9 สุดยอดเมืองท่องเที่ยวในฝรั่งเศส France

พอพูดถึงเที่ยวประเทศฝรั่งเศส ส่วนมากก็จะนึกถึงเมืองใหญ่อย่างปารีสกันเป็นที่แรกใช่ไหมคะ? แต่จริงๆ แล้วที่ฝรั่งเศสยังเต็มไปด้วยเมืองที่มีเสน่ห์อยู่ทั่วประเทศ และสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลากหลายแบบ รับรองว่าสวยปังจนทุกคนคาดไม่ถึงแน่นอนค่าาา
เที่ยวปารีส (Paris)
ปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส นครแห่งความโรแมนติกที่หลายคนใฝ่ฝันนน~ >3< ตั้งอยู่บนแม่น้ำแซน (Seine) เป็นศูนย์กลางอันยิ่งใหญ่ของเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ล้ำสมัยของโลก ดินแดนแห่งศิลปะ น้ำหอม โด่งดังในเรื่องของแฟชั่นที่ปังปุริเย่สุดๆ ไปเลยค่า! ทั้งแบรนด์เนมสุดหรูอย่าง Gucci, Louis Vuitton, Cartier และ Versace เต็มไปด้วยห้องอาหารระดับมิชลินสตาร์ และสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมมากมาย แต่ละที่คือมีเสน่ห์ดึงดูดใจเป็นเมืองที่มีสถาปัตยกรรมงดงามชวนหลงใหลทุกรายละเอียด แถมแฝงไปด้วยความคลาสสิคและโรแมนติก จนถูกขนานนามว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของโลก!!





มาถึงปารีส ที่จะไม่มาเยือนไม่ได้เลยก็คือ หอไอเฟลค่าาา (Eiffel Tower) ด้วยความสูงเสียดฟ้า สง่างาม ถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส และเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่บนถนนชองป์ เดอ มารส์ (Champ da mars) แถวบริเวณแม่น้ำแซน สร้างด้วยโครงเหล็ก 324 เมตร หรือสูงเท่ากับตึก 81 ชั้น *0* ปัจจุบันมีบันได 1665 ขั้น สามารถขึ้นไปชมวิวสวยๆ ได้ทั้งทางบันไดและลิฟต์ค่ะ แต่เค้าขอขึ้นลิฟต์ละกันเนอะ แหะๆ
หอไอเฟลถูกตั้งชื่อตามสถาปนิกที่ออกแบบชื่อ กุสตาฟ ไอเฟล (Gustave Eiffel) ปรมาจารย์ด้านการก่อสร้างสถาปัตย์จากโครงเหล็ก ถือเป็นงานศิลปะชิ้นเอก สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบ 100 ปีแห่งการปฏิวัติประเทศฝรั่งเศส เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ ร่ำรวยและความสำเร็จในยุคอุตสาหกรรมของประเทศนั่นเองค่ะ แอบกระซิบนิสสสนึงว่า จุดถ่ายรูปหอไอเฟลที่ดีที่สุด คือตรงลานหน้าปราสาทปาแลเดอชาโย (Palais de Chaillot) ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามหอไอเฟลเลยค่ะ จากมุมนี้จะเห็นภาพหอไอเฟลแบบเต็มๆ ไม่มีต้นไม้ ไม่มีเสาไฟฟ้ามาบัง ได้รูปสวยปังๆ แน่นอนนนน




พระราชวังแวร์ซาย (Versailles) พระราชวังหลวงอันยิ่งใหญ่อลังการที่สุดในสามโลก! สวยงามมากกกเกินคำบรรยาย ได้จัดเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกด้วยนะคะ เคยเป็นที่พำนักสำหรับกษัตริย์และราชินีหลายพระองค์ของฝรั่งเศส ตัวอาคารทำด้วยหินอ่อนสีขาว แสดงถึงความเป็นเลิศทางศิลปะยุคศตวรรษที่ 18 ภายในมีห้องอยู่มากมายถึง 700 ห้อง เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ในทุกๆ ห้องจะมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียงเต็มไปหมด
ห้องที่โด่งดังที่สุดก็คือ ห้องกระจก (Galerie des Glaces หรือ The Hall of Mirrors) ค่ะ ซึ่งเคยใช้เป็นห้องลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับเยอรมัน โดยห้องนี้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงทำการก่อสร้างเองด้วยนะคะ ภายในห้องประกอบด้วยกระจกยักษ์ 17 บาน แต่ละบานก็มีประวัติที่แตกต่างกันไป เมื่อเปิดออกมาจะเห็นสวนแวร์ซาย สวนของพระราชวังใหญ่ที่มีขนาดใหญ่มโหฬารไม่แพ้กับตัวราชวังเลยล่ะค่า งดงามด้วยพืชสวนนานาพันธุ์ที่มีเสน่ห์แตกต่างกันไปในแต่ละฤดู นอกจากนี้ยังเป็นต้นแบบการตกแต่งแบบหรูหราของโลก ที่เราเรียกกันว่าตกแต่งสไตล์หลุยส์นั่นเองค่ะ ควรค่าแก่การมาเห็นด้วยตาตัวเองจริงๆ เรียกได้ว่าใหญ่โตอลังการไปซะหมด จนต้องร้องว่าโอ้มายก้อดดด! ตลอดเวลาเลยทีเดียววว



พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre Museum) พิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่ทั้งมีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และยังมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วยค่า ครองทุกแชมป์เลยสินะ 55555 เปิดให้เข้าชมเมื่อปี ค.ศ. 1793 แรกเริ่มเลยที่นี่ถูกสร้างเพื่อให้เป็นป้อมปราการค่ะ จนในศตวรรตที่ 16 ได้กลายมาเป็นพระราชวังหลวง ปัจจุบันนี้เป็นสถานที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ก้องโลกและทรงคุณค่าไว้เป็นจำนวนมาก มีทั้งภาพโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี, ภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอส และผลงานชิ้นเอกด้านงานปั้นจากยุคโบราณของกรีก โรมัน อียิปต์ รวมถึงตะวันตกยุคกลางก็ยังถูกเก็บรวบรวมไว้ที่นี่ด้วยค่า รวมแล้วผลงานจัดแสดงกว่า 35,000 ชิ้น ในพื้นที่กว่า 60,600 ตารางเมตร กว้างขวางใหญ่โตมากกก มากจนหลายคนร่ำลือกันว่าเดิน 3 วันก็ยังไม่ทั่ว >,< เพราะงานศิลปะสวยๆ เยอะเหลือเกินนน มีผู้เข้าเยี่ยมชมมากถึง 9.7 ล้านคนต่อปี เป็นสถานที่ที่มีคนเข้าชมมากที่สุดในกรุงปารีสเลยค่ะ
อีกจุดนึงที่มีชื่อเสียงไปไม่น้อยกว่าตัวพิพิธภัณฑ์คือ พีระมิดแก้วที่เป็นทางเข้าของพิพิธภัณฑ์ ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอเมริกันเชื้อสายจีนชื่อดัง I.M.Pei เพิ่มความล้ำตรงที่มีการสร้างพีระมิดกลับหัว The Inverse Pyramid ที่ชั้นใต้ดิน เหตุผลคือต้องการสื่อถึงความทันสมัยและความเก่าแก่ที่อยู่รวมกันในพิพิธภัณฑ์นั่นเองค่า





มหาวิหารน็อทร์-ดาม (Notre-Dame Cathedral) อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่สำคัญในกรุงปารีส ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมานานแส๊นนนาน อายุ 850 ปี เป็นหนึ่งในมหาวิหารที่ใหญ่และเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกค่ะ ใช้เป็นศาสนสถานนิกายคาทอลิกที่สำคัญของฝรั่งเศส ได้รับการปรับปรุงโดยสถาปนิกคนสำคัญของประเทศคือ เออแฌน วียอแล-เลอ-ดุก (Eugène Viollet-le-Duc) ถือเป็นมหาวิหารแรกที่สร้างในสไตล์กอธิก (Gothic) ที่มีสถาปัตยกรรมงดงามมาก ภายในวิหารมีรูปปั้นและภาพจิตรกรรมที่สวยงามเกี่ยวกับพระแม่มารี เพดานสูงปิดทองตกแต่งอย่างหรูหรา
และถ้าต้องการขึ้นไปชมวิวสวยๆ แบบมองเห็นได้ทั้งเมืองก็สามารถขึ้นบันไดไปได้นะ จำนวนขั้นก็เบาๆ แค่ 387 ขั้นเอ๊งงงงง ผอมแน่ค่ะงานนี้ อ๊ะๆ ยังไม่หมด ยังมีงานกระจกสีโบราณชวนให้ตะลึง และสุสานใต้ดินที่มีคุณค่าทางโบราณคดีสมัยกอลล์-โรมันที่น่าสนใจอีกมากมายให้ชมกันด้วยจ้า



เที่ยวนอร์มังดี (Normandy)
นอร์มังดี เป็นหนึ่งใน 18 แคว้นของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศติดกับช่องแคบอังกฤษค่ะ ที่นี่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมากกกก มีร่องรอยหลักฐานสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่ทั่วทั้งเมือง ที่สำคัญคือเป็นสถานที่เกิดเหตุวันดีเดย์ (D-Day) หรือวันยกพลขึ้นบก คือวันที่ 6 มิ.ย. ค.ศ. 1944 ที่กองทัพเรือขนาดใหญ่ของฝ่ายสัมพันธมิตรได้ยกพลขึ้นบกที่อ่าวนอร์มังดี หาดโอมาฮ่า (Omaha Beach) แล้วได้รับชัยชนะค่ะ เนื่องจากฝรั่งเศสถูกนาซียึดครองมานาน จึงถือเป็นการเริ่มต้นของการยุติการยึดครองยุโรปของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำเผด็จการเยอรมัน นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมสุสานทหารพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถานสงคราม อนุสาวรีย์ต่างๆ และชายหาดที่เชื่อมโยงไปถึงจุดวัน D-Day ได้นอกจากจะมีประวัติศาสาตร์ที่น่าสนใจมากๆ แล้ว เรื่องบรรยากาศก็ดีงามไม่แพ้กันค่า ปัจจุบันเป็นเมืองริมทะเลเหมาะสำหรับมาพักผ่อนตากอากาศ อากาศดี ทัศนียภาพงดงาม เงียบสงบ ขึ้นชื่อเรื่องหน้าผาที่สวยงาม อาหารทะเลสดอร่อย ตึกอาคารสวยงาม เป็นสวรรค์ของผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติและกีฬากลางแจ้ง อ้อ อย่าลืมลองชิมแอปเปิ้ลนะคะ เค้าบอกกันว่าแอปเปิ้ลของที่นี่อร่อยเลื่องลือมากกกก







และสิ่งที่ถูกใจหญิงปุ๊กมากที่สุด! ขอยกให้กับ...วิหารมงแซงมิเชล (Mont Saint-Michel) ค่าาา ใส่ดาวให้ห้าดวงเลย แถมขีดเส้นใต้ให้อีกสามเส้นด้วย >,< เป็นวิหารคริสตจักรบนเกาะกลางทะเลริมชายฝั่งแคว้นนอร์มังดี สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 ถูกยกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกตะวันตกด้วยนะคะ (Wonder of the Western World) แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากถึง 3 ล้านคน ตั้งอยู่บนเกาะห่างจากฝั่ง 600 เมตร จะข้ามไปเกาะแต่ละทีต้องรอน้ำลด แต่ปัจจุบันมีถนนเชื่อมไปยังเกาะแล้วค่ะ สะดวกขึ้นเยอะเลยยย ตัววิหารทำมาจากหินแกรนิต อายุเก่าแก่นับพันปี ยอดวิหารสูง 155 เมตรจากระดับน้ำทะเล สวยงามอลังการมากๆ รู้สึกเหมือนกับเราได้ย้อนกลับเข้าไปในอดีตที่มีมนต์เสน่ห์ของคริสต์จักรแบบที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด.. ถ้ายังนึกถึงความยิ่งใหญ่ของวิหารมงแซงมิเชลไม่ออก ให้นึกถึงหนึ่งเกาะใหญ่ๆ ที่ถูกรายล้อมไปด้วยบ้านเมืองของผู้คนที่เรียงรายขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นวิหารมงแซงมิเชลตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนจุดสูงสุดของเกาะ
ที่มาของวิหารแห่งความศรัทธาแห่งนี้เกิดจากความฝันของนักบุญโอแบร์ บิชอป ที่ฝันว่ามีเทวฑูตเซนต์ไมเคิลสั่งให้มาสร้างโบสถ์ตรงนี้ มาเข้าฝันถึงสามครั้ง ครั้งสุดท้ายได้จิ้มลงที่หัวของบิชอปด้วย พอตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีรอยเกิดขึ้นจริง บิชอปจึงสร้างวิหารบนเกาะนี้ เป็นการก่อสร้างที่มหัศจรรย์มาก เพราะต้องขนหินแกรนิตมาจากอีกแคว้นนึง และขนมาที่เกาะได้เฉพาะตอนน้ำลดเท่านั้น แถมยังสร้างออกมาได้ยิ่งใหญ่อลังการสุดๆ ไปเลยจ้า คงต้องทำงานกันหนักมากๆแน่เลย สุดยอด!! ภายในมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติความเป็นของวิหารมงแซงมิเชลและห้องฉายภาพยนตร์ด้วยค่ะ
มีทริคสำหรับการเดินสักนิด ;) ที่นี่เป็นเกาะขนาดใหญ่ที่จะต้องเดินวนบันไดขึ้นไปเรื่อยๆ กับบันไดหลายร้อยขั้น ใช้กล้ามเนื้อขากันแบบเอาเรื่อง รองเท้าควรจะเหมาะกับการเดินทาง เพราะกว่าจะถึงด้านบนเล่นทำเอาลิ้นห้อยเหมือนกันค่ะ แต่ระหว่างทางเราจะได้เพลิดเพลินกับคาเฟ่เก๋ๆ แวะร้านอาหารอร่อยๆ ร้านขายของที่ระลึกมากมาย ลืมความเหนื่อยไปได้ช่วงนึงเลยนะคะเนี่ย





เที่ยวดินแดนลุ่มแม่น้ำลัวร์ (Loire valley)
หญิงปุ๊กจะพาทุกคนออกนอกเมืองไปตอนกลางของฝรั่งเศส เพื่อชม ดินแดนแห่งปราสาทลุ่มแม่น้ำลัวร์~ ลุ่มน้ำแห่งเทพนิยาย ที่เป็นเสมือนดินแดนในฝันของเจ้าชายเจ้าหญิงค่ะ *3* แหม่ แค่พูดถึงก็เห็นภาพตัวเองแต่งชุดเป็นซินเดอเรลล่ากำลังเต้นรำอยู่ในปราสาทกับเจ้าชายแล้วค่าาา 5555 เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความสวยงามของสถาปัตยกรรมสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและสะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของวัฒนธรรมฝรั่งเศสในยุคฟื้นฟู นับว่าเป็นเมืองโบราณที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก มีทั้งพระราชวัง คฤหาสน์ และปราสาทเก่าแก่เรียงรายอยู่มากกว่า 300 หลัง!! สร้างโดยกษัตริย์และขุนนางในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 – 20เริ่มจากตอนแรกสร้างเป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันข้าศึกศัตรู ต่อมามีการสร้างปราสาท พระราชวังขนาดใหญ่เพื่อเป็นที่ประทับของเหล่าราชวงศ์ของฝรั่งเศส ขุนนางทั้งหลายก็ไม่กล้าที่จะอยู่ห่างไกลจากราชสำนัก จึงทำให้มีปราสาทมากมายบริเวณนี้นั่นเองค่ะ ทัศยนียภาพคือดีงาม อยู่ท่ามกลางหุบเขา ป่าไม้เขียวขจี มีแม่น้ำไหลผ่าน ในปี ค.ศ. 2000 องค์การยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนให้ปราสาทแห่งลุ่มแม่น้ำลัวร์เป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรมด้วยจ้า ปัจจุบันใช้เป็นที่พัก โรงแรม เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมกันได้ หรือบางแห่งก็กลายมาเป็นที่ทำการของรัฐบาลท้องถิ่นค่ะ







ท่ามกลางปราสาทนับร้อย ปราสาทช็องบอร์ (Château de Chambord) กลับโดดเด่นกว่าใครเพื่อน เพราะเป็นปราสาทแห่งยุคเรเนสซองส์ที่งดงามที่สุดและมีขนาดใหญ่ที่สุดในลุ่มแม่น้ำลัวร์ ใครได้เห็นก็ต้องร้องว้าวววววไปตามๆ กันเลยค่า เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1519 โดยกษัตริย์ฟรานซิสที่ 1 (Francis I) ใช้เวลายาวนานกว่า 28 ปี โดยมีความตั้งใจว่าจะให้เป็นที่พักร้อนสำหรับล่าสัตว์ และแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสในยุคนั้นด้วยค่ะ ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมของยุคกลางของฝรั่งเศสและสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิคของอิตาลี ขนาดอาคารที่สูงถึง 156 เมตร หรือเท่ากับตึก 6 ชั้น มีบันได 77 แห่ง ปล่องไฟ 282 อัน ห้องพัก 426 ห้อง และสวนป่าใหญ่ที่สุดในยุโรปด้วยขนาด 5,440 เฮกเตอร์ แค่รั้วของปราสาทก็ยาวกว่า 35 กิโลเมตรแล้วจ้า OMG!!
และบันไดเวียนคู่ (double-helix staircase) บันไดวนหินอ่อนสีขาวที่เป็นประติมากรรมที่ล้ำสมัยมากในยุคนั้น ออกแบบโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo Da Vinci) ศิลปินเอกชาวอิตาลี ทางขึ้นของบันไดจะมีสองทาง เวียนคู่ขนานกันไป แต่ไม่มีวันบรรจบกันได้ ซึ่งผู้ที่ขึ้นบันไดด้านนึงจะไม่เห็นคนที่ขึ้นบันไดอีกด้านนึง ใช้เป็นทางขึ้นไปบนปราสาทของราชวงศ์แยกกับข้าราชบริพารที่ติดตาม
ความโอ่อ่าของปราสาทที่งดงามราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยายนี้ แม้แต่ Walt Disney ยังประทับใจจนนำไปสร้างเป็นต้นแบบปราสาทในเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูร Beauty and the Beast และถูกจัดให้เป็นมรดกโลกจากองค์กรยูเนสโกตั้งแต่ปี 1965 ด้วยค่า





ปราสาทเชอนองโซ (Chateau de Chenonceau) เป็นปราสาทยอดฮิตในลุ่มแม่น้ำลัวร์ที่นักท่องเที่ยวมาเยือนกันมากที่สุด ทั้งน่าสนใจและมีเสน่ห์ไม่เบาเลยค่า สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 11 เป็นผลงานของฟีลีแบร์ต เดอ ลอร์ม (Philibert de l'Orme) สถาปนิกชั้นเอกของฝรั่งเศสในสายเรเนซองส์ ความโดดเด่นก็คือตัวปราสาทตั้งคร่อมอยู่บนแม่น้ำเชอ (Cher) เป็นมุมยอดฮิตของนักท่องเที่ยวทุกคน และยังถูกเรียกอีกชื่อว่าปราสาทสุภาพสตรี (Ladies’ Castle) เพราะถูกปกครองโดยผู้หญิงมายาวนานหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศสชนชั้นสูงอย่างพระนางดิแอน เดอ ปัวติเยร์ (Diane de Poitiers) พระนางแคทเธอรีน เดอ เมดีซีส์ (Catherine de Medicis)
ที่นี่แฝงกลิ่นอายของความรักไว้ในทุกมุมทุกส่วน แสดงให้เห็นถึงความอบอุ่นและอ่อนช้อยของความเป็นผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของห้องนอน ห้องโถง และสวนดอกไม้ ทุกๆ อย่างถูกจัดไว้อย่างดี ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมกอธิคและสถาปัตยกรรมเรเนซองส์ตอนต้น มีประตูขนาดใหญ่ทำมาจากไม้ที่เเกะสลักอย่างปราณีต มีลานกว้างด้านหน้าเเบบปราสาทในยุคกลาง มีคูน้ำล้อมรอบ พร้อมกับสะพานเชื่อมมายังสวนอันสวยงาม
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์ที่นี่ไม่ได้มีแต่เพียงแต่ความรักและความหวานชื่นเท่านั้นนะคะ แต่ยังมีประวัติศาสตร์ที่น่าขมขื่นแฝงอยู่ด้วย เช่น ในห้องนอนชั้นบนสุดถูกทาเป็นสีดำทั้งหมด ดูน่าหดหู่มาก ซึ่งเรื่องราวของห้องนี้เกิดจากพระเจ้าอ็องรีที่ 3 (Henry III of France) สามีของหลุยส์เดอลอร์แรน สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส (Louise de Lorraine) ถูกลอบสังหาร เธอเศร้าโศกเป็นอย่างมากกับการสูญเสียสามี จึงใส่ชุดสีขาวเดินไปมาในห้องแห่งนี้ที่ปูพรมและตกแต่งด้วยสีดำ และต้องอยู่อย่างทุกข์ระทมตลอดช่วงชีวิตที่เหลือของเธอ… ปราสาทเชอนองโซยังถูกใช้เป็นโรงพยาบาลในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และเคยเป็นสถานที่จุดดอกไม้ไฟครั้งแรกในฝรั่งเศสอีกด้วยนะคะ





เที่ยวโพรวองซ์ (Provence)
โพรวองซ์ ดินแดนทางตอนใต้ของฝรั่งเศสที่มีทัศนียภาพสวยงามโดดเด่นไม่เหมือนใคร อยู่เชื่อมระหว่างเทือกเขาแอลป์และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้อยากมาเยือนนั่นก็คือ ทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วงที่บานสะพรั่งสุดลูกหูลูกตา ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง~ ไปทั่วเมือง อาชีพหลักของคนที่นี่ส่วนใหญ่ก็จะปลูกทุ่งดอกลาเวนเดอร์กันในช่วงฤดูร้อนกันค่ะ บอกเลยว่าจริงๆ แล้วชาวโพรวองซ์มีความผูกพันกับวัฒนธรรมการปลูกลาเวนเดอร์มายาวนาน แถมยังมีการทำไร่องุ่นเพื่อผลิตไวน์อีกด้วย ทำให้โพรวองซ์กลายเป็นดินแดนในฝันที่เต็มด้วยบ้านเรือนน่ารักๆ ที่แทรกตัวอยู่ระหว่างพุ่มไม้ดอกสีม่วงและพวงองุ่นช่อโต *0*ดอกลาเวนเดอร์นี่สามารถเอาไปแปรรูปทำเป็นสินค้าได้หลายอย่างเลยนะคะ กิ่งก้านของดอกนำมาเผาไฟเพื่อป้องกันโรคติดต่อและโรคระบาดได้ ใช้แช่ในอ่างอาบน้ำ หรือจะใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้าก็ได้ ทำให้ผ้ามีกลิ่นหอมมม และยังใช้ป้องกันมด แมลงต่างๆ ได้อีกด้วย ช่างสวยและเพรียบพร้อมจริงๆ น้องลาเวนเดอร์เนี่ย คิคิ เราจะได้ชมขั้นตอนของการปลูกดอกลาเวนเดอร์ และสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นครีมอาบน้ำ โลชั่น ลิปสติก เทียนหอม เป็นต้นค่า
จุดถ่ายรูปทุ่งลาเวนเดอร์สวยๆ ที่แนะนำก็คือ โบสถ์แอ็บบีเดอซีนอคค์ (Abbaye de Sénanque) สร้างขึ้นตั้งแต่ในศตวรรษที่ 12 มีทุ่งดอกลาเวนเดอร์ปลูกเป็นแปลงอยู่ด้านหน้าสวยงาม จะบานสะพรั่งตั้งแต่เดือนมิถุนายนไปจนถึงวันที่ 14 กรกฎาคม และทั้งหมดจะถูกเก็บเกี่ยวในวันชาติของฝรั่งเศสค่า ใครจะไปแนะนำให้ไปต้นเดือนกรกฎาคมนะจ๊ะ ไปช่วงอื่นอาจจะเจอแค่ทุ่งเขียวๆ หรือทุ่งที่โกร๋นไปแล้ว แฮ่...


หมู่บ้านเอซ (Eze) หนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดของฝรั่งเศส!! เป็นหมู่บ้านเก่าแก่เล็กๆ ตั้งอยู่บนยอดเขา สูงจากระดับน้ำทะเล 429 เมตร ริมชายฝั่งริเวียร่าทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของฝรั่งเศส รถไม่สามารถขึ้นไปได้ พวกเราสายสตรองก็ต้องเดินขึ้นไปเองค่าา ถึงจะมีหยุดพักหายใจเป็นระยะๆ บ้าง แต่ขอบอกเลยว่าคุ้มค่ามาก! เสน่ห์ของที่นี่คือบรรยากาศและบ้านเรือนที่น่ารักสวยงาม ถึงจะมีการปรับปรุงซ่อมแซมใหม่แต่ก็ยังคงรักษาเสน่ห์ในอดีตไว้อยู่
ตัวตึกส่วนใหญ่เป็นหินฉาบแบบหยาบๆ ทาสีขาว สีเหลืองหรือชมพูอ่อน พาสเทลฝุดๆ มีมุมน่ารักเก๋ไก๋อยู่ทั่วทั้งเมือง ตามทางเดินถึงจะแคบแต่ก็มีความเป็นระเบียบ ไม่มีสายไฟรกรุงรังเลยค่ะ สามารถเดินเล่นถ่ายรูปได้ตลอดทาง โดยลักษณะพื้นเป็นหินก้อนๆ และกระเบื้องสีแดง เค้าบอกว่าตรงกระเบื้องสีแดงเนี่ยไม่ได้แค่เพื่อความสวยงามนะคะ แต่กันลื่นได้ด้วย สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้า มีของให้เลือกซื้อมากมาย เรียกได้ว่ายิ่งเดินก็ยิ่งเห็นเสน่ห์ของหมู่บ้านแห่งนี้ไปเรื่อยๆ ธรรมชาติอยู่คู่กับบ้านเมืองได้อย่างลงตัว อากาศก็ดีตลอดปี สดชื่นนนมาก ดีงามมมมเว่อร์จ้า



เมืองกอร์ด (Gordes) ตั้งอยู่บนยอดเขาแถบเทือกเขาลูเบอรอง (Luberon) มีเมืองเล็กเมืองน้อยตั้งอยู่บนหน้าผาและสร้างลดหลั่นเรียงตัวกันตามแนวเขา บ้านเรือนมีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม เป็นสไตล์หินๆ แปลกตาดีค่ะ เมื่อมองลงไปจะเห็นวิวของทุ่งหญ้าเขียวๆ เห็นทุ่งลาเวนเดอร์ และพื้นที่ทางเกษตรกรรมกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโพรวองซ์ด้วยนะคะ ในตัวเมืองมีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกให้เลือกซื้อกันมากมาย นอกจากได้เดินชมอาคารบ้านเรือนแล้ว ยังมีปราสาทหินโบราณ (château de Gordes) ซึ่งสร้างขึ้นในแบบสไตล์เรเนสซองให้ได้ชมความอลังการกันอีกด้วยค่ะ



บริเวณใกล้ๆ มีหมู่บ้านหินโบราณ Le village des bories Gordes มีอายุถึง 6,000 ปี บ้านแต่ละหลังจะถูกสร้างขึ้นด้วยการหินมาวางซ้อนกัน โดยไม่ได้ใช้อะไรเชื่อมเลย ใช้หินสกัดเป็นแผ่นๆ แล้วมาเรียงซ้อนต่อกันจนกลายเป็นบ้านค่ะ *0* สุดยอดด คนโบราณนี่เก่งเนอะ ตัวหมู่บ้านเคยถูกทำลายอย่างหนักจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงได้ซ่อมแซมให้กลับมาลักษณะใกล้เคียงแบบเดิมมากที่สุด แต่ก็ยังมีร่องรอยของระเบิดของสงครามหลงเหลืออยู่ให้เราได้เห็นกันอยู่ค่ะ หมู่บ้านไม่ได้ใหญ่มาก เดินเที่ยวแป๊บเดียวก็ทั่วแล้วค่า


เอ็กซ์อองโพรวองซ์ (Aix-en-Provence) แคว้นที่มีชื่อเสียงมากในเรื่องของทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงแสนสดใส มีน้ำพุมากกว่า 100 แห่ง!! ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นโพรวองซ์ แต่หลังจากมีการปฏิวัติฝรั่งเศสเมืองหลวงของโพรวองซ์จึงถูกย้ายไปยังเมืองมาร์เซย์ (Marseilles) เมืองเอ็กซ์อองโพรวองซ์เลยถูกปล่อยทิ้งร้างไว้เป็นเวลาถึงร้อยกว่าปี ก่อนจะมีการพัฒนาเมืองขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จึงมีฉายาว่าเมืองเจ้าหญิงนิทรานั่นเองค่ะ
ปัจจุบันตัวเมืองยังคงความงามเป็นเอกลักษณ์ เป็นเมืองท่องเที่ยวสุดคลาสสิกที่มีความหรูหราในสไตล์ฝรั่งเศส แต่ก็แฝงเรื่องราวในอดีตแอบซ่อนอยู่ในมุมนั้นมุมนี้ และยังได้รับการบันทึกให้เป็นเมืองมรดกโลกของยูเนสโกอีกด้วยยย



มาร์กเซย (Marseilles) เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของแคว้นโพรวองซ์ที่พูดถึงไปเมื่อกี้นี้เองค่ะ และเป็นเมืองท่าที่สวยงามและสำคัญที่สุดทางตอนใต้ของประเทศ พร้อมได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรปประจำปี ค.ศ. 2013 ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวของมาร์กเซยก็มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเชิงวัฒนธรรม ชมสถาปัตยกรรมที่สวยงามจำพวกโบสถ์ มหาวิหาร ป้อมปราสาทฟอร์ต แซงต์ ฌอง (Fort Saint-Jean) ซึ่งจะเป็นประตูเมืองทางเข้าไปสู่ท่าเรือเก่า และท่าเรือเก่าแก่นี้มีชื่อว่า Vieux Port เป็นสถานที่ฮอตฮิตที่ดึงดูดเหล่านักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมและถ่ายรูปกันได้ค่ะ
ต่อด้วยสถานที่เที่ยวทางธรรมชาติ เช่น ผาหิน อุทยานแห่งชาติริมทะเล ถ้าใครเป็นสายลุยชอบเดินป่าแล้วล่ะก็ติดใจแน่นอนค่า เพราะจะเจอภูเขาป่าสน นกและพันธุ์ไม้ต่างๆ ให้ศึกษาระหว่างทาง พร้อมวิวทะเลระดับพรีเมี่ยม! หรือจะมาเดินเล่น ปิกนิกผ่อนคลายในสวนสาธารณะที่ปาเล่ ลองชอมป์ (Palais Longchamp) สุดท้ายพลาดไม่ได้เลยก็คือ สต๊าด เดอ เวโลดรอม (Stade de Velodrome) สนามแข่งกีฬาฟุตบอลของทีมชาติฝรั่งเศส รวมถึงเป็นสนามในการแข่งขันโอลิมปิกอีกด้วยค่า




เมืองอาวีญง (Avignon) เมืองหลวงแห่งโรมันคาทอลิค เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสันตะปาปาทั้ง 7 พระองค์ และยังเป็นที่รู้จักกันในฐานะเมืองแห่งเทศกาลศิลปะที่มีการจัดเทศกาลศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศฝรั่งเศสอยู่ทุกปี อย่างเทศกาล Epicurean เทศกาลดนตรีแจ๊ส และเทศกาลภาพยนตร์ เมืองอาวีญงก็เป็นเมืองน่ารักๆ เมืองหนึ่งที่ทั้งถนนที่เต็มไปด้วยร้านขายเสื้อผ้า ร้านอาหารอร่อยๆ พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่น่าสนใจ และยังมีกำแพงเมืองจากยุคกลางที่ยังหลงเหลืออยู่ล้อมรอบตัวเมือง
อย่าลืมแวะมาที่พระราชวังปาแลเดปัป (Palais de Papes) ซึ่งเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1309 เป็นสิ่งก่อสร้างของสถาปัตยกรรมโกธิกที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดถึง 15,000 ตารางเมตร ภายในมีโบสถ์โกธิกอยู่ถึง 4 โบสถ์ เราจะได้เดินชมห้องต่างๆ ของคณะบาทหลวงในยุคก่อน ทั้งห้องพักอันหรูหรา ทางเดินลับ ซึ่งปกติคนนอกจะไม่ค่อยรู้แล้วก็ไม่ได้มีโอกาสได้ชมกันเท่าไหร่ แถมยังได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก้ ปี ค.ศ.1995 ด้วยค่ะ




แซ็ง-ทรอเป (Saint-Tropez) เมืองรีสอร์ทริมทะเล ที่เหล่าบรรดาคนดังจะมาพักผ่อนตากอากาศ นอนอาบแดดและล่องเรือยอร์ชสุดหรูกันค่า เป็นสถานที่ที่มีเสน่ห์มากที่สุดแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส เส้นทางชายทะเลที่งดงาม น้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและหาดทราย รอบๆ มีบ้านสีพาสเทลช่วยเพิ่มบรรยากาศความน่ารักของเมือง มีท่าเรือ ป้อมปราการ จัตุรัสกลางเมือง ตลาดปลาที่มีอาหารทะเลสดๆ มาเสิร์ฟทุกเช้า และเมืองเก่าที่เรียกว่า La Ponche เป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านชาวประมงและเป็นพื้นที่งดงามที่สุดของแซ็ง-ทรอเปเลยนะค้าาา



เมืองนีซ (Nice) ลักษณะเด่นของเมืองนีซคือ น้ำทะเลสีสวยใส~ ไล่จากสีฟ้าอ่อนไปจนถึงน้ำเงินเข้ม มีแดดจ้าเกือบตลอดทั้งปี มีชายหาดที่ทอดยาวหลายกิโลเมตรขนานไปกับถนนเลียบชายหาดที่ชื่อว่า โพรเมนาดเดอ๊องแกล (Promenade des Anglais) ซึ่งเต็มไปด้วยโรงแรมและร้านอาหาร บรรยากาศคึกคักตลอดทั้งวัน ที่นี่จึงเหมาะกับการมาพักผ่อนในวันหยุดที่สุดแสนวิเศษ เราจะลั้ลลาไปเดินเล่นริมชายหาด ไปนอนอาบแดดเปลี่ยนผิวสีแทนปังๆ หรือไปส่องซิกแพคชาวยุโรปก็ได้ อิอิ และสำหรับคนชอบกิจกรรมตื่นเต้นท้าทาย ก็มีให้เล่นให้เช่าอยู่นานาชนิดเลยจ้า



เมืองคานส์ (Cannes) เมืองสุดหรูอีกเมืองหนึ่ง อยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ริมชายฝั่งโกต์ ดาซูร์ (Côte d’Azur) ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สมัยก่อนเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ต่อมามีการสร้างสถานที่พักตากอากาศสำหรับชนชั้นสูง เนื่องจากเป็นเมืองที่อากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี และไม่มีหน้าหนาว สามารถเดินเล่นชมทิวทัศน์ของเมือง พิพิธภัณฑ์ ตระเวนชิมอาหาร ช้อปปิ้ง และพักโรงแรมหรูที่มีอยู่มากมาย จัดเป็นเมืองพักผ่อนยอดฮิตของใครหลายๆ คน >,<



และที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองก็คือ เทศกาลหนังเมืองคานส์ (Cannes Film Festival) เป็นหนึ่งในเทศกาลภาพยนตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี ที่ Palais des Festivals et des Congres จะมีเหล่าดาราและเซเลบมากมายจากทั่วโลกมาเดินพรมแดงด้วยชุดสวยงามอลังการ อวดโฉมกันอย่างไม่มีใครยอมใคร สร้างสีสัน และความคึกคักให้กับเมืองนี้ได้เป็นอย่างดีเลยค่า



เมืองมองตอง (Menton) หรือที่ชาวยุโรปขนานนามว่า ไข่มุกหลากสีแห่งฝรั่งเศส Pearl of France อยู่ติดกับชายฝั่งอิตาลี ด้านหน้าติดทะเล ด้านหลังติดภูเขา ส่วนตัวบ้านติดหนี้แบงค์ แฮ่!! >,< จากชายหาด Sablettes สามารถมองเห็นชายฝั่งอิตาลีได้เลยจ้า แม้ว่ามองตองจะเป็นของฝรั่งเศส แต่กลับเหมือนเมืองของอิตาลีมากกว่า เนื่องจากเคยเป็นของอิตาลีมาอย่างยาวนาน ขนาดป้ายบอกชื่อถนนยังมีภาษาอิตาลีติดอยู่ด้วยเลยค่ะ ถือว่าเป็นเมืองตากอากาศที่มีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยก่อนนู้นนนนจึงมีชาวอังกฤษและชาวรัสเซียมาสร้างบ้านพักตากอากาศอยู่เป็นจำนวนมาก อากาศดี เป็นแหล่งปลูกมะนาวและส้มที่สำคัญของฝรั่งเศสด้วยค่ะ



หุบเขาเลย์ กอร์จ ดู แวร์ดง (Les Gorges du Verdon) ที่นี่เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบธรรมชาติเป็นพิเศษ ได้ชื่อว่าเป็นแกรนด์แคนยอนที่ใหญ่ที่สุดแห่งยุโรป *0* ว่ากันว่าสวยราวกับสวรรค์บนดิน! ล้อมรอบด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์ มีผาสูงตัดกับธารน้ำสีเขียวเทอร์ควอยซ์เป็นระยะทางยาวถึง 25 กิโลเมตร ซึ่งได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งสำคัญของฝรั่งเศส กิจกรรมในฤดูร้อนที่นักท่องเที่ยวนิยมเล่นกัน คือพายเรือ พายแคนนู ล่องเรือ ปีนเขา และเดินป่า เป็นต้นค่ะ



เที่ยวโมนาโก (Monaco)
ประเทศโมนาโก อยู่ติดกับฝรั่งเศส เป็นอาณาเขตเล็กๆ ของราชวงศ์ใน French Riviera มีขนาดเล็กมากกกกกกเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากนครวาติกัน มีขนาดพื้นที่แค่ 1.96 ตารางกิโลเมตรเองค่ะ เล็กกว่ากรุงเทพฯ ประมาณ 1,000 เท่า เดินวันเดียวรอบเมืองแล้ววว มีประชากรประมาณ 30,000 กว่าคน แต่ด้วยขนาดประเทศที่เล็กมาก ทำให้กลายเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในโลกซะงั้น ส่วนเรื่องภูมิประเทศก็งดงามหมดจดดั่งสวรรค์บนดิน เพราะมีส่วนที่ติดหาดของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งเมือง และอากาศดี มีแค่ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ไม่มีฝนจ้าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหราไฮโซววววว อภิมหาเศรษฐีแต่ละประเทศก็เลยย้ายมาใช้ชีวิตหรือเปิดบริษัทกัน เพราะไม่มีการจัดเก็บภาษีรายได้และภาษีมรดกใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งรัฐบาลได้ผูกขาดธุรกิจคาสิโน และสินค้าหลายอย่าง ทำให้มีรายได้เพียงพอแล้ว แถมการดูแลจัดการในประเทศก็ดีมาก มีความสะอาด ปลอดภัย ถนนหนทางดีมาก ขับซุปเปอร์คาร์กันสนุกเลยจ้า ถนนปกตินี่ สามารถใช้เป็นสนามแข่ง Formula 1 ได้เลย *0* ท่าเรือก็เต็มไปด้วยเรือยอร์ชชชชช โอ๊ยยย สุดยอดความรวยยย!



คาสิโนเดอะมอนติคาโล (Le casino de Monte Carlo) คาสิโนสุดหรูหราอลังการและเก่าแก่ที่สุดในโลก! สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1856 ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ Charles Garnier ด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาโรก ภายใต้คำสั่งของเจ้าชายชาร์ลส์ที่ 3 ค่า เป็นการร่วมกันระหว่างรัฐบาลโมนาโคและกษัตริย์ เพื่อหารายได้เข้าประเทศ และก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากเลยล่ะค่ะ เพราะที่นี่ได้กลายเป็นแหล่งทำเงินอย่างมหาศาล!
จัดเต็มทั้งสถาปัตยกรรมที่หรูหรา ทั้งงานแกะสลัก งานหินอ่อน ห้องโถงสีทอง และยังมีวิวที่ส๊วยยยสวย สามารถมองเห็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้อีกด้วยแน่ะ เกมส์ต่างๆ ก็มีให้เลือกเล่นหลากหลาย เพิ่มสล็อตแมทชีนเครื่องใหม่ๆ ที่มีคุณลักษณะพิเศษแบบที่คาสิโนแห่งอื่นไม่มีนะจ๊ะ ได้ทั้งความสนุกสนาน ความพึงพอใจจากการบริการ และสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นเลิศมากมาย ด้านหน้ามีแต่รถหรูๆ หราๆ จอดด้านหน้าเต็มไปหมด นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมข้างในได้นะคะ แต่ต้องแต่งตัวสุภาพนิดนึง โดยเปิดให้บริการในช่วงกลางวันสำหรับนั่งท่องเที่ยวทั่วไป สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยู่ภายในโรงแรมแล้วสามารถเล่นได้ตลอดเวลา แต่เขาเปิดสำหรับชาวต่างชาติเท่านั้นนะ ประชาชนชาวโมนาโคอดจ้า แหะๆ



เที่ยวแคว้นอาลซัส (Alsace)
อาลซัส แคว้นที่เต็มไปด้วยหมู่บ้านแห่งเทพนิยายยย >,< ตั้งอยู่บนพรมแดนทางด้านทิศตะวันออกของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเขตแดนที่คาบเกี่ยวระหว่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์และเยอรมันค่ะ เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ทั้งฝ่ายฝรั่งเศสและเยอรมันต่างก็พากันช่วงชิงดินแดนแห่งนี้ และผลัดกันครอบครองมาเรื่อยๆ จนตกมาเป็นของฝรั่งเศสได้ในที่สุด.. จึงมีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมทั้งสองประเทศรวมกัน อย่างเช่นภาษา ก็จะใช้ทั้งภาษาภาษาเยอรมันและภาษาฝรั่งเศส จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสองวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมต่างๆ ก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความอลังการงดงาม ทั้งโบราณสถาน พระราชวัง ตัวอาคารบ้านเรือน และความสวยงามของภูมิประเทศ ธรรมชาติต่างๆ เหมาะกับการมาเที่ยว เดินสวยๆ ในไร่องุ่นและชิมไวน์ชั้นเลิศหญิงปุ๊กมีหมู่บ้านในแคว้นอาลซัสที่นักท่องเที่ยวนิยมที่สุดมาฝากด้วยค่า แต่ละที่คือปังมากจริงๆ ที่แรกเลยก็คือ เมืองสตราสบูร์ก (Strasbourg) เมืองหลวงแห่งแคว้นอาลซัสค่ะ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอิล โดยแบ่งออกเป็นเขตเมืองเก่าและเขตเมืองใหม่ ตัวเขตเมืองเก่านี้ก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยนะคะ การล่องเรือชมวิวทิวทัศน์ในแม่น้ำอิลนับว่าเป็นไฮไลท์สำคัญ ส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่ที่ 45-70 นาที ล่องชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองหลายแห่ง อาคารบ้านเรือนสีสันสดใสตั้งเรียงรายอยู่ริมฝั่ง มีการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมยุคกลางและยุคใหม่อย่างลงตัว มีกลิ่นอายความเป็นเยอรมันแทรกอยู่ ดูแล้วมีความโรแมนติกอย่างมาก มีโรงแรมและร้านอาหารให้บริการมากมาย




ที่โดดเด่นอีกอย่างคือ ตลาดคริสต์มาสที่เก่าแก่ที่สุดในฝรั่งเศส จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1570 จนถูกเรียกเป็นเมืองหลวงแห่งคริสต์มาส (Christmas Capital) ภายในตลาดจะประดับประดาด้วยแสงไฟหลากสีสัน จัดใหญ่จัดเต็มทั้งอาหารและบรรยากาศ มีขนมพื้นเมืองให้ได้เลือกซื้อเลือกชิมแบบละลานตา *0*





กอลมาร์ (Colmar) หมู่บ้านที่น่ารักและสวยงาม ตัวอาคารบ้านเรือนเป็นแบบ Timber Frame ซึ่งเป็นบ้านสไตล์เยอรมันแท้ๆ และยังคงรักษาความสวยงามแบบดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ จุดเด่นอยู่ตรงที่มีคลองไหลผ่านทั่วเมือง จนได้รับการขนานนามว่า ลิตเติ้ลเวนิสแห่งฝรั่งเศส บรรยากาศสวยงาม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ล้อมรอบไปด้วยไร่องุ่นจำนวนมาก เราสามารถนั่งเรือชมอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ที่เรียงรายอยู่ริมสองฝั่งคลอง ตามระเบียงจะประดับด้วยดอกไม้หลากสีสัน สีผนังบ้านก็แจ่มแบบไม่มีใครยอมใคร หรือจะเดินเล่นตามซอยต่างๆ ที่มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ซึ่งแต่ละร้านจะออกแบบป้ายได้น่ารักเก๋ไก๋แตกต่างกันไป
เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่น่ารักทุกองศาจริงๆ ค่ะ และยังเป็นสถานที่ที่คู่รักจะมาแต่งงาน ฮันนีมูน และให้คำสัญญาในความรักระหว่างกัน >///< รับรองว่าถ้าใครมีโอกาสได้มาเยือนกอลมาร์ จะต้องตกหลุมรักเมืองเล็กๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโรแมนติกนี้อย่างแน่นอนน




ฮูนาเวีย (Hunawihr) หนึ่งในหมู่บ้านที่สวยงามที่สุดของฝรั่งเศส มีพื้นที่แค่ 4.8 ตารางกิโลเมตร และประชากรราว 700 คนเท่านั้น ซึ่งส่วนมากจะประกอบอาชีพเกษตรกรรม โตยเฉพาะการทำไร่องุ่นเพื่อนำมาทำเป็นไวน์คุณภาพชั้นยอด ขึ้นชื่อในเรื่องบรรยากาศและทัศนียภาพอันงดงาม มีถนนสายเล็กๆ ตัดไปตามเนินเขาที่เต็มไปด้วยไร่องุ่นกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มองเห็นบ้านเรือนแบบยุคกลาง เป็นหมู่บ้านที่เรียบง่าย ไม่ปรุงแต่งมาก เดินดื่มด่ำกับบรรยากาศได้เพลินๆ แบบไม่รู้สึกเบื่อเลยค่า




ริคเวีย (Riquewihr) หมู่บ้านที่ยังคงรักษาความสวยงามไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่สมัยยุคกลาง แม้แต่ภัยจากสงครามโลกก็ไม่สามารถทำอะไรริคเวียได้เลย บรรยากาศจะเหมือนกับเราได้เดินหลุดเข้าไปในเมืองแห่งเทพนิยาย ทางเดินถูกปูด้วยหินสวยงาม บ้านเรือนสีสันสดใส เป็นแบบครึ่งตึกครึ่งไม้ (Half Timbered) ทุกหลังจะตกแต่งด้วยดอกไม้หรือตุ๊กตาชิ้นเล็กชิ้นน้อย น่ารักมากกก น่าแวะถ่ายรูปทุกจุดเลยค่ะ >,< สามารถเที่ยวชมบ้านเรือนต่างๆ และเข้าไปชมประวัติความเป็นมาและเรื่องราวต่างๆ ในช่วงสงครามโลกได้ที่พิพิธภัณฑ์ของเมือง เป็นหมู่บ้านในหุบเขาที่ถูกโอบล้อมไปด้วยไร่องุ่นอีกเช่นเคย
จุดเด่นของหมู่บ้านแห่งนี้คือ หอนาฬิกาประจำเมือง (Tour du Dolder) ที่ตั้งตระหง่านเด่นอยู่ใจกลางหมู่บ้าน ถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญเลยก็ได้ว่าค่ะ ริคเวียได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดของฝรั่งเศส (Les 10 plus beaux villages de France) และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกด้วยค่า




ริโบวิลล์ (Ribeauville) ชมความสวยงามของหมู่บ้านสไตล์ Timber Framing ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากทางเยอรมัน บรรยากาศน่ารักๆ ล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองโบราณซึ่งต่างจากเมืองอื่นๆ ในแคว้นอาลซัส เที่ยวชมสถาปัตยกรรมอย่างโบสถ์สไตล์โกธิกที่สำคัญ 2 แห่ง คือ St.Greggory และ St.Augustine ซึ่งยังคงสภาพได้สมบูรณ์มาจนถึงทุกวันนี้ จนได้การยอมรับให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมด้วยนะคะ หรือจะนั่งรถไฟเที่ยวก็ได้ค่ะ เส้นทางรถไฟจะวิ่งผ่านในกลางหมู่บ้านริโบวิลล์ ไปจนถึงหมู่บ้านริคเวียเลยยย




เอกีเชม (Eguisheim) หนึ่งหมู่บ้านที่สวยที่สุดของฝรั่งเศส ถึงขนาดจะเล็กแต่มุมถ่ายรูปนั้นเยอะมากกก ทั้งตรอกซอกซอย และบ้านสไตล์ยุโรปยุคกลาง มีการสร้างบ้านเรือนล้อมกันเป็นวงรี ตกแต่งด้วยดอกไม้ตามซุ้มหน้าต่าง เห็นวิวภูเขาและไร่องุ่น มีป้อมปราการโบราณตั้งอยู่บนเนินเขา ทุกอย่างเข้ากันลงตัวไปหมด ในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน เราจะได้เห็นเชอร์รี่บลอสซั่มบานทั่วเมือง สุดแสนจะโรแมนติก~ และสวยงามดุจเทพนิยาย ในปี ค.ศ. 2013 ได้รับการโหวตว่าเป็นหมู่บ้านที่ผู้คนชื่นชอบที่สุดของฝรั่งเศสด้วยค่า (Prefere des Fancais)




เที่ยวเทือกเขามงบล็อง (Mont Blanc)
มงบล็อง แปลว่า ภูเขาสีขาว เป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดในยุโรป!! มีความสูงกว่า 4,810 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สูงมากจนถูกปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี เป็นจุดแบ่งชายแดนระหว่างฝรั่งเศสและอิตาลี เราสามารถขึ้นไปชมวิวด้านบนได้โดยเคเบิ้ลคาร์ ที่เค้าว่ากันว่าสูงและชันที่สุดในโลก! >,< โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่ตีนเขาในเมืองชาโมนิกซ์ ขึ้นไปด้านบนที่ความสูง 3,842 เมตร ใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้นจ้า กระเช้าจะจอดพักจุดแรกที่ความสูง 2,317 เมตร ตรงนี้จะเหมาะสำหรับการเล่นสกี สโนว์บอร์ด ปีนเขา เดินป่า และกิจกรรมผจญภัยต่างๆ ซึ่งการเดินป่าจะมีเส้นทางสำหรับทุกระดับความสามารถ ตั้งแต่การเดินเบาๆ ไปจนถึงการสำรวจป่าที่ลาดชัน แต่ไม่ว่าทางไหนก็เห็นวิวทิวทัศน์ที่งดงามของมงบล็องทั้งหมดจ้า นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบธารน้ำแข็ง Lac bleu อันเลื่องชื่ออีกด้วยค่ะพอขึ้นมาถึงจุดสูงสุด โอ้โหหห วิวสวยยมากกก มีร้านอาหาร Le 3842 ไม่รู้ว่าราคากับยอดเขาอะไรสูงกว่ากัน แหะๆ แต่สวยคุ้มค่านะว่าไม่ได้ มีพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าถึงความเป็นมาของภูเขา และรายชื่อนักปีนเขาที่เคยขึ้นมาพิชิตยอดเขามงบล็อง ต่อด้วยจุดถ่ายรูปและลานนั่งชมวิว และที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือ จุดที่เป็นกระจกใสยื่นออกไปกลางอากาศ ขาสั่นพับๆๆ จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้เราเปลี่ยนรองเท้าก่อนออกไปยืน และถ่ายรูปให้ด้วยค่ะ
ส่วนใครที่ฟิตปั๋งหรือนักปีนเขาที่มีประสบการณ์ก็จะปีนขึ้นไปถึงยอดเขามงบล็อง แต่ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะค้า ต้องใช้พลังแรงกายแรงใจอย่างมาก และใช้เวลาประมาณ 10 - 12 ชั่วโมง เส้นทางการปีนเขาที่พบมากที่สุดคือ Aiguille du Goûter และ Arête des Bosses ค่ะ





ใต้ยอดเขาสูงนี้จะมีหมู่บ้านชาโมนิกซ์ (Chamonix) หรือที่เรียกกันว่า The White Lady ซึ่งก็ขาวตามชื่อเลยค่า เพราะเห็นยอดเขามงบล็องที่มีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี เป็นเมืองพักตากอากาศสุดหรูของฝรั่งเศส ตัวเมืองเล็กๆ น่ารัก มีแม่น้ำอาร์ฟ (Arve River) สายเล็กๆ ไหลผ่าน อากาศดี น่าเดินเล่นมากกก มีทั้งสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่ อาคารบ้านเรือนสีสันสดใส มีภาพวาดฝาผนังให้เห็นเป็นระยะๆ มีโบสถ์ St.Michel เป็นโบสถ์ประจำเมืองอันเก่าแก่ ร้านกาแฟ ร้านขนม และร้านอาหารที่ได้รับการจัดอันดับว่าอร่อยเลิศ
และรูปปั้นบุคคลสำคัญของเมือง 3 คนคือ รูปปั้นของ Dr. Micheal Gabriel Pasccard ผู้พิชิตยอดเขามงบล็องสำเร็จเป็นคนแรก รูปปั้นของ Jacques Balmat ไกด์ท้องถิ่นที่พา Dr. Michel Gabriel Passcard ขึ้นไปพิชิตยอดเขา และรูปปั้นของ Horace-Benedict de Saussure ผู้ชื่นชอบการปีนเขาเป็นชีวิตจิตใจ ที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับพืชบนเทือกเขาแอลป์ จนได้รับฉายาว่าเป็นผู้บุกเบิกการท่องเที่ยวบนเขาแอลป์ค่ะ



เที่ยวเมืองอานซี (Annecy)
อานซี อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากเป็นอันดับต้นๆ ของฝรั่งเศส สวยงามละลานตาไม่แพ้ที่ผ่านๆ มาเลยค่า *3* ตัวเมืองตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทะเลสาบอานซี (Annecy Lake) ของฝรั่งเศส และอยู่ห่างจากกรุงเจนีวา (Geneva) ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์แค่ประมาณ 35 กิโลเมตร เลยได้ความปังของบรรยากาศและธรรมชาติมาแบบเต็มๆ สวยจนได้ฉายาว่าไข่มุกแห่งเทือกเขาแอลป์ในฝรั่งเศส (The Pearl of the French Alps) เป็นเมืองติดทะเลสาบที่น่ารักและเงียบสงบ ยังคงกลิ่นอายความเป็นเมืองยุคกลางและในเขตเมืองเก่า จะมีถนนสำหรับคนเดินโดยเฉพาะ ทำจากก้อนอิฐที่เรียงรายกันอย่างสวยงาม ตึกอาคารสีสันสดใส มีคลองขนาดเล็กไหลผ่านใจกลางเมืองและซอกแซกไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ น้ำนี่ใสกิ๊งเลยค่ะ ไม่เห็นขยะลอยซักชิ้นเลย สองข้างทางก็เต็มไปด้วยร้านค้าบูติก ร้านอาหาร โรงแรมเล็ก ดอกไม้บานเต็มเมือง บรรยากาศน่าเดินเล่นมากกก กิจกรรมยอดนิยมก็คือเล่นสกี สโนว์บอร์ดและปีนเขากันค่ะ






บริเวณใจกลางคลองยังเป็นที่ตั้งของปาเลส์เดอไลล์ (Palais d’Isle) หรือคุกเก่า เป็นสัญลักษณ์ของเมืองอานซี และเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดของฝรั่งเศส แต่แรกเลยเป็นปราสาทโบราณสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1132 สร้างเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมคล้ายหัวเรือโบราณที่ทอดสมออยู่ในแม่น้ำ ต่อมาใช้เป็นศาลตัดสินคดี และกลายมาเป็นคุกในที่สุดค่ะ ปัจจุบันทางการฝรั่งเศสได้เข้ามาบูรณะใหม่ ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงนิทรรศการและประวัติศาสตร์ของเมืองอานซี และได้รับการประกาศให้เป็นอนุสาวรีย์ประวัติศาสตร์ในปี ค.ศ. 1900 ด้วยค่ะ

เที่ยวเมืองบอร์โด (Bordeaux)
ปิดท้ายด้วยเมืองบอร์โด เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในฝรั่งเศส *0* ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ เป็นเมืองที่สวยงามเป็นระเบียบ มีแม่น้ำ มีสวนดอกไม้ริมน้ำ เดินเล่นชิลๆ ชมสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นของตึกรามบ้านช่องตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 ผสมผสานกันกับตึกสมัยใหม่ เมืองสวย ตึกสวย ถ่ายรูปออกมาสวยทุกมุมจ้ะ หนึ่งในจุดเด่นของสถาปัตยกรรมของเมืองก็คือ รูปปั้นหน้าคน (Mascarons) ถูกประดับตกแต่งไว้ที่ด้านหน้าของอาคารหรือตึกต่างๆ เพราะเชื่อกันว่าจะช่วยปัดเป่าปีศาจและวิญญาณร้ายออกไปไม่ให้เข้ามาในอาคารได้นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งช้อปปิ้งโปรดของใครหลายคน ทั้งห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต มีร้านอาหารระดับดาวมิชลินหลายร้านเลย คาเฟ่ ผับ บาร์ ที่นี่มีหมดค่า เรียกว่าเป็นเมืองเล็กแต่ครบครันจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในฝรั่งเศส และเป็นจุดหมายในการท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในยุโรป ปี ค.ศ. 2015 >,< ยังจ้า ยังไม่หมด เมืองบอร์โดยังถูกยกให้เป็นเมืองมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ในฐานะเมืองที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามและโดดเด่น (An outstanding urban and architectural ensemble) อีกด้วยค่ะ
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ เมืองแห่งไวน์และองุ่น เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านศิลปะการผลิตไวน์เลยก็ว่าได้ค่ะ มีโรงหมักไวน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกนับพันๆ แห่ง นอกจากส่งไปขายทั่วประเทศฝรั่งเศสแล้ว ยังมีการส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ทั้งไวน์คุณภาพเยี่ยมอย่างMargaux, Pauillac และ Chateau Lafite-Rothschild มีไร่องุ่นที่สวยงามทอดยาวข้ามเนินเขา เป็นต้นกำเนิดของพันธุ์องุ่นต่างๆ เช่น Medoc, St. Emilion, Pauillac, Sauternes เนื่องจากตั้งอยู่ในทำเลที่ดี อิทธิพลจากมหาสมุทรแอตแลนติกที่ให้ความร้อน ความอบอุ่นอย่างพอเหมาะ ดินก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ จึงปลูกองุ่นได้หลายพันธุ์นั่นเองค่า







สถานที่ท่องเที่ยวที่อยากแนะนำในเมืองบอร์โด คือ ปราสาท Place de la Bourse อาคารสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของ Ange-Jacques Gabriel ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 และได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.2007 ค่ะ ด้านหน้าเป็นลานน้ำกว้างเหมือนกับแผ่นกระจก ตอนที่ก้อนเมฆด้านบนสะท้อนลงมาคือสวยมากกก หรือที่เรียกว่า Miroir d’Eau de Bordeaux

สะพานปิแอร์ (Pont de Pierre) สะพานหินเก่าแก่ สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการข้ามแม่น้ำการอน (Garonne River) เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองบอร์โดที่ห้ามพลาดเลยค่า

วิหารบอร์โด (Bordeaux Cathedral) ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดของเมือง ทั้งยิ่งใหญ่และสวยงามมากในสไตล์โกธิกค่ะ
