เที่ยวประเทศเนปาล ดินแดนแห่งภูเขาสุดอลังการและธรรมชาติอันงดงาม เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย กลิ่นอายของวัฒนธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ ใครที่ได้มาสัมผัสต้องหลงใหลและมอบหัวใจให้กับเนปาลอย่างแน่นอนค่า

 


*******************



เที่ยวยอดเขาเอเวอเรสต์ (Mount Everest)


เอเวอเรสต์ ยอดเขาที่ใครๆ ก็ต้องเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามกันมาอย่างแน่นอนนน เพราะเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก!! ที่กลุ่มนักปีนเขาต้องการจะมาพิชิตกันให้ได้สักครั้งในชีวิตต >”< อยู่ในแนวเทือกเขาหิมาลัย มีความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 29,035 ฟุต หรือ 8,848 เมตรค่ะ เป็นภูเขาหินดินดานผสมกับหินปูนและหินอ่อน เกิดจากการชนกันของแผ่นเปลือกโลก ทุกๆ ปีพอแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนตัวเข้าหากันจนเกิดการโก่งตัวของแผ่นเปลือกโลก ทำให้ยกตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ปีละประมาณ 0.25 นิ้ว ซึ่งเกิดขึ้นมายาวนานมากกว่า 60 ล้านปีแล้วค่ะ

ด้วยความที่ยอดเขาเอเวอเรสต์มีความสูงจากระดับน้ำทะเลมาก จึงทำให้มีความกดอากาศต่ำ บนยอดเขามีออกซิเจนแค่ 1 ใน 3 ของออกซิเจนในบรรยากาศปกติเองง อากาศหนาวเย็นจับใจในช่วงหน้าหนาว มีหิมะปกคลุมยอดเขาตลอดทั้งปี ต้องไต่เขาขึ้นไปท่ามกลางลมแรงๆ โชคไม่ดีอาจจะเจอพายุหิมะได้นะคะ จึงยากมากกกที่จะมีผู้มาพิชิตยอดเขานี้ได้









โดยคนไทยคนแรกที่สามารถพิชิตสู่ยอดเขาได้สำเร็จคนแรกคือ นายวิทิตนันท์ โรจนพานิช เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เวลา 08.00 น.ค่ะ ถือประวัติศาสตร์ไทยต้องจารึกไปตลอดกาล เขาได้นำธงชาติไทยขึ้นไปโบกสะบัดบนยอดเขาที่สูงที่สุดของโลกแห่งนี้ด้วยยย สุดยอดไปเลยค่าา



เครดิตรูปภาพจาก https://hilight.kapook.com/view/37669

 
*******************



เอเวอเรสต์เบสแคมป์ (Everest Base Camp)


เส้นทางในการไปพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากก็คือ เส้นทางจากทางฝั่งเมืองลุกลา (Lukla) ของประเทศเนปาลค่ะ หรือเรียกว่าเอเวอเรสต์เบสแคมป์ เพราะเราสามารถเดินเท้าขึ้นไปชื่นชมความงามของเทือกเขาหิมาลัยและยอดเขาเอเวอเรสต์ได้อย่างใกล้ชิดด และเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเขาที่สวยที่สุดในโลก!! ผ่านภูมิทัศน์ที่หลากหลาย แรกๆ ก็จะมีหมู่บ้านให้แวะพัก มีลำธาร ต้นไม้สูงให้ร่มเงาตลอดทาง ใครโชคดีก็จะได้เห็นดอกไม้ต่างๆ และซากุระบานสะพรั่งงงให้ชุ่มชื่นหัวใจก่อนไปเจอความโหดของจริงง >,< ถือเป็นเส้นทางที่ง่ายที่สุดแต่ก็ไม่หมูนะจ๊ะ เพราะต้องไต่เขาและเดินข้ามช่องเขาแคบๆ ชันๆ ที่เต็มไปด้วยกรวดหิน ยิ่งสูงเท่าไร ออกซิเจนก็ยิ่งน้อยลง วิวสองข้างทางจากที่เป็นทุ่งข้าว ป่าสน มีใบไม้สีเขียวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ล้อมรอบด้วยผู้เขาหิมะ อากาศหนาว ลมแรง แต่มีแดดอันอบอุ่น

ช่วงที่ดีที่สุดในการปีนสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์จะอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคมและเดือนตุลาคมค่ะ เพราะเป็นช่วงที่อากาศไม่หนาวเย็นมาก ไม่มีพายุหิมะ ท้องฟ้าเปิดโล่งสดใส ทำให้การเดินทางนั้นง่ายขึ้นจ้า

นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเครื่องบินมาที่เมืองหลวง คือเมืองกาฐมาณฑุ (Kathmandu) แล้วต่อเครื่องไปลงที่เมืองลุกลา (Lukla) จากนั้นเดินเท้าขึ้นสู่เบสแคมป์ทางด้านใต้ได้เลยค่ะ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสู่ยอดเขาแห่งนี้เริ่มต้นคนละ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,087,649 บาท อู้หูววววววว เห็นราคาแล้วลมแทบจับทั้งที่ยังไม่ทันได้ปีน 5555 ใครอยากเปิดโลกและประสบการณ์ใหม่ๆ ต้องมั่นใจว่าเราเตรียมร่างกายให้แข็งแรงและสามารถทนต่อสภาวะอากาศที่หนาวเย็นได้อย่างดี พร้อมแล้วไปสัมผัสความสวยงามและความมหัศจรรย์ของธรรมชาติสักครั้งหนึ่งในชีวิตกันนะค้าา















 
*******************



เที่ยวมหาเจดีย์พุทธนาถ (Boudhanath Stupa)


สายบุญห้ามพลาดที่นี่เลยค่ะทุกคนนน มหาเจดีย์พุทธนาถ เจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเนปาล!! ตั้งอยู่ในหมู่บ้านชาวทิเบต ห่างจากเมืองกาฐมาณฑุประมาณ 8 กิโลเมตรค่ะ เป็นเจดีย์ทรงโอคว่ำ มีความสูง 38 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 32 เมตร เป็นสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธและฮินดู สร้างตามความเชื่อที่ว่าเป็นการจำลองสวรรค์ จุดเด่นอยู่ที่ดวงตาเห็นธรรมหรือดวงตาแห่งปัญญา (Wisdom Eyes) ทั้ง 4 ด้าน ซึ่งไม่เหมือนเจดีย์องค์อื่นๆ ในโลก เจดีย์ทุกองค์ในเนปาลจะต้องมีดวงตาเห็นธรรมอยู่ด้วยค่ะ เพราะชาวเนปาลเชื่อว่าดวงตาของพระพุทธเจ้าจะคอยมองดูโลกมนุษย์..

อีกจุดเด่นของที่นี่คือธงมนตรา 5 สีที่ชาวเนปาลเอามาแขวนไว้รอบองค์เจดีย์ ซึ่งชาวบ้านก็จะแขวนไว้ตามช่องแนวเขาและอาคารบ้านเรือนด้วยเหมือนกันค่ะ เพราะเป็นธงที่ได้รับการจารึกบทสวดมนต์และปลุกเสกแล้ว เชื่อกันว่าเมื่อลมพัดจะช่วยให้บทสวดมนต์ที่สวดไว้คุ้มครองคนที่ผ่านไปมานั่นเอง และมหาเจดีย์พุทธนาถยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1979 อีกด้วยค่า

นอกจากจะได้มาทำบุญกันแล้ว ทุกคนจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คนชาวทิเบต ทั้งตึกรามบ้านช่อง แถมด้วยร้านค้ามากมาย มีร้านขายของที่ระลึก ของพื้นเมืองจากหลายๆ ที่มาขายกันเพียบเลยจ้าา









 
*******************



เที่ยวชมสถูปสวยมภูนารท (Swayambhunath Stupa)


วัดสวยมภูนารท หรือที่เรียกกันว่าวัดลิงค่ะ เพราะมีลิงเยอะมากกกก สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ามานะเทวะ มีอายุกว่า 2,000 ปีเลยทีเดียวว ตั้งอยู่บนยอดเขาห่างจากกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันตก 3 กิโลเมตร จึงทำให้เห็นทิวทัศน์ของหุบเขาที่สวยงาม แค่วิวก็กินขาดแล้วค่าา *0* จุดเด่นคือสถูปสวยมภูนารทที่เก่าแก่ที่สุดของเนปาล และเป็นมหาเจดีย์ของชาวพุทธที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก! ตรงฐานของสถูปจะมีดวงตาเห็นธรรม (Wisdom Eyes) รอบทั้ง 4 ด้านอยู่เช่นเคย ดวงตาและคิ้วสวยงามเป็นเอกลักษณ์ มีการผสมผสานความศรัทธาและความเชื่อทางศาสนาระหว่างศาสนาพุทธกับฮินดู โดยองค์การยูเนสโกได้ทำการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และเป็นสถานที่เดียวที่พระพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูนั้นอยู่คู่กันค่ะ

วัดแห่งนี้มีบันไดหิน 365 ขั้นเพื่อขึ้นไปยังสถูปสวยัมภูวนาถ มีตำนานเล่ากันมาว่า เมื่อก่อนบริเวณนี้เป็นทะเลสาบกว้างใหญ่ วันหนึ่งมีดอกบัวสีสันสดใสเกิดขึ้นบนเกาะกลางทะเลสาบ ในดอกบัวมีเปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับพวยพุ่งขึ้น พร้อมกับมีพระอาทิพุทธะปรากฏกายขึ้นครั้งแรกบนโลกมนุษย์ ตรงใกล้บันไดทางขึ้นจึงมีซุ้มตะเกียงแห่งเปลวไฟเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของพระอาทิพุทธะนั่นเองค่ะ

ระหว่างทางก็จะมีม้านั่งให้พักเหนื่อยเป็นระยะๆ และตามราวบันไดมีชาวบ้านมานั่งขายของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว สินค้าก็ยั่วใจ ทั้งงานฝีมือ งานทองเหลือง หุ่นกระบอก จนต้องซื้อติดไม้ติดมือมาด้วยเลยล่ะค่าา >,< อิอิ











 
*******************



เที่ยวจัตุรัสกาฐมาณฑุ ดูร์บาร์ (Kathmandu Durbar Square)


จัตุรัสกาฐมาณฑุ ดูร์บาร์ แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดแห่งหนึ่งที่ทุกคนพร้อมใจกันมาชมความงดงามกันไม่ขาดสายเลยค่า อยู่ด้านหน้าพระราชวังเก่าของอดีตราชอาณาจักรกาฐมาณฑุ ใช้เป็นสถานที่สำหรับทำพิธีราชาภิเษกขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์เนปาล ภายในประกอบไปด้วยวัดและปราสาทอันเก่าแก่ มีสถาปัตยกรรมและงานฝีมือของช่างชาวเนวาร์อายุหลายร้อยปี แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองทั้งด้านศาสนาและวัฒนธรรมของชาวเนปาล เช่น วัดตะเลชุ (Taleju Temple) สร้างโดยกษัตริย์มเหนทรา มัลละ (King Mahendra Malla), วัดจากกานนาถ (Jagannath Temple), รูปสลักของกษัตริย์ประตาปมัลละ (Statue of King Pratap Malla), พิพิธภัณฑ์เหรียญ (Coin Museum) และพิพิธภัณฑ์ตริภูวัน (Tribhuvan Museum) เป็นต้น โดยจัตุรัสแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1980 ด้วยค่ะ













เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้นอย่างหนัก ความรุนแรงและสั่นสะเทือนมากถึง 7.9 แมกนิจูด ทำให้จัตุรัสแห่งนี้และอาคารสถาปัตยกรรมต่างๆ ถล่มราบจนแทบจำเค้าเดิมแทบไม่ได้ รวมถึงหอคอยดารารา (Dharhara Tower) ที่สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1832 ก็พังถล่มลงมา ปัจจุบันถึงจะมีการบูรณะซ่อมแซม แต่ก็ไม่สามารถสร้างออกมาได้เหมือนเดิม และถือเป็นเหตุการณ์สูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้ เพราะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันเก่าแก่ที่ไม่สามารถปลูกสร้างทดแทนได้ค่ะ









 
*******************



เที่ยวจัตุรัสภักตะปุร์ ดูร์บาร์ (Bhaktapur Durbar Square)


จัตุรัสภักตะปุร์ ดูร์บาร์ อยู่ที่เมืองโบราณบักตะปูร์ ที่นี่เป็นที่ประทับของกษัตริย์ราชวงศ์มัลละ ที่เด่นเลยก็คือพระราชวัง 55 หน้าต่าง (Palace of 55 Windows) สร้างโดยกษัตริย์รานจิต มัลละ (King Ranjit Malla) เป็นพระราชวังที่งดงามที่สุดของสถาปัตยกรรมแบบเนปาลในสมัยศตวรรษที่ 18 เป็นอาคารอิฐสามชั้น หน้าต่างแกะสลักด้วยไม้ทั้งหมด และประตูทองคำ (Sun Dhaka หรือ Golden Gate) ที่เป็นสุดยอดของศิลปะเนปาลค่ะ ทำจากทองเหลืองสลักลวดลายเทพเจ้าในศาสนาฮินดูไว้อย่างประณีต สวยงามเลอค่ามากๆ ถือเป็นประตูที่มีการแกะสลักงดงามและสมบูรณ์ที่สุดในโลกเลยค่า







นอกจากนี้ที่จัตุรัสยังมีวัดและผลงานทางสถาปัตยกรรมอีกมากมายนับไม่ถ้วน เช่น ประตูสิงห์ (Lion Gate), หอแสดงภาพ (Picture Gallery), วัดพัตสะละ (Batsala Temple) และรูปสลักอันวิจิตรของกษัตริย์ภูปตินทระ มัลละ (King Bhupatindra Malla) ตั้งอยู่บนเสาหินที่หันหน้าเข้าสู่ตัวปราสาท ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นอนุสาวรีย์แห่งมรดกโลกด้วยค่ะ













วัดยัคเษสโวร์มหาเทพ (Yaksheswor Mahadev Temple) ซึ่งจำลองแบบมาจากวัดปศุปฏินาถในเมืองกาฐมาณฑุ



วัดหินที่พัตสะละ เทวี (Batsala Devi) เป็นวัดที่เต็มไปด้วยงานแกะสลัก เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมแบบศิขะระ บนระเบียงวัดมีระฆังทองสัมฤทธิ์แขวนอยู่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ระฆังหมาเห่า (Bell of Barking Dogs) ใช้ตีเพื่อบอกเวลาในสมัยนั้นค่ะ



 
*******************



เที่ยวจัตุรัสปะฏัน ดูร์บาร์ (Patan Durbar Square)


จัตุรัสปะฏัน ดูร์บาร์ จัตุรัสใจกลางเมืองปะฏัน ศูนย์รวมสถาปัตยกรรมอันสวยงามที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองคู่แฝดของกรุงกาฐมาณฑุ เหมือนน้องสายฟ้ากับพายุ :P ได้รับการขนานนามว่าเมืองแห่งความงามและยังเป็นเมืองแห่งศิลปะอีกด้วยจ้า เพราะเต็มไปด้วยพระราชวังโบราณ วัด และโบสถ์เก่าแก่ มีชื่อเสียงในด้านการแกะสลักที่ประณีตงดงาม ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ช่วงศตวรรษที่ 3 เป็นอีกหนึ่งจัตุรัสที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกค่ะ

เมื่อเดินเข้ามาย่านนี้รู้สึกอบอุ่นใจแบบบอกไม่ถูก เพราะชาวเนปาลีหน้าตาเป็นมิตรมากค่ะ ใส่ชุดหลากสี ใบหน้ายิ้มแย้ม มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจได้แก่ พระราชวัง (Patan Palace) ต้นแบบของงานสถาปัตยกรรมแบบศิขร, วัดพระกฤษณะ มัณฑีร์ (Krishna Mandir), วิหารทองคำ หรือควาบะฮาล (Kwa Bahal) โดยในเขตจัตุรัสและพระราชวังประกอบไปด้วยลานที่สำคัญ 3 แห่ง ได้แก่ Central Mul Chowk, Sundari Chowk, Keshar Narayan Chowk บริเวณกลางลานมีห้องอาบน้ำหลวง (Royal Bath) ซึ่งนับว่าเป็นสถาปัตยกรรมหินชิ้นสำคัญ และตัวพระราชวังปะฏัน (Patan Palace) ถือเป็นต้นแบบของงานสถาปัตยกรรมแบบศิขะระ (Shikhara Style) ของเนปาลด้วยค่ะ ภาพของพระราชวังและวัดในจัตุรัสปะฏันได้ถูกใช้เป็นโลเคชั่นในละครไทยมาแล้วหลายเรื่องด้วยน้าา

















 
*******************



เที่ยววัดปศุปฏินาถ (Pashupatinath Temple)


วัดปศุปฏินาถ เป็นวัดฮินดูที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำพัคมาตี (Bagmati River) ห่างจากกรุงกาฐมาณฑุไปประมาณ 5 กิโลเมตรค่ะ สร้างขึ้นในราชวงศ์มัลละเพื่อถวายแก่องค์พระศิวะ ถือเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนาฮินดูในเนปาลเลยค่ะ และผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูเท่านั้นจึงมีสิทธิ์เข้าไปภายในวัดแห่งนี้ได้ แต่ไม่ต้องเสียใจไปนะค้าา เพราะนักท่องเที่ยวสามารถชมตัววัด วิถีชีวิตและพิธีกรรมต่างๆ ได้จากตรงบริเวณแม่น้ำพัคมาตีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับวิหารหลัก ^^ โดยตัววัดจะมีหลังคาที่ทำจากทองซ้อนกัน 2 ชั้น และประตูเงินอันสวยงาม องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนวัดแห่งนี้เป็นมรดกโลกด้วยจ้ะ

ปกติวัดแห่งนี้คือที่เที่ยวไฮไลท์ของเนปาลเลยนะคะ ผู้คนคึกคัก ยิ่งถ้าตรงกับวันมหาศิวะราตรี (Night of Lord Shiva) ซึ่งเป็นพิธีกรรมประจำปีที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวฮินดู เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง เชื่อว่าองค์ศิวะเทพจะเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ ชาวฮินดูจะมารวมตัวกันเพื่อแสดงความยินดีและต้อนรับ ทั่วบริเวณแห่งวัดนี้จะเต็มไปด้วยผู้คน หอมฟุ้งกลิ่นดอกไม้ กลิ่นธูปและควันเทียนลอยตลบอบอวลเลยทีเดียวค่า

และวัดปศุปฏินาถยังเป็นหนึ่งในโบราณสถานสำคัญที่รอดพ้นจากเหตุกาณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่นั้นด้วยนะคะ สภาพของวัดยังค่อนข้างสมบูรณ์ ควรค่าแก่การมาเที่ยวชม พลาดไม่ได้เลยย













 
*******************



เที่ยวอุทยานแห่งชาติจิตวัน (Chitwan National Park)


อุทยานแห่งชาติจิตวัน อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวมรดกโลกในประเทศเนปาลค่ะ เป็นพื้นที่ป่าไม้ราบลุ่มและทุ่งหญ้าขนาดใหญ่กว่า 932 ตารางกิโลเมตร เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่ามากมาย และยังจัดเป็นอุทยานแห่งชาติที่ดีและสมบูรณ์ที่สุดในเอเชียอีกด้วยย *0* คำว่าจิตวันหมายถึงหัวใจของป่าทึบ เนื่องจากวิวทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งเนินเขา แม่น้ำ ที่ราบที่เต็มไปด้วยป่าหนาทึบขนาบทั้งสองข้าง โดยมีพันธุ์ไม้ 3 ลักษณะ ได้แก่ แบบทุ่งหญ้า แบบพืชน้ำและแบบป่าเนื้อแข็ง เช่น ต้นสาละ ต้นนุ่น ต้นโพธิ์ ต้นมะเดื่อ

และเรายังจะได้เห็นการดำรงชีวิตของสัตว์ป่าตามธรรมชาติอย่างใกล้ชิด! ยิ่งกว่าดูในรายการทีวีซะอีกค่า ทั้งเสือดาว ช้างป่า หมีจมูกยาว แรดนอเดียวตัวใหญ่ที่หายาก กวางหลากพันธุ์ โลมาน้ำจืด จระเข้ และนกอีกมากกว่า 450 ชนิด จะเดินป่า พายเรือแคนู หรือนั่งบนหลังช้างเพลินๆ ก็ย่อมได้จ้า แต่ส่วนใหญ่จะเลือกเป็น Jeep Safari เพราะเป็นแบบนั่งรถดูสัตว์สบายๆ เหมือนตามแอฟริกา แถมที่นี่เขายังมีที่พักอย่างดีสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วยนะคะ ใครกลัวไม่จุใจก็สามารถมาพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติกันได้เลยยย













 
*******************



เที่ยวโพคารา (Pokhara)


เมืองโพคารา เป็นเมืองท่องเที่ยวที่โด่งดังอีกเมืองหนึ่งของเนปาลเลยค่า ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ อยู่ห่างจากเมืองกาฐมาณฑุประมาณ 200 กิโลเมตร เรียกได้ว่าเป็นเมืองแห่งเทพนิยายขนาดย่อมเลยทีเดียวว ด้วยธรรมชาติที่สวยงาม อากาศก็ดี ทิวทัศน์อลังการ ล้อมรอบด้วยหุบเขาสูงใหญ่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาว สะท้อนเงาลงทะเลสาบท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ แถมยังเป็นจุดชมเทือกเขาหิมาลัยที่ใกล้ที่สุดด้วยนะจ๊ะ อู๊ยยยยยย สรรพคุณเขามาเต็มจริงๆ คุณขาาา เหมาะกับการมาพักผ่อนเป็นที่ซู้ดดดด >3< ซึ่งนอกจากธรรมชาติที่สวยงามแบบจัดเต็มแล้ว วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ยังเรียบง่าย เมื่อก่อนโพคาราเป็นจุดที่พักของพ่อค้าแม่ค้าชาวทิเบตและคนอินเดีย เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ส่วนใหญ่เป็นชาวเขาและนักเดินทางเผ่ากุรุง (Gurung) มาร์การ์ (Margar) และตากาลี (Thakali) ใช้เกวียนกันเป็นหลัก มีการปลูกต้นไม้ดอกไม้อยู่ริมรั้ว ปัจจุบันก็ยังคงรักษาวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมต่างๆ ไว้ได้ครบถ้วนเลยค่ะ

ตัวเมืองอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลเกือบ 900 เมตร นอกจากจะเป็นสถานที่ในฝันของนักท่องเที่ยวที่ชอบการผจญภัย ทั้งเดินป่า ไต่เขา ล่องแพ ยังเป็นจุดเริ่มต้นการเดินขึ้นเขาเพื่อพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกอย่างเอเวอเรสต์ด้วยจ้า















และอีกกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือ พาราไกลดิง (Paragliding) หรือร่มร่อน เปิดประสบการณ์ลองบินแบบนก ร่อนไปมากลางอากาศ ตื่นตาตื่นใจมากกก มองเห็นหมู่บ้านที่อยู่ข้างล่าง แนวเทือกเขา ทะเลสาบ บินทะลุเมฆกันเลยทีเดียว ระยะเวลาอยู่บนฟ้าเกือบ 30 นาที สนุกมาก แนะนำให้ทุกคนลองมาเล่นกันนะคะ ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ จากการบินด้วยตัวเอง รับประกันความประทับใจจจ <3







 

*******************

 

เที่ยวทะเลสาบพีวา (Phewa Lake)


ทะเลสาบพีวา เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่แห่งเมืองโพคารา และใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศเนปาล มีชื่อเรียกพื้นเมืองว่าพีวาทาล (Phew Taal) ซึ่งทาลแปลว่าทะเลสาบนั่นเองค่ะ ภาพตรงหน้าคือทะเลสาบสีมรกต อยู่ท่ามกลางความงดงามของเทือกเขา มีเรือหลากลายสีจอดอยู่ริมทะเลสาบ เป็นภาพที่โด่งดังไปทั่วโลก ยิ่งตอนเย็นๆ จะมีผู้คนมาเดินเล่น นั่งปิกนิก ดูคนตกปลา ค่อยๆ มองพระอาทิตย์กำลังลับฟ้าไปช้าๆ~ นั่งจิบเครื่องดื่มโปรดสักแก้ว OMG! นี่มันสวรรค์ชัดๆ >,<

ส่วนรอบๆ ทะเลสาบก็สุดจะคึกคัก สิ่งอำนวยความสะดวกครับครัน เรียงรายไปด้วยโรงแรมที่พัก เกสต์เฮาส์ ผับบาร์ ร้านอาหาร ร้านขายของต่างๆ ร้านแลกเงิน ร้านหนังสือ ร้านอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์ทางไกล ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย ใครที่เมื่อยล้าจากกิจกรรมต่างๆ ก็มีร้านนวดตัว นวดเท้า นวดน้ำมันให้บริการด้วยนะจ๊า













เพิ่มความชิลด้วยการเช่าเรือพร้อมคนพายล่องไปในทะเลสาบ คดเคี้ยวไปตามไหล่เขาน้อยใหญ่ มีต้นไม้ร่มรื่น ตรงกลางทะเลสาบจะมีเกาะเล็กๆ เป็นที่ตั้งของวัดบาลาฮี (Barahi Temple) วัดพุทธที่สร้างขึ้นด้วยศิลปะตะวันออกคล้ายกับวัดในจีนและญี่ปุ่น มีสถูปสีขาวลอยเด่นตัดกับพื้นน้ำสีเขียวมรกต เขาจะแวะให้เราขึ้นไปบนเกาะเพื่อสักการะเทพธิดาอจิมา เป็นเทพธิดาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในเมืองโพคาราค่ะ









 
*******************



เที่ยวเทือกเขานากาก็อต (Nagarkot)


เทือกเขานากาก็อต ยอดเขาที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,164 เมตร เป็นอีกไฮไลท์ในการมาเที่ยวเนปาลเลยค่า ตั้งอยู่ห่างจากกาฐมาณฑุไปทางตะวันออกแค่ 32 กิโลเมตร โดย Nagar หมายถึงเมือง ส่วน Kot หมายถึงป้อมปราการ นากาก็อตจึงมีความหมายรวมๆ ว่าเมืองแห่งป้อมปราการนั่นเองค่ะ บอกเลยว่าวิวโดยรอบสวยงามมากๆ มองไปทางไหนก็จะเห็นภูเขาและทุ่งหญ้าเขียวขจี อย่างกับอยู่สวิสเซอร์แลนด์อย่างไงอย่างงั้น ถ้ามองไปทางทิศตะวันออกของหุบเขาจะสามารถมองเห็นเทือกเขาหิมาลัยได้อย่างชัดเจน เป็นแนวพาโนราม่าจากตะวันตกไปสุดทางตะวันออก ชัดแบบไม่มีอะไรมากั้น >,< ซึ่งที่นี่สามารถชมยอดเขาทั้งหมด 5 ยอดด้วยกันค่ะ แต่ละยอดก็คือติดอับดับเรื่องความสูงที่สุดในโลก! ได้แก่ ยอดเขาเอเวอเรสต์ (Everest), โลดเส (Lhotse), โชยู (Cho Yu), มาคารา (Makala) และมานาสรู (Mamaslu)

นากาก็อตเป็นเมืองตากอากาศที่นักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อน ชมวิว ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายยย ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่สวยงามและวิถีชีวิตชนบท ธัญพืชและข้าวที่ปลูกไล่ระดับแบบขั้นบันได ฝูงแพะกำลังเล็มหญ้าแบบชิลๆ พร้อมโรงแรมที่พักให้เลือกอีกมากมาย บ้านแต่ละหลังถูกห้อมล้อมด้วยภูเขาเล็กใหญ่ แบบนี้แหละค่าที่เขาเรียกว่าเมืองในหุบเขาของจริง และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ที่สวยงามและดีที่สุดแห่งหนึ่งอีกด้วยค่ะ











 

*******************

 

เที่ยวนัมเช บาซ่าร์ (Namche Bazaar)


นัมเช บาซ่าร์ เมืองแห่งธรรมชาติในหุบเขา บนความสูงกว่า 3,440 เมตร เป็นจุดศูนย์กลางของเทือกเขาหิมาลัย ถือเป็นเมืองสวรรค์ของนักปีนเขาเลยค่ะ เพราะที่นี่เป็นทางเข้าสู่บริเวณของยอดเขาเอเวอเรสต์ หรือเมืองหลวงของเส้น Everest Base Camp นั่นเอง เส้นทางช่วงนี้จะเป็นการเดินขึ้นซะส่วนใหญ่ เหมาะสำหรับวอร์มร่างกายให้คุ้นกับการเดิน ก่อนจะไปเจอความถึกของจริงค่ะ >,< เป็นเมืองที่มีทุกอย่างค่อนข้างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสบียง เสื้อผ้า ใครขาดเหลืออะไรแวะซื้อกันได้เลยจ้า แนะนำตลาดนัมเช (Namche market) ตลาดเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง มีสินค้าหลายอย่าง แถมยังราคาเบาๆ ด้วยจ้ะ

ในเมืองยังมีโรงแรม ร้านอาหาร ร้านเบเกอรี่ ผับ บาร์ ร้านอินเตอร์เน็ต หรือใครอยากจะเดินเล่นชมวิวเขา แม่น้ำ Dudh Kosi วิวน้ำตกที่นี่ก็มีให้ไปดูแบบเต็มอิ่มไปเลยย อย่าลืมแวะถ่ายรูปกับรูปปั้นเทนซิง นอร์เก (Tenzing Norgay) ผู้ที่สามารถพิชิตเอเวอเรสคนแรกได้สำเร็จ!















นอกจากนี้ยังมี พิพิธภัณฑ์ของชาวเชอร์ปา (Sherpa Life Museum) ที่นำเสนอวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ภายในมีการจัดแสดงเกี่ยวกับประเพณี วัฒนธรรม วิถีความเป็นอยู่ของชาวเชอร์ปา รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์และพืชพันธุ์ต่างๆ ของภูมิภาคด้วยค่ะ







เครดิตรูปภาพจาก https://bit.ly/2Zp0Jj5

 

พิพิธภัณฑ์อุทยานแห่งชาติซาการ์มาธา (Sagarmatha National Park Museum) ตั้งอยู่บนเนินเขา ไฮไลท์คือเป็นจุดชมวิวพาโนรามาที่สวยงามมากก สามารถมองเห็นหุบเขาน้อยใหญ่ได้แบบเต็มตาเลยค่ะ





 
*******************



อันนะปุรณะเบสแคมป์ (Annapurna Sanctuary Trek)


อันนะปุรณะเบสแคมป์ หรือที่เรียกกันว่า ABC เป็นอีกหนึ่งเส้นทางการพิชิตยอดเขาสุดฮิตที่แนะนำรองจาก Everest Base Camp (EBC) เลยค่า เส้นทางของยอดเขาอันนะปุรณะสูงเป็นอันดับ 10 ของโลก ด้วยความสูงถึง 8,091 เมตร! และตัวเบสแคมป์ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 4,130 เมตรบนเทือกเขาหิมาลัย ใช้ระยะเวลาเดินทางทั้งหมด 11 - 18 วัน แล้วแต่ว่าเราจะแวะพักมากแค่ไหน แต่ยังไงก็เชื่อว่าทุกคนจะต้องแวะชมความงามระหว่างทางกันอย่างแน่นอนค่ะ ด้วยทัศนียภาพที่เป็นเอกลักษณ์สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ตลอดเส้นทาง ตั้งแต่หมู่บ้านสวยๆ ของชาวพื้นเมือง สัมผัสวัฒนธรรมและความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย การทำไร่นาแบบขั้นบันได มีน้ำพุร้อน น้ำตก และแม่น้ำลำธารไหลผ่านหุบเขาอันกว้างใหญ่ เป็นความรู้สึกที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของหุบเขาอย่างแท้จริง >,<

โดยเส้นทางนี้เหมาะกับนักเดินเขาทุกประเภทรวมถึงมือใหม่ ถึงจะสูงชันและวกไปวนมาแต่ก็คุ้มค่าสุดๆ จ้า โดยมีไกด์ท้องถิ่นมืออาชีพผู้มีความเชี่ยวชาญและความรู้ช่วยนำทางและให้ความช่วยเหลือเราตลอดเส้นทางอีกด้วยย