เที่ยวจีน ประเทศที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่และมีจำนวนประชากรมากที่สุดโลก มีประเพณี วัฒนธรรมสืบต่อกันมายาวนานนับพันๆ ปี หญิงปุ๊กพาเที่ยว ขอพาไปชมเรื่องราว และประวัติศาสตร์จีน ตลอดจนสิ่งมหัศจรรย์ของโลก พบกับความยิ่งใหญ่และที่สุด อลังการงานสร้างในประเทศจีนกันค่า :)

ก่อนอื่น.. ขอเตือนเรื่องกลโกงจากมิจฉาชีพก่อนเลยค่า จะไปจีนต้องฝึกวิทยายุทธการเอาตัวรอดให้ดีๆ และทำใจว่าต้องสู้รบ แข่งขันกับคนบางกลุ่มให้ทันเค้าให้ได้

1. ระวังมิจฉาชีพหลอกด้วยสารพัดวิธี ระวังตัวกันด้วยนะค้า แต่ว่าถ้าไม่โดนหลอก ก็ถือว่าไปไม่ถึงนะ.. อิอิ ตัวอย่าง เช่น ซื้อทัวร์ต่างๆ แล้วโดนเปลี่ยนโปรแกรมให้ไปแวะร้านหยก ตีซี๊แล้วฟันหัวแบะ, ร้านยา ตรวจแล้วป่วยหนัก โดนจัดยาขนานใหญ่, ของปลอมต่างๆ ตาดีร้าย ตาร้ายเสีย ปลอมมีหลายเกรด, ป้ายปลอม รถบัสปลอม หลอกให้ขึ้นไป แล้วเสียค่าโดยสารแพงๆ, แท็กซี่พาอ้อมโลก ชมเมืองเล่น, ขโมยเมื่อเธอเผลอ ต่อราคากำลังมันส์ โดนล้วงไปไม่รู้ตัว

2. ทำใจกับนิสัยคนจีนบางคนที่เสียงดัง ทะเลาะกัน แซงเบียด ไม่ค่อยรักษาความสะอาด และแหกกฎ เนื่องจากคนเยอะ หนาแน่น ทรัพยากรมีจำกัด ต้องแย่งกัน.. นอกจากนี้ไปเมืองใหญ่ อาจจะเจอกับมลพิษต่างๆ โดยเฉพาะทางอากาศค่ะ

อย่างไรก็ตาม.. แผ่นดินจีนกว้างใหญ่ ประวัติศาสตร์ยาวนาน มีความยิ่งใหญ่น่านับถือ มีภูมิปัญญาและข้อคิดซ่อนอยู่ในทุกที่ มีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ และที่มนุษย์สร้างขึ้น สวยๆ เยอะมากๆ ค่ะ หญิงปุ๊กจะยกตัวอย่างมาแนะนำ 30 ที่เป็นไฮไลท์ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ค่าครองชีพไม่แพง (หัวเมืองใหญ่ๆ ค่าครองชีพสูง) น่าตามไปเที่ยวหลายๆ ที่ ตามเก็บหลายๆ ครั้งเลยค่า.. รวมกันสัก 100 วันน่าจะดี

แล้วก็ในปัจจุบันห้องน้ำดีขึ้นมาก ตึกต่างๆ ยิ่งใหญ่สวยงาม พัฒนาขึ้นเยอะ และไฮเทคมากด้วยจ้ะ ไปทีก็ตกใจที มีการเปลี่ยนแปลงเยอะ และเร็วมากๆ เลย ซึ่งจีนก็เป็น 1 ในมหาอำนาจของโลกแล้วด้วย ใครที่ยังพูดจีนไม่ได้ แนะนำให้เรียน และฝึกสื่อสารให้ได้ เพื่ออนาคตของคุณเอง ทั้งด้านการท่องเที่ยว และการทำธุรกิจระหว่างประเทศค่ะ

 

ขอเริ่มต้นด้วย.. ภูมิภาค จีนภาคเหนือ Northern China

 

เที่ยวกำแพงเมืองจีน (Great Wall Of China), ปักกิ่ง

กำแพงเมืองจีน (Great Wall Of China) ในปักกิ่ง กำแพงขนาดใหญ่ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของประเทศจีน มีความยาวกว่า 21,196.18 กิโลเมตร โดยมีอาณาเขตครอบคลุมทั้งหมดถึง 9 มณฑล ทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และจัดเป็น 1 ใน 7 ของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอีกด้วยค่า

ผู้ก่อสร้างกำแพงเมืองจีนคนแรกก็คือ จักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์แรกของประวัติศาสตร์จีน สร้างขึ้นเพื่อเป็นแนวบอกชายแดนและป้องกันการบุกรุกของศัตรู โดยมีต้นแบบมาจากมังกรค่ะ ซึ่งในประเทศจีนมังกรเป็นสัตว์ที่แสดงถึงพลังการปกป้องคุ้มครอง ถ้ามองดูดีๆ จะเห็นว่ากำแพงเมืองจีนมีลักษณะรูปร่างคล้ายกับมังกรที่ขดตัวอยู่เหนือภูเขา เหมือนกับกำลังปกป้องอาณาเขตของตัวเองอยู่นั่นเอง

วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างมีความหลากหลาย และแตกต่างกันไปตามภูมิประเทศที่กำแพงพาดผ่าน ซึ่งมีทั้งหิน ดิน ไม้ บางจุดก็ใช้หินอ่อน หินแกรนิต โคลน หรือดินเผา โดยใช้แรงงานนับล้านคน ส่วนใหญ่เป็นนักโทษสงครามและทาส มีแรงงานจำนวนไม่น้อยเลยค่ะที่เสียชีวิตลงระหว่างการก่อสร้าง และศพเหล่านั้นก็ถูกฝังทับถมอยู่ภายใต้กำแพง จนได้ชื่อว่าเป็นสุสานที่ยาวที่สุดในโลก เป็นที่กล่าวขานกันว่า ทุกๆ หนึ่งฟุตของกำแพงเมืองจีนคือหนึ่งชีวิตของผู้ก่อสร้างกำแพงค่ะ และนับจากสมัยจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ กำแพงเมืองจีนก็ถูกสร้างต่อกันมาอีกหลายยุคหลายสมัย รวมระยะเวลาทั้งสิ้นเกือบสองพันปีเลยทีเดียว

กำแพงเมืองจีนมีหลายด่านมาก แต่ละด่านก็มีความสวยงามแตกต่างกันไป จุดที่นักท่องเที่ยวจะมามากที่สุดก็คือ ด่านปาต้าหลิง (Badaling) ค่ะ เพราะเป็นด่านที่ทันสมัยที่สุด เดินทางง่าย มีรถสาธารณะคอยรับ-ส่งด้วย ทั้งกระเช้า รถราง ร้านอาหาร ไปจนถึงอินเทอร์เน็ตไร้สาย เป็นจุดที่มีความสูงชัน สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์สวยๆ ได้รอบด้านอีกด้วยค่า

เที่ยวพระราชวังต้องห้าม (Forbidden City), ปักกิ่ง

พระราชวังต้องห้ามหรือที่ชาวจีนเรียกกันว่าพระราชวังกู้กง (Forbidden City) ในปักกิ่ง ถือเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดในการมาเยือนประเทศจีนเลยล่ะค่ะ ซึ่งถ้าใครมาถึงปักกิ่งแล้วไม่ได้มาชมถือว่าพลาดมากกก เพราะนอกจากจะเป็นหนึ่งในพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก! ยังเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทรงคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์และวรรณคดี และยังได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นมรดกโลกอีกด้วยค่า

ที่นี่ถูกสร้างขึ้นตามหลักฮวงจุ้ย ซึ่งอยู่ตรงตำแหน่งที่เรียกว่าหัวใจของปักกิ่ง (Heart of Beijing) เคยเป็นที่พำนักของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิงถึง 14 พระองค์ และราชวงศ์ชิงอีก 14 พระองค์ ซึ่งคำว่าพระราชวังต้องห้ามมาจากที่ในอดีตเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้สามัญชนเข้ามาด้านใน แม้แต่ข้าราชการชั้นสูงยังต้องได้รับการอนุญาตจากฮ่องเต้เท่านั้น จึงจะสามารถผ่านเข้ามายังพระราชวังแห่งนี้ได้ค่ะ และคนในที่อยู่ เช่น สนมกำนัล ขันที และข้าหลวงรับใช้ทุกคนก็จะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต

พื้นที่ของพระราชวังต้องห้ามมีทั้งหมดประมาณ 720,000 ตารางเมตร มีกำแพงสูงและคูน้ำล้อมรอบ มีประตูทางเข้าทั้งสี่ทิศ อาคารมากกว่า 900 หลัง รวมกันทั้งหมดถึงหมื่นห้อง การก่อสร้างใช้ช่างฝีมือนับแสนคนและคนงานอีกกว่าล้านคนค่ะ วัสดุทุกอย่างก็คัดเอาเฉพาะของดีมาจากทั่วทุกสารทิศ ใช้เวลาการก่อสร้างทั้งหมด 14 ปี เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่อลังการสุดๆ ไปเลยค่า โดยแบ่งเป็นเขตพระราชฐานชั้นนอกและชั้นใน ซึ่งเขตชั้นในเป็นส่วนที่พำนักของฮ่องเต้ พระมเหสี พระสนม พระโอรสและพระธิดา มีสวนขนาดใหญ่ซึ่งรวมต้นไม้เก่าแก่ไว้หลายชนิด และมีอายุกว่า 300 ปีขึ้นไป รวมถึงใช้เป็นสถานที่ปรึกษาราชการสำคัญๆ และตรวจเอกสารอนุมัติราชการแผ่นดินในแต่ละวันด้วยค่ะ ส่วนพระราชฐานชั้นนอก ใช้เป็นที่ประกอบพิธี งานเลี้ยงต่างๆ และว่าราชการแผ่นดินกับขุนนางขุนศึก

ต้องขอบอกว่าพระราชวังแห่งนี้กว้างขวางใหญ่โตมากกก แนะนำว่าควรเตรียมรองเท้าผ้าใบที่เดินสะดวก และมีเวลาสักประมาณ 4 ชั่วโมงนะคะ เพื่อจะได้เดินชมทั่วครบทุกตำหนัก งานนี้ความรู้เพียบ แถมยังได้สัมผัสบรรยากาศเก่าๆ ไปพร้อมกันด้วยค่า

เที่ยวพิพิธภัณฑ์สุสานทหารจิ๋นซีฮ่องเต้ (Terracotta Warriors and Horses), ซีอาน

พิพิธภัณฑ์สุสานทหารจิ๋นซีฮ่องเต้ (Terracotta Warriors and Horses) ได้มีการค้นพบรูปปั้นทหารนักรบทำจากดินเผานับพันตัว ในปี ค.ศ. 1974  บริเวณเมืองซีอาน (Xian) มณฑลส่านซี (Shaanxi) ซึ่งเป็นการค้นพบที่โด่งดังสุดๆ ในวงการโบราณคดีในช่วงศตวรรษที่ 20 เลยล่ะ โดยจักรพรรดิจิ๋นซี หรือจิ๋นซีฮ่องเต้ที่เรารู้จักในหนังฮ่องกง อย่างเรื่องเจาะเวลาหาจิ๋นซีนั่นแหล่ะจ้า เป็นผู้สั่งให้สร้างรูปปั้นทหารนักรบเหล่านี้ขึ้น เพราะเชื่อว่า จะสามารถตามไปปกป้องรับใช้พระองค์หลังสิ้นพระชนม์ไปแล้ว สุสานอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองซีอาน ใกล้ๆ กับย่านหลินถง (Lintong)  ปัจจุบันองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้จัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศจีนอีกด้วย

ภายในสุสานมีรูปปั้นทหารนักรบทำจากดินเผากว่า 8,000 ตัว รูปปั้นม้าอีก 670 ตัว และรถม้าอีกกว่า 130 ตัวที่ได้รับการเปิดเผย ลักษณะของรูปปั้นทหารนักรบแต่ละตัวจะมีเอกลักษณ์ มีความยูนีคในแบบของตัวเอง ซึ่งแต่ละตัวนั้นจะไม่เหมือนกันทั้งหน้าตา ท่าทาง เครื่องแต่งกาย และความสูง โดยเฉลี่ยแล้วก็จะสูงราวๆ 1.85 เมตรนั่นเองจ้า นอกจากนี้รูปปั้นเหล่านี้ไม่ใช่รูปปั้นธรรมดาๆ ไก่กา อาราเล่นะจ๊ะ แต่ละตัวเค้าก็จะมียศ มีตำแหน่งของตัวเองอีกด้วยนะคะซิส กว่าจะเดินดูจนครบรอบก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย>,<

เบื้องหลังผลงานยิ่งใหญ่อลังการดาวล้านดวงที่สามารถดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มาเที่ยวนั้น ต้องใช้เวลาการสร้างกว่า 40 ปี แถมยังใช้แรงงานคนกว่า 700,000 คนกันเลยทีเดียว!! ที่นี่อนุญาตให้เข้าชมได้ 2-3 ชั่วโมง ผู้พิการที่นั่งเก้าอี้ล้อเลื่อน(Wheelchair) สามารถเข้าชมได้ด้วยน้าา เมื่อเข้ามาภายในแล้วก็สามารถถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้แต่ห้ามใช้เฟรชและขาตั้งกล้องนะจ๊ะ

[caption id="attachment_18833" align="alignnone" width="1100"] เครดิตภาพ: https://www.chinesewishes.com, http://www.cntravelre.com[/caption]

[caption id="attachment_18841" align="alignnone" width="750"] เครดิตภาพ: https://www.chinatravel.com, http://www.visitourchina.com[/caption]

 

เที่ยวถ้ำไม่จีซัน (Maijishan Grottoes), เทียนสุ่ย

ถ้ำไม่จีซัน (Maijishan Grottoes) ในเมืองเทียนสุ่ย (Tianshui) มณฑลกานซู่ (Gansu) จัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณตั้งอยู่ห่างออกไป ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเทียนสุ่ยราว 45 กิโลเมตร ตัวภูเขาไม่จีซันเองสูงถึง 150 เมตร และตั้งชื่อเรียกตามลักษณะรูปร่างที่เหมือนกับกองข้าวสาลี หรือไม่จีซันนั่นเองจ้า

ประวัติการก่อสร้างถ้ำไม่จีซันเองก็ยาวนานมากทั้งขุด เจาะ แกะสลัก ต่อเติม ขยาย ปรับปรุงมามากกว่า 1000 ปีแล้ว ปัจจุบันมีจำนวนถ้ำหลงเหลืออยู่ 194 ถ้ำ พระพุทธรูปและรูปสลักอีกกว่า 7,200 องค์ รวมไปถึงภาพจิตกรรมฝาผนังอีกร่วมๆ 1,000 ตารางเมตร

การมาเที่ยวที่นี่นอกจากจะได้ชมความงามจากผลงานการสรรสร้างจากน้ำมือมนุษย์แล้ว ยังจะได้ชื่นชมความงามทางธรรมชาติเป็นของแถมอีกด้วย ด้วยตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่เหนือทะเลสาบ แม่น้ำ หุบเขา และป่าเขียวชอุ่มที่ทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา พื้นที่เขตนี้เป็นจุดที่มีพืชพันธ์หายากอยู่มากมายเลยทีเดียว

ความพิเศษที่แตกต่างจากถ้ำทั่วๆ ไปคือที่นี่ขุดเจาะถ้ำบนความสูง 40-80 เมตรจากพื้นดินกันเลยจ้า

และความพิศวงที่ทำให้คนยุคเราๆ ทึ่งกันได้อีก ก็ตรงดินที่นำมาปั้นยังสามารถคงสภาพได้ไม่แตกหัก แม้ในสภาพอากาศชื้นมากว่าพันปีแล้วจ้า จึงไม่น่าแปลกใจที่ที่นี่ได้รับการยกย่องให้เป็น พิพิธภัณฑ์การปั้นดินเผาแห่งเอเชียตะวันออก (Oriental Clay Sculpture Museum) ปรบมือรัวๆ ค่ะซิส

เที่ยวถ้ำหลงเหมิน (Longmen Grottoes), ลั่วหยาง

ไปทั้งทีต้องคัดสรรแล้วว่าดีต่อใจ หญิงปุ๊กพาไปเที่ยวถ้ำหลงเหมิน (Longmen Grottoes) กันต่อจ้า ที่นี่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำอี้ (Yi Riverbank) อยู่ห่างจากเมืองลั่วหยาง (Luoyang) ราว 12 กิโลเมตร ที่นี่มีถ้ำเล็กถ้ำน้อยมากมายกว่า 2,345 ถ้ำ แผ่นศิลาจารึกกว่า 3,600 แผ่น และภาพรวมถึงรูปปั้นพระพุทธรูปอีกร่วมๆ 100,000 รูปเลยทีเดียว โอ้โหห!! แบบว่าเยอะจริงไรจริง

ความโดดเด่นของถ้ำหลงเหมินจนเกินหน้าเกินตาบรรดาถ้ำที่อื่นๆ ได้แก่ ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ ตั้งโดดเด่นเป็นสง่า มีน้ำล้อมรอบ ผู้มาเยือนสามารถชื่นชมความงดงามของการแกะสลักทางด้านพระพุทธศาสนาอีกด้วยนะจ๊ะ ไม่เพียงเท่านั้นที่นี่ยังจัดเป็นสถานที่ที่มีสาระสำคัญครบทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศาสนา ศิลปะ สถาปัตยกรรม การประดิษฐ์ตัวอักษร ดนตรี ยา เครื่องแต่งกาย ฯลฯ จึงได้รับการยอมรับว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่มีความครอบคลุมด้านประวัติศาสตร์จีนโบราณอีกแห่งหนึ่งอีกด้วยจ้า

ถ้ำหลงเหมินเป็นที่ยอมรับในแง่คุณค่าทางประวัติศาสตร์และประติมากรรมระดับโลก คู่ควรแก่การอนุรักษ์รักษาไว้ จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรมโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO)

สภาพอากาศและฝนกรดเป็นปัจจัยหลักที่สามารถทำให้เกิดความเสียหายกับอุโมงค์และถ้ำที่นี่ได้ โดยอาจทำให้เกิดรอยแยกที่ฐานหินจนเป็นสาเหตุให้อุโมงค์ถล่มลงมาได้นั่นเอง ตัวฝนกรดเองก็สามารถค่อยๆ ไหลลงไปสู่อุโมงค์และถ้ำ และคอยทำลายประติมากรรมอันล้ำค่าเกิดเป็นคราบเกลือบนพื้นผิวของประติมากรรมได้โดยตรงอีกด้วย แต่รัฐบาลจีนเองเค้าก็ไม่นิ่งนอนใจนะ เค้าให้ปิดเตาเผาปูนขาว รวมถึงโรงงานโดยรอบถ้ำหลงเหมินกันเล้ยย!! และไม่อนุญาตให้บรรดายานยนต์ทั้งหลายผ่านเลยนะ สุดยอดด

พอผ่านจุดตรวจตั๋วเข้ามาจะต้องเดินเลียบแม่น้ำอี้ไปเรื่อยๆ ก่อนจะขึ้นบันไดเป็นระยะๆ เพื่อชมแต่ละจุดเล่นเอาเหนื่อยใช่เล่นเหมือนกัน

เวลาเปิดปิดของที่นี่สำหรับในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ถึงฤดูใบไม้ร่วงเปิดตั้งแต่เวลา 07:00น.-18:30น. สำหรับฤดูหนาว จะเปิด 07:30น.-17:30น. (สามารถเข้าชมตอนกลางคืนได้ตอนเวลา 18:30น.-22:00น. ในช่วง เมษายน และตุลาคม โดยจะหยุดจำหน่ายตั๋วในเวลา 21:00น.) กระซิบนิดนึงว่าเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเข้าชมคือช่วงฤดูใบไม้ผลิจ้า และสำหรับใครที่ชอบถ่ายรูปแล้วมีสีของดอกโบตั๋นสวยๆในรูปด้วยแล้วละก็ สามารถมาชมเทศกาลดอกโบตั๋นที่เมืองลั่วหยางได้จ้า ซึ่งจะจัดในช่วงเมษายนไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคมของทุกปี ได้ทั้งเชคอินถ้ำหลงเหมิน ได้ทั้งเซลฟี่กับดอกโบตั๋น รับรองว่าฟินกันสุดๆไปเล้ยย

 

เที่ยววัดเสวียนคง (Hanging Temple), ต้าถง

วัดเสวียนคง (Hanging Temple) หรือวัดลอยฟ้า ที่เมืองต้าถง (Datong) มณฑลซานซี (Shanxi Province) ด้วยความที่เป็นวัดที่มีลักษณะเหมือนกำลังแขวนอยู่บนหน้าผาด้านตะวันตกของหุบเขาจินเซีย (Jinxia Gorge) ซึ่งอยู่สูงจากพื้นกว่า 50 เมตร และดูเหมือนมีเพียงแค่ไม้เล็กๆ คอยค้ำเอาไว้เท่านั้น ไม่แปลกใจเลยที่วัดนี้จะถูกขนานนามว่าเป็นวัดลอยฟ้านั่นเองจ้า เห็นแบบนี้เค้ามีอายุเก่าแก่มากกว่า 1,400 ปีแล้วนะคะ โดยอารามที่หลงเหลืออยู่ให้เห็นในปัจจุบันนั้นได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในราชวงศ์หมิง (Ming Dynasty) และราชวงศ์ชิง (Qing Dynasty) มานี้เองจ้า

เหตุผลที่วัดเสวียนคนแห่งนี้สามารถทนแดด ฝน ลม พายุมาได้ยาวนานนับพันกว่าปีขนาดนี้ ก็เพราะผู้สร้างต้องการปกป้องตัววัดไม่ให้ผุกร่อนจากสภาพดินฟ้าอากาศตามธรรมชาติ จึงต้องสร้างวัดเสวียนคงให้อยู่ในลักษณะเหมือนลอยฟ้า เพราะการทำแบบนี้สามารถป้องกันวัดจากน้ำท่วม ยอดเขาก็ช่วยปกป้องตัววัดจากฝน และหิมะ และภูเขารอบๆ วัดก็ช่วยลดความเสียหายที่เกิดจากแสงแดดเป็นเวลานานๆ ได้ด้วยนั่นเอง

อีกเหตุผลหนึ่งนั่นก็คือ ผู้สร้างสร้างตามหลักในลัทธิเต๋า คือ ไร้เสียงรบกวน ซึ่งรวมไปถึงเสียงไก่ขัน หรือเสียงหมาหอนด้วยนั่นเองจ้า เพราะเมื่อวัดถูกสร้างสูงจากพื้นดิน เสียงเหล่านั้นก็จะเงียบหายไปทำให้ไม่ได้ยินนั่นเอง ปรบมือรัวๆ ให้กับภูมิปัญญาของชาวจีนในสมัยนั้นจริงๆ

ผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างมากมายจากหลากหลายประเทศ อย่างเช่น อังกฤษ เยอรมัน และอิตาลี ที่เคยมาเยี่ยมชมที่นี่แล้วต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า วัดเสวียนคงเป็นการผสมผสานทางกลศาสตร์ สุนทรียศาสตร์ และพุทธศาสนาเข้าไว้ด้วยกันซึ่งเป็นอะไรที่หายากมาก สถาปัตยกรรมและทุกๆ อย่างของที่นี่ แสดงถึงความสำเร็จทางวัฒนธรรมของชาวจีนโดยแท้ บอกเลยว่าเลิศค่ะ

นอกเหนือจากความงามและแปลกตาภายนอกของวัดเสวียนคงแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ดึงดูดผู้คนมากมายให้มาที่นี่นั่น ก็คือวัดพุทธศาสนาลัทธิเต๋า และขงจื๊อนั่นเอง โดยภายในวัดจะมีรูปปั้นศากยมุนี (Sakyamuni) ขงจื๊อ (Confucius) และเล่าจื๊อ (Laotz) อยู่ด้วยกันอีกด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติที่จะพบเจอสถานที่แบบนี้ในประเทศจีน คือดีอ่ะ ที่นี่มีห้องโถงกว่า 40 ห้องที่รวมรวมเอาประติมากรรมรูปปั้นแกะสลักที่ทำจากทองแดง เงิน ดินเผา และหินเอาไว้มากมายกว่า 80 ชิ้น โดยทุกชิ้นยังคงสภาพลวดลายแกะสลักได้อย่างชัดเจน

ทางเดินขึ้นวัดอาจจะแคบนิดนึง เส้นทางในการเดินก็อาจจะอันตรายอยู่บ้าง ยังไงก็ระมัดระวังกันด้วยน้า  เปิดตั้งแต่ 9:00น.-17:00น. จ้า

[caption id="attachment_18875" align="alignnone" width="640"] เครดิตภาพ: http://blurjess-travel.tumblr.com/[/caption]

เที่ยวอุทยานธรณีวิทยาแห่งชาติจางเย่ (Zhangye Danxia National Geological Park), จางเย่

อุทยานธรณีวิทยาแห่งชาติจางเย่ (Zhangye Danxia National Geological Park) หรือภูเขาสายรุ้ง ที่หลายๆ คนรู้จัก ศิลปินหลายท่านชื่นชมที่นี่ว่า เป็นผลงานชิ้นเอกจินตนาการราวกับภาพวาดสีน้ำมัน เนื่องจากสีสันที่ดูสวยงามเหลือเชื่อ

ลักษณะภูมิทัศน์ของตันเซี๋ย (Danxie) ในจางเย่(Zhangye)มีลักษณะเป็นหน้าผาสีแดงที่สูงชัน โดยทั่วไปสูงราว 200-300 เมตร สันเขาหลากสีที่เกิดจากการผุกร่อนของชั้นหินจากสภาพอากาศ บางจุดเห็นเป็นเส้นยาวยืดแนวเดียวกับเส้นขอบฟ้า การก่อตัวของมันบางครั้งก็ดูกลมกลืน บางครั้งก็เห็นคมชัดแต่ดูโดดเด่นท่ามกลางพื้นที่ราบสีเขียว หรือสีเทา และดูยิ่งใหญ่งดงาม แข็งแรง มีชีวิตชีวาแต่ทรงพลัง

สีรุ้งนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?? คำตอบก็คือ มันเกิดจากการผุกร่อนของหินทรายสีแดง และเกิดการแยกตัวเป็นชั้นๆ ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นลักษณะพิเศษทางธรณีวิทยาที่ผนวกรวมกับสภาพอากาศที่แห้งแร้งอันยาวนาน การละลายของน้ำแข็ง รวมไปถึงการกัดกร่อนที่เกิดจากน้ำและลม จนเกิดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งนี้นี่เอง บอกเลยว่างานดีมากจริงๆ

อุทยานจะมีพื้นที่หลักๆ ในการเข้าชมที่โดดเด่น 2 จุดด้วยกันได้แก่ เขาหลากสี (Colorful Hill) และหุบเขาน้ำแข็ง (Ice Valley) นั่นเอง โดยเขาหลากสีจะมีสีสันสดใสโดดเด่นตัดกันถ่ายรูปสวยอย่าบอกใคร สำหรับหุบเขาน้ำแข็งจะเด่นในเรื่องรูปแบบที่ดูแปลกตา รับรองว่าอัพลงเฟสบุ๊คต้องมีคนกดว้าวว อย่างแน่นอน

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าชมคือช่วงมิถุนายนจนถึงกันยายน เพราะอากาศจะสบายๆ หน่อยมีแสงแดด และฝนเล็กน้อยช่วยทำให้เห็นสีได้สวยชัดขึ้นด้วย หากเป็นช่วงเวลาอื่น อากาศจะค่อนข้างแห้ง สำหรับหน้าหนาว หญิงปุ๊กไม่แนะนำให้มาเที่ยวช่วงนี้เพราะช่วงนี้อากาศจะหนาวมาก และมีลมแรงมากค่ะ

อุทยานธรณีวิทยาแห่งชาติจางเย่ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองจางเย่  พอมาถึงเค้าจะมีรถนำเที่ยวพาชมภายในอุทยานจ้า ไม่อนุญาตให้นำรถของนักท่องเที่ยวเข้าไปภายในนะจ๊ะ ระยะทางระหว่างจุดชมซึ่งมีทั้งหมด 4 จุดภายในอุทยานจะมีระยะทางรวมๆ ประมาณ 8 กิโลเมตร ใช้เวลาชม 2 ชั่วโมงโดยประมาณจ้า

เวลาเปิดปิดที่นี่คือ ช่วงตั้งแต่ 1 พฤษภาคม ถึง 10 ตุลาคม เปิดตั้งแต่ 6:00น.-20:00น. 11 ตุลาคม ถึง 30 เมษายน ปี2019 เปิดตั้งแต่เวลา 7:00น.-19:00น. จ้า

เที่ยวภูเขาไท่ซาน (Mount Tai), ไท่อัน

ในบรรดา 5 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันโด่งดังของประเทศจีน ได้แก่ ภูเขาไท่ซาน (Mount Tai) ในเมืองไท่อัน (Taian) ทางตะวันออกของมณฑลซานตง (Shandong Province) เหิงซาน (Hengshan) ในมณฑลหูหนาน (Hunan Province) ฮว๋าซาน (Huashan) ในมณฑลส่านซี (Shaanxi Province) เหิงซาน (Hengshan) ในมณฑลซานซี (Shanxi Province) และซงซาน (Songshan) ในมณฑลเหอหนาน (Henan Province)

ภูเขาไท่ซานถูกยกให้เป็นพี่ใหญ่แห่ง 5 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของจีน (Chief of the Five Sacred Mountains ) และเป็นภูเขาลูกแรกใต้สวรรค์ (First Mountain under Heaven) ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์และความเชื่อทางศาสนาดั้งเดิมคือ ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบกว้างใหญ่ และหันหน้าเข้าหาทะเลที่ไร้จุดสิ้นสุด ทำให้ภูเขาไท่ซานดูสูงสง่า อุดมสมบูรณ์เมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ถูกจัดให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมจากยูเนสโก (UNESCO) ในปีค.ศ. 1987 อีกด้วยล่ะ

ภูเขาไท่ซานตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจีน โดยชาวจีนเองเชื่อว่าทิศตะวันออกเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและความโชคดี เพราะเป็นทิศที่พระอาทิตย์ขึ้นนั่นเอง จักรพรรดิหลายพระองค์ของจีนซึ่งรวมไปถึงจักรพรรดิฉิน หรือจิ๋นซีฮ่องเต้(Qin Shihuang)จักรพรรดิหญิงพระองค์แรกของจีน บูเช็กเทียน (Wu zetian) กษัตริย์หญิงพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์จีน หรือแม้แต่จักรพรรดิเฉียนหลง (Emperor Qian Long) จักรพรรดิที่ปกครองประเทศจีนยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ต่างก็ล้วนเคยมาที่นี่เพื่อทำพิธีบวงสรวงมาแล้วทั้งสิ้น

ที่นี่ยังมีการจารึกข้อความลงบนหินที่มีความหลากหลายของบรรดาอดีตจักรพรรดิ หรือเหล่าบุคคลผู้มีชื่อเสียง รวมทั้งสิ้นกว่า 1696 ศิลาจารึก มีอักษรมากมายแตกต่างกันไป ถูกร้อยเรียงด้วยภาษาที่สวยงาม และถูกเขียนด้วยความประณีต ดูเลอค่าสุดๆ

[caption id="attachment_18928" align="alignnone" width="750"] เครดิตภาพ: http://www.visitourchina.com[/caption]