลานน้ำแข็งโคลัมเบียและกลาเชียร์สกายวอล์ค (Columbia Icefield and Glacier Skywalk)
ลานน้ำแข็งโคลัมเบีย ลานแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่!! เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในเขตเทือกเขาร็อกกี้เลยค่ะ โดยแผ่นน้ำแข็งนี้วางตัวทอดยาวอยู่ระหว่างทางใต้ของอุทยานแห่งชาติแจสเปอร์ (Jasper National Park) และทางด้านเหนือของอุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) มีพื้นที่ทั้งหมดราว ๆ 325 ตารางกิโลเมตร โอ้โหหห นี่แทบจะไม่ใช่แผ่นน้ำแข็งแล้ว แทบจะเป็นแผ่นปลือกโลกแผ่นนึง~ >,<ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 8 ธารน้ำแข็งใหญ่ๆ ธารน้ำแข็งที่นิยมของนักท่องเที่ยวก็คือ Athabasca Glacier ตัวน้ำแข็งหนาถึง 300 เมตร ในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมี Snow Coach ไว้คอยต้อนรับและพานักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมแผ่นน้ำแข็งสุดอลังการนี้ด้วยค่ะ โดยเส้นทางที่ไปมีชื่อว่า The Icefields Parkway เราจะได้เห็นความงามของเทือกเขา ทะเลสาบ หิมะ แม่น้ำ และวิวสวยๆ ตลอดเส้นทาง พอมาถึงก็สามารถลงไปเดินบนลานน้ำแข็งได้ พร้อมกับแชะภาพสวยๆ เก๋ๆ รถที่นั่งมาว่าใหญ่แล้ว พอมาจอดอยู่ท่ามกลางความกว้างใหญ่ แอบกลายเป็นรถของเล่นไปเลย ^^’




กลาเชียร์สกายวอล์ค ทางเดินกระจกสุดหวาดเสียวววว ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2014 ปัจจุบันกลายเป็นแลนด์มาร์คยอดฮิตของแคนาดาเลยนะจ๊ะ เป็นทางเดินครึ่งวงกลมที่สูงชันบนหน้าผา ห่างจากก้นหุบเขาประมาณ 300 เมตร เหมือนได้เดินอยู่บนฟ้าเลยแหละความกว้างของทางเดินประมาณ 1.5 เมตร แรกๆ ก็อาจจะมีขาสั่นๆ กันบ้างงงง >,< แต่ในเรื่องของความปลอดภัยนั้นมีการรับรองว่าเป็นที่สุด ทั้งสองข้างมีรั้วพลาสติกเสริมความปลอดภัยด้วยใยแก้วสูง 1.5 เมตร เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมทิวทัศน์โดยรอบได้อย่างง่ายดายและอุ่นใจ
สามารถมองเห็นเทือกเขาร็อกกี้ และธารน้ำแข็งโคลัมเบียสุดอลังการได้แบบพาโนรามา และยังมีเครื่องเล่นที่สามารถกดเลือกภาษาต่างๆ ในโลก เพื่อฟังข้อมูลเกี่ยวกับทิวทัศน์ที่เราเห็นได้ด้วยค่า


ล่องเรือตามเส้นทาง The Inside Passage
The Inside Passage แห่งอลาสก้า เส้นทางเดินเรือที่สวยงามที่สวยปังสุดในสามโลกกก ทอดยาวผ่านเกาะต่างๆ จากรัฐวอชิงต้นในสหรัฐอเมริกา ผ่านแคนาดา และมาจบที่อลาสก้า ส่วนมากเรือจะใช้เส้นทางนี้กันเพื่อหลีกเลี่ยงสภาพอากาศเลวร้ายในมหาสมุทรค่ะ เต็มเปี่ยมด้วยมนต์เสน่ห์ น่าหลงใหล วิวทิวทัศน์และธรรมชาติที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นเมืองต่างๆ ตามหมู่เกาะ เทือกเขา ธารน้ำแข็ง และเหล่าสัตว์ป่าหายากนานาพันธุ์ระหว่างทางเราสามารถแวะเยี่ยมชมเมืองท่าต่างๆ ได้ เช่น เมืองจูโน่ (Juneau), เมืองสแกกเว (Skagway) และเมืองวิกตอเรีย (Victoria) เป็นต้น แต่ละเมืองก็จะมีความน่าสนใจแตกต่างกันไป ทำให้เส้นทางสายนี้กลายเป็นเส้นทางฮิตฮอตมากในหมู่นักท่องเที่ยวค่า





เที่ยวอุทยานไดโนเสาร์แห่งรัฐ (Dinosaur Provincial Park)
อุทยานไดโนเสาร์แห่งรัฐ เป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติที่สำคัญมากของแคนาดา ตั้งอยู่ทางใต้ของรัฐแอลเบอร์ตาค่ะ เป็นดินแดนซากฟอสซิลในพื้นที่กว่า 73 ตารางกิโลเมตร หรือ 45,625 ไร่ มีทัศนียภาพที่สวยงามตามธรรมชาติ และยังไม่ถูกรบกวนโดยมนุษย์ เราจะเห็นดินและหินรูปร่างแปลกๆ นั่นเกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งเมื่อหลายสิบล้านปีก่อนค่ะ เห็นแล้วได้ฟีลแบบเหมือนได้หลุดมาอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์จริงๆ เลยค่า >,< นักท่องเที่ยวก็อดไม่ได้ที่จะแวะถ่ายรูปกันรัวๆๆที่อุทยานไดโนเสาร์แห่งรัฐได้มีการค้นพบฟอสซิลที่สำคัญที่สุดถึง 44 สายพันธุ์จากยุคไดโนเสาร์ (Age of Reptiles) หรือเมื่อประมาณ 75 ล้านปีก่อน!! เป็นอุทยานที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างมาก มีซากฟอสซิลของไดโนเสาร์และสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังต่างๆ แบบเยอะมากๆ ทั้งสมบูรณ์และหลากหลาย เป็นอีกที่ที่ควรค่าแก่การมาเยือนจริงๆ ค่ะ ได้ทั้งความรู้ทางประวัติศาสต์ของสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ และตื่นตาตื่นใจกับวิวรอบๆ จนได้รับคัดเลือกจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกอีกด้วย (UNESCO World Heritage Site)





