เที่ยวแอฟริกาใต้ (South Africa) 1 ใน 31 ประเทศฟรีวีซ่าสำหรับคนไทย แค่มีพาสปอร์ตหนึ่งเล่มก็สามารถไปดื่มด่ำกับธรรมชาติและสิงสาราสัตว์น้อยใหญ่ที่แผ่นดินซาฟารีได้แบบเต็มที่ไปเลยค่า >O< หลายคนอาจจะคิดว่าเราจะไปทำอะไรที่แอฟริกาน้าาาา.... มีอะไรนอกจากสิงโต ยีราฟ แล้วก็ทุ่งหญ้าเขตร้อนที่หาดูได้ตามสารคดีงั้นหรอ? อะแฮ่มๆ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ประเทศ 3 เมืองหลวงแห่งทวีปแอฟริกา ได้ลองไปสักครั้งโลกใบนี้อาจจะกว้างขึ้นกว่าประสบการณ์ครั้งไหนๆ เลยนะคะ ❤ 


เที่ยวอุทยานแห่งชาติครูเกอร์ (Kruger National Park)

อุทยานแห่งชาติครูเกอร์ เป็นหนึ่งในเขตสงวนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศแอฟริกาใต้ มีพื้นที่กว่า 2 ล้านเฮกตาร์และทอดยาว 352 กิโลเมตร รวมแล้ว 20,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าประเทศอิสราเอลค่ะ! โอ้โห O_O ใหญ่มว๊ากก อุทยานแห่งนี้ถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์ของแอฟริกาใต้เพราะเป็นอุทยานแห่งชาติที่ก่อตั้งมายาวนานที่สุด ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1898 หลังจากสงครามครูเสด 12 ปี เพื่อใช้อนุรักษ์สัตว์ป่าในเขตโลว์เวลด์ (Lowveld Wildlife) โดยพอล ครูเกอร์ (Paul Kruger) ซึ่งเป็นที่มาของชื่ออุทยานนั่นเองค่ะ

จำนวนของสัตว์ป่าที่นี่นั้นแน่นหนามาก ทางอุทยานได้จัดกิจกรรมสุด exclusive ไว้สำหรับผู้มาเยี่ยมชมให้ได้ส่องชีวิตสัตว์ป่ากันแบบจัดเต็ม! เราจะพบกับ 5 สุดยอดสัตว์ป่าแห่งแอฟริกา ได้แก่ ช้าง สิงโต แรด เสือดาว และควายป่า ในกิจกรรม Game Reserve Big 5 สุดตื่นเต้น ><”  นอกจากนี้แล้วก็จะได้เจอกับ ม้าลาย นก ปลา และสัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ โดยการนั่งรถจิ๊บแบบเปิดประทุนของอุทยาน หรือใครที่อยากได้ความ private ก็สามารถซื้อทัวร์ส่วนตัวได้ตามสะดวกเลยจ้า
 
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเข้าชมอุทยานจะแบ่งออกเป็น 3 แบบ ได้แก่ การเข้าชมกับรถจิ๊บอุทยานแบบเต็มวัน ราคา 1,640 แรนด์แอฟริกาใต้ หรือประมาณ 3,125 บาทต่อคน และแบบครึ่งวัน ราคา 1,370 แรนด์แอฟริกาใต้ หรือประมาณ 2,611 บาทต่อคน สำหรับใครที่ชอบความเป็นส่วนตัวอยากจะซื้อทัวร์เหมาๆ สำหรับครอบครัว กลุ่มแก๊ง ราคาอยู่ที่ 3,820 แรนด์แอฟริกาใต้ หรือ 7,280 บาทต่อคันค่ะ 

















นอกจากการเที่ยวชมส่องสัตว์แล้ว แคมป์ปิ้งก็เป็นอีกหนึ่งสีสันที่ทำให้เราได้เต็มอิ่มกับบรรยากาศทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน มีที่พักไว้รองรับพวกเราหลากหลายรูปแบบ ทั้งที่พักพรีเมี่ยมสุดหรูที่มีไพรเวทพูลกลางแจ้งให้เราได้แช่น้ำส่องสัตว์ ไม่แน่อาจจะมีช้างแวะมากินน้ำโชว์ด้วย 555555 ห้องอาบน้ำกันกระจกวิวซาฟารี นอนแช่อ่างจากุซซี่สวยๆ ก็มีจ้า รถบ้านกางเต็นท์นอนในป่า หรือจะเป็นแบบแคมป์แนวเข้าค่าย ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งครัว ห้องอาบน้ำ และสำหรับครอบครัวที่มีเด็กๆ มาด้วยก็สามารถให้ลูกหลานไปว่ายน้ำที่สระของครูเกอร์รอเวลามื้อเย็นได้เลยจ้า

จบวันจากกิจกรรมแอดเวนเจอร์สุดเหวี่ยงด้วยการนั่งผิงไฟ ดื่มด่ำไนท์ซาฟารีไลฟ์ภายใต้ฟ้ากว้างที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงส่องสว่างระยิบระยับ จากดาวนับล้านดวงที่พาดยาวเป็นเส้นแห่งทางช้างเผือก รับประกันด้วยใจเลยว่าประสบการณ์ครั้งนี้หาดูได้ไม่ง่ายเลยน้า สนุกสุดๆ ชาร์ตพลังสุดๆ เต็มสิบ สิบ สิบ ไปเล้ย! เข้าไปดูรายละเอียดการจองตั๋วเข้าชมและที่พักได้ใน https://www.krugerpark.co.za


 

 









เที่ยวเคปทาวน์ (Cape Town)

เคปทาวน์ เมืองหลวงด้านนิติบัญญัติแห่งแอฟริกาใต้ มีความใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเมืองหลวงทั้งหมด ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นเมืองเก่าแก่มีอายุกว่า 300 ปี ถูกจัดให้เป็นอันดับ 1 เมืองที่สวยที่สุดและน่าไปที่สุดในโลกในปี 2014 จากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ด้วยนะคะ โดยรอบเมืองจะถูกโอบล้อมด้วยมหาสมุทร ด้านหลังมีเทือกเขาสูงราวกับกำแพงธรรมชาติที่งดงาม เป็นจุดเด่นทางธรรมชาติที่สวยสุดของโลกอีกเมืองหนึ่งเลยค่า

ที่นี่มีกิจกรรมหลากหลาย ใครที่ชื่นชอบการอาบแดด อ่าวแคมป์ส (Camps Bay) เหมาะมากกับการกางร่มใส่บิกินี่ตัวโปรดอวดผิวท้าแดดบนชายหาดขาว หรือไปเดินเล่นย่านบอกัป (Bo-Kaap) หรือ มาเลย์คววอเตอร์ (Malay Quarter) ซึ่งเคยเป็นพื้นที่แบ่งแยกทางเชื้อชาติ ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมในเมืองเคปทาวน์ ตั้งอยู่บนเนินเขาซิกแนลฮิลล์เหนือใจกลางเมือง จุดเด่นคือการผสมผสานศิลปะเข้ากับตึกรามบ้านช่อง แต่งเติมเอกลักษณ์ด้วยสีสันสดใส

สำหรับสายคาเฟ่ต้องถูกในแน่นอน เพราะมี Local cafe ให้นั่งแวะทานขนม ดื่มกาแฟ ถ่ายรูปมุมชิคๆ อัพไอจีกันสักหน่อย เสร็จแล้วก็อย่าลืมแวะไป ศาลาว่าการเคปทาวน์ (Cape Town City Hall) ด้วยน้า อาคารแห่งนี้ถูกสร้างและออกแบบในสไตล์ฝรั่งเศส มีอายุเก่าแก่ เป็นสถาปัตยกรรมแบบเอ็ดเวิร์ดที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองเคปทาวน์ และบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่และเป็นศูนย์กลางการปกครอง ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่จัดนิทรรศการศิลปะและคอนเสิร์ตด้วยค่ะ












 
มาเคปทาวน์ก็ต้องไม่พลาด วิคตอเรีย แอนด์ อัลเฟรด วอเตอร์ฟรอนท์ (Victoria & Alfred Waterfront) แหล่งรวมความเจริญอันดับต้นของแอฟริกาใต้ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 24 ล้านคนต่อปี ภายในพื้นที่ทั้งหมด 1.23 ตารางกิโลเมตรถูกแบ่งออกเป็น 5 โซน ได้แก่ Victoria Wharf, Watershed, The Alfred Mall, Pierhead, The Clock Tower และ Breakwater Point

V&A Waterfront ได้เริ่มการพัฒนาริมฝั่งในปี ค.ศ. 1840 โดยพระราชินีวิคตอเรียและเจ้าชายอัลเฟรดให้เป็นสุดยอดแหล่งรวมความเพลิดเพลินที่ดีที่สุดแห่งเคปทาวน์ เป็นทั้งแหล่งพักผ่อนตากอากาศและย่านช้อปปิ้งท่ามกลางธรรมชาติโอบล้อม เข้าพักโรงแรมชื่อดัง มีร้านค้าหลากหลายตั้งแต่แบรนด์ท้องถิ่นจนไฮเอนด์ไว้กว่า 450 ร้าน รวมร้านอาหารบรรยากาศริมน้ำทั้งยามเช้าและเย็น ดินเนอร์หรูกินบรรยากาศชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นั่งชิลชมวิวที่ท่าจอดเรือยอชต์ รับลมเย็นๆ ดูเจ้าแมวน้ำอุ๋งนอนผึ่งแดด เพลินมากกก
 
 

 

 



 

 
สำหรับใครที่ไปพักผ่อนแบบครอบครัวต้องไม่พลาดที่จะพาเด็กๆ มาเที่ยว พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำทูโอเซียน (Two Ocean Aquarium) สนุกไปกับการสำรวจนิทรรศการเพนกวิน ท่องโลกพันธุ์ไม้ใต้น้ำ เรียนรู้การเป็นอยู่ของสัตว์น้ำแอฟริกาใต้ เรียกได้ว่าครบจบที่เดียวไปเลยจ้า!


 

 

 


จบวันด้วยการขึ้น ชิงช้าสวรรค์เคปวีล (The Cape Wheel) ชมวิวเมืองเคปทาวน์แบบ 360 องศาที่อยู่สูงเหนือพื้นดินกว่า 40 เมตร รวมเก็บประสบการณ์สุดโรแมนติกกับคนรักยามเย็น ถือเป็นไอเดียที่ไม่เลวเลยค่ะ วิวสวย บรรยากาศดี คนข้างตัวก็ดี๊ดี ฟินสุดๆ ไปค่าาาา  >.,<  เคปทาวน์วันเดียวไม่พอมีอยู่จริง ขอแนะนำสำหรับใครที่ไม่อยากเหนื่อย ไม่อยากทริปแน่นจนหายใจหายคอไม่ไหว จัดไปค่ะ 2 วัน! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจ้า เพราะเมืองนี้เขามีสถานที่ยอดฮิตให้ได้ไปเช็คอินกันเพียบค่า



อีกหนึ่งเช็คพ้อยต์ จุดชมวิวทะเล (Sea Point) มาเยือนเมืองติดทะเลทั้งทีจะพลาดการเดินเรียบชายหาดไปได้ยังไงกันค้า เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของเมือง สัมผัสบรรยากาศรับลมทะเลเต็มๆ ฟังเสียงคลื่นที่บอกให้เรา ซู่วว ซู่วว เพิ่มพลังใจบวกร้อย! The Sea Point Promenade มีพื้นที่กว้างกว่า 7 กิโลเมตร มีเช็คพ้อยต์มากถึง 7 จุดให้เราได้ใช้เวลาว่างในการเดินกินลมชมวิว ปั่นจักรยานยาน นั่งทานอาหารว่างจากร้านค้าริมทาง

อัพเลเวลการพักผ่อนอีกหนึ่งขั้นด้วยสนามหญ้าสเกลใหญ่มหึมาที่เหมาะสำหรับ เด็ก ผู้ใหญ่ และสัตว์เลี้ยง ภายในมีเครื่องเล่นมากมาย มีทั้งสระว่ายน้ำสำหรับเด็ก 2 ที่ สระขนาดไซส์มาตรฐาน รวมถึงจุดอาบแดดริมชายหาดสำหรับคุณผู้ปกครอง มีมุมสุดฮิตของนักท่องเที่ยวที่หอประภาคารสำหรับเซลฟี่ สามารถเดินลงไปถ่ายรูปหาทำคอนเท้นต์อวดโชเชี่ยลได้ไม่แพ้ที่อื่นๆ เลยจ้า
 




 
 
เที่ยวภูเขารูปโต๊ะ (Table Mountain)

ภูเขารูปโต๊ะ ตั้งอยู่ในเมืองเคปทาวน์ เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติภูเขาโต๊ะ รวมอยู่ในภูมิภาคเคปฟลอรัล (Cape Floral) พื้นที่เขตคุ้มครองประเทศแอฟริกาใต้ ภูเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่สวยงาม สามารถมองเห็นเมืองเคปทาวน์ได้แบบ 360 องศา ในทางกลับกันก็สามารถมองเห็นภูเขารูปโต๊ะจากตัวเมืองเคปทาวน์ได้ด้วย ราวภาพพื้นหลังของเมืองเลยก็ว่าได้เลยค่ะ

ภูเขารูปโต๊ะเกิดจากการยกตัวของเปลือกโลก หน้าดินถูกกัดเซาะผุกร่อนจากการโดนลมและฝน จึงทำให้ปลายยอดภูเขามีพื้นที่เรียบคล้ายรูปโต๊ะ พื้นที่ยอดเขาแนวราบมีความยาวกว่า 2 กิโลเมตร สูง 1,068 เมตรจากระดับน้ำทะเล เคยได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติของแอฟริกาใต้ในปี ค.ศ. 2004 และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกยุคใหม่ในปี ค.ศ. 2011 ด้วยค่า

ภายในพื้นที่ทุกตารางเมตรของภูเขามีทรัพยากรสัตว์ป่าหลากหลาย พันธุ์ไม้กว่า 1,400 ชนิด และหลายสายพันธุ์ที่ไม่มีที่ไหนบนโลก ซึ่งภูเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตคุ้มครองพันธุ์ป่าไม้เคปฟลอรัล (Cape Floral Region Protected Areas) หรือ เคปฟลอริสติก (Cape Floristic Region) จังหวัดดอกไม้หนึ่งเดียวในประเทศแอฟริกาใต้และหนึ่งเดียวในโลก! ถูกยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี 2004 คาดว่าพื้นที่แห่งนี้มีอายุประมาณ 77 ล้านปี มีพันธุ์ไม้ และดอกไม้ป่ารวมแล้วราวกว่า 9,000 สายพันธุ์ และ 69% นั้นเป็นสายพันธุ์เฉพาะถิ่นซึ่งมีเพียงในแอฟริกาใต้เท่านั้นค่ะ

สำหรับการเดินทางขึ้นไปบนภูเขานั้นง่ายและสะดวกมากๆ แค่จองตั๋ว Table Mountain Cable Car Ticket & Hop-On Hop-Off Bus Combo 1 Day ผ่านช่องทางออนไลน์ในราคาประมาณ 1400 บาท และสามารถขึ้นรถที่จุดจอดรถทั่วเมืองเคปทาวน์กว่า 30 แห่ง รถบัสจะพาเราไปยังจุดขึ้นกระเช้าที่ แอเรียลเคเบิลเวย์ (Aerial Cableway) สะดวกมากสำหรับการแพลนจองตั๋วล่วงหน้า ซึ่งในแพคเกจจะรวมทัวร์เดินชมรอบเมืองพร้อมกับ Audio Guide 15 ภาษา แถมยังมาพร้อมกับ All Day Pass สำหรับขึ้นรถบัสทั้ง 4 เส้นทางหลักในเมืองด้วยค่ะ สะดวก จบ ครบ ทุกการเดินทางด้วยตั๋วใบเดียว คุ้มมว๊ากกกกกกก >0<    
 
shutterstock_149847782
 

 

 

 


 
เที่ยวแหลมกู๊ดโฮป (Cape Of Good Hope)

แหลมกู๊ดโฮป หรือ แหลมแห่งความหวัง อยู่ทางตอนใต้เกือบสุดปลายเขตทวีปแอฟริกาของเคปทาวน์ ซึ่งถูกค้นพบโดยนักเดินเรือ Bartolomeu Dias ชาวยุโรปโปรตุเกส ระหว่างการสำรวจทวีปแอฟริกาใต้ในปี ค.ศ. 1488 แหลมนี้ขึ้นชื่อเรื่องความแปรปรวนทางสภาพอากาศทั้งพายุและคลื่นลมแรง เมื่อก่อนเคยได้ชื่อว่า แหลมพายุ หรือ ‘Cabo Tormentoso’ (Cape of Storm) เพราะตั้งอยู่ในจุดบรรจบกันของกระแสน้ำอุ่นโมซัมบิก-อากุลฮาสจากมหาสมุทรอินเดีย และกระแสน้ำเย็นเบงเกวลาจากน่านน้ำแอนตาร์กติก ถึงขั้นที่นักเดินเรือยุคแรกเชื่อว่าถ้าสามารถผ่านจุดนี้ไปได้ การเดินทางที่เลวร้ายที่สุดของพวกเขาได้สิ้นสุดลง จากนั้นต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นแหลมกู๊ดโฮปจนถึงปัจจุบันค่ะ

นอกจากนักเดินเรือแล้ว การเดินทางไปแหลมกู๊ดโฮปถือเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าเช่นกัน ระหว่างทางมีจุดพักรถพักชมวิวหลายจุด อาจจะกินเวลาไปเกือบทั้งวันเพื่อไปพิชิตจุดหมายอันสวยงาม แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าสุดๆ ได้เห็นทิวทัศน์อันงดงามของแหลมที่ปกคลุมไปด้วยดอกไม้ ต้นหญ้าสีเขียวชอุ่มแซมสลับไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ทอดยาวไปยังจุด Cape point ที่มีประภาคารสูง 250 เมตรจากระดับน้ำทะเลตั้งอยู่ มองจากวิวด้านล่างขึ้นไปเหมือนลอยอยู่บนฟ้าเลย ฮ่าๆ >,<

สิ่งน่ารู้เล็กๆ น้อยๆ หลายคนอาจจะคิดว่าแหลมกู๊ดโฮปตั้งอยู่ตอนใต้ที่สุดของแอฟริกาแล้ว แต่จริงๆ คือแหลมอากุลฮาส (Cape Agulhas) ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกทางตะวันออกเฉียงใต้ ในเรื่องความสวยงามในเขตดินแดนใต้ต้องยกให้แหลมกู๊ดโฮปเป็นที่สุดแล้วนะคะ พื้นทั้งหมดของที่นี่และแหลมอื่นๆ ใกล้เคียงจะอยู่ภายใต้ความดูแลของเขตรักษาอนุรักษ์กู๊ดโฮป เพราะมีทั้งพืชพันธุ์ดอกไม้และเจ้าสัตว์นานาชนิด อย่างเจ้าลิงบาบูน ที่เราต้องคอยระวังสัมภาระให้ดีไม่งั้นน้องๆ อาจจะมาตีสนิทแล้วขโมยไปก็ได้ วิ่งตามไม่ทันนะจะบอกให้ 55555555 และยังมีนกกว่า 250 สายพันธุ์ที่ถูกบันทึกไว้ เช่น นกกระจอกเทศ นกชูก้าร์เบิร์ดเฉพาะถิ่น นกซันเบิร์ดกระดุมสีส้ม ไฮไลท์สุดๆ เราอาจจะได้เห็นม้าลายบนเขาแอนทีโลปและละมั่งแอฟริกาใต้ด้วยน้า การเดินทางจากเคปทาวน์มาก็ไม่ยาก ถนนสะดวกสบาย ระหว่างจุดจอดรถก็แวะเก็บเช็คพ้อยต์ซะหน่อย Road trip นี้ไม่ผิดหวังแน่นอนค่าาาา <3
 
shutterstock_123379117
 

 

 

 

 

 




เที่ยวหาดโบลเดอร์ส (Boulders Beach)

หาดโบลเดอร์ส ตั้งอยู่ในเขตเมืองไซมอน พื้นที่คุ้มครองทางทะเลของเขตอนุรักษ์ภูเขารูปโต๊ะ จุดเช็คอินสุดฮิตระหว่างทางไปเคปพ้อยต์ เป็นหนึ่งในชายหาดที่สวยที่สุด และมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยียนมากที่สุดของเคปทาวน์ถึงปีละ 60,000 คนเลยทีเดียวค่ะ
 
สถานที่แห่งเดียวบนโลกใบนี้ที่เราจะได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติของ เพนกวินแอฟริกัน (African Penguin) ทั้งฝูงแบบสุดๆ ไปเลยจ้า เพียงแค่จอดรถแล้วเดินลัดเลาะไปตามสะพานไม้ไปตามชายหาด เราก็จะได้พบกับเพนกวินน้อยใหญ่เดินต๊อกแต๊กกันเป็นฝูง บ้างก็ว่ายน้ำเล่น บ้างก็ดูแลเจ้าลูกตัวน้อยของมันอยู่ ถ้าเป็นช่วงฤดูวางไข่ ก็อาจจะได้เห็นรังของเบบี้ที่คุณพ่อคุณแม่กวิ้นกำลังทำหน้าที่ผลัดกันกกไข่อยู่ หรือน้องๆ ก็อาจจะเตาะแตะมาจ๊ะเอ๋เราตั้งแต่ที่จอดรถเลยจ้า

ชายหาดโบลเดอร์สไม่ได้เป็นแค่หาดชมเพนกวินอย่างเดียว แต่เป็นสถานที่ที่ครอบครัวจะพาเด็กๆ ไปว่ายน้ำเล่น พร้อมกับการนั่งปิคนิคอีกด้วย โดยมีการเก็บค่าบำรุงรักษา 65 แรนด์แอฟริกาใต้ หรือ ประมาณ 146 บาทต่อคนค่ะ ส่วนเราแค่แวะดูเจ้าเพนกวินสุดน่าร๊ากกก ถ่ายรูป แชร์โลเคชั่น อัพสตอรี่ไอจีก็จุใจแล้ว ยืดเส้นยืดสาย สูดอากาศสดชื่น พร้อมลุยจุดเช็คอินต่อไป โก่ โก โก้ \(^0^)/
 
shutterstock_521004754
 

 

 

 

 


เที่ยวโจฮันเนสเบิร์ก (Johannesburg)

 
โจฮันเนสเบิร์ก เมืองที่ใหญที่สุดในประเทศแอฟริกาใต้ ตั้งอยู่ในจังหวัดกัวเต็ง (Gauteng) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1889 หลังมีการค้นพบทองในศตวรรษที่19 ปัจจุบันเป็นเมืองอุตสาหกรรมและการเงินที่สำคัญที่สุดของประเทศ และเคยใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันฟุตบอลโลกเมื่อปี ค.ศ.2010 ด้วยค่า
 
ในอดีตช่วงต้น ค.ศ.1853–1930 ประวัติศาสตร์บูมทาวน์ของโจเบิร์กนั้นสร้างผลกระทบระยะยาวให้แก่ชาวแอฟริกันจากเหตุการณ์เรื่องการขุดพบทอง ทำให้มีนักสำรวจแร่และนักลงทุนจากประเทศฝั่งตะวันออกอย่างออสเตรเลียและอเมริการ่วมมือกัน นำพานักขุดแร่ชาวเวสส์และคอร์นิชเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น ชาวแอฟริกันที่ยากจนจึงถูกขับไล่ ตกงาน ขาดอาชีพ บ้างก็ได้รับงานในระดับที่ต่ำกว่า เกิดการกดขี่แรงงาน จนภายหลังจำนวนประชากรชาวตะวันออกมีการเพิ่มจำนวน และมีอิทธิพลมากขึ้นทำให้เกิดกฏหมายของการแบ่งแยกชนชาติ ถือเป็นเรื่องเศร้าสำหรับชาวแอฟริกันและคนผิวสีอย่างมาก จนถึงปัจจุบันสถานการณ์การว่างงานของคนผิวสีนั้นมีเปอร์เซ็นที่สูงมากที่สุดในเมืองหลวงแห่งเศรษฐกิจอย่างโจฮันเนสเบิร์ก ทำให้มีเขตแบ่งชนชั้นระหว่างคนรวยและคนจนอย่างชัดเจน

การเติบโตของอาชญากรที่สูงขึ้นจากการว่างงาน ทำให้โจเบิร์กติดอันดับเมืองอาชญากรรมและอันตรายที่สุดระดับต้นๆ ของโลก ถ้าลองหาอ่านข้อมูลจะเห็นได้ว่ามีการปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์ ก่ออาชญากรรมทางเพศ อื่นๆ อีกมากมาย ในพื้นที่สาธารณะบ่อยมากตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน บางจุดแม้แต่อูเบอร์ยังปฏิเสธการรับส่ง ยิ่งเป็นตอนกลางคืนไม่ควรออกไปเดินของนอกเด็ดขาด ไม่ว่าจะคนเดียวหรือมีเพื่อนนะคะ

แต่ยังไงที่นี่ก็ไม่ได้มีเพียงความน่ากลัวแน่นอนค่ะ ทั่วเมืองโจเบิร์กจะมีการ์ด บุคคลเฝ้าตรวจตราพร้อมอาวุธตามโรงแรม ร้านค้า และธนาคาร ถ้าใครแวะไปที่จัตุรัสเนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela Square) ศูนย์การค้าเปิดโลงในแซนด์ตันได้เห็นพี่การ์ดยืนคุมทุกมุมอาคารแน่นอน แนะนำสำหรับใครที่สนใจท่องเที่ยวเมืองนี้จริงๆ เราสามารถสอบถามการจ้างการ์ดจากทางโรงแรมได้เลยค่ะ เพราะการเดินเล่น ดูสตรีทอาร์ต เป็นไฮไลท์ของการมาที่นี่ แต่เพื่อความปลอดภัยมีคนคุ้มครองก็อุ่นใจจ้า

ถ้ายังไม่จุใจกับสตรีทอาร์ตไปต่อที่ พิพิธภัณฑ์อพาร์เทด์ (Apartheid Museum) หรือพิพิธภัณฑ์การแบ่งแยกสีผิวได้เลย ชมเรื่องราวเหตุการณ์ผ่านภาพวาด แล้วพักเบรคไปชิมเบียร์ ซื้ออาหารที่ ตลาดคนเดินเนเบอร์กู๊ดส์ (Neighbourgoods Market) และยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกหลายอย่างสำหรับนักเดินทางท่องเที่ยวตัวยง บอกเลยว่าไม่อยากจะพลาดแน่ๆ แล้วเราอาจจะมีโอกาสได้เปิดใจมองเห็นว่าชาวแอฟริกันค่อนข้างเป็นกันเอง อิสระและรักการแต่งตัว เรียกได้ว่า ด้านแฟชั่นก็ไม่แผ่วเลยนะค้าคุณขา 5555555 เที่ยวให้สนุก เอนจอยกับการเดินทาง แต่ต้องไม่ลืมที่จะระมัดระวังต่อไว้ตลอดนะคะ เป็นห่วงน้า ^^
 
shutterstock_401936458