10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในสโลวีเนีย Slovenia

สโลวีเนีย ประเทศสวยรวยเสน่ห์ เพิ่งก่อตั้งเป็นประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อ 30 ปีที่แล้วเองค่ะ หลังได้รับเอกราชจากการล่มสลายของราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย ตอนนี้ก็ได้เปิดประเทศให้เที่ยวมากขึ้น ทำให้สโลวีเนียเป็นอีกหนึ่งประเทศในยุโรปที่น่าเที่ยวสุดๆ เพราะมีประวัติความเป็นมาน่าสนใจ และสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามมากมาย ตอนแรกอาจจะไม่ได้อยู่ใน Wish list ต้นๆ ของใครหลายคนเท่าไหร่ แต่รับรองว่าถ้ารู้จักแล้วจะต้องหลงรักแน่นอนนนนค่าาาา!!
เที่ยวเมืองลุบเบลียน่า (Ljubljana)
ลุบเบลียน่า หรือบางคนก็เรียกกันว่า ลูบลิยานา เป็นเมืองหลวงเล็กๆ อันน่าหลงใหล แต่ก็ถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดของสโลวีเนียแล้วค่ะ ^^’ มีประชากรราวๆ 3 แสนคน อยู่ระหว่างเทือกเขาแอลป์ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และที่ราบแพนโนเนียน ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางบริหารของประเทศ ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมประเพณี บรรยากาศเรียบง่าย เงียบสงบและเป็นระเบียบ มีความปลอดภัยสูงงง เขาจะมีเขตท่องเที่ยวสำหรับคนเดิน ห้ามรถใหญ่ผ่าน สามารถเดินเที่ยวชมเมืองได้อย่างสบายใจเลยจ้า~ แถมยังเดินเชื่อมกันได้หมดทั้งเมือง ผู้คนดูสโลว์ไลฟ์เหมือนไม่มีความเร่งรีบใดๆ 555 ถึงจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ความน่ารักก็ไม่น้อยหน้าเมืองใหญ่ในยุโรปเลยนะคะ โดยเฉพาะในเขตเมืองเก่าที่มีเสน่ห์ ยังมีร่องรอยของสถาปัตยกรรมโบราณและอิทธิพลของศิลปะสไตล์บาโรกให้ได้เห็นกัน และยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงสีเขียว จะเห็นได้จากสวนสาธารณะทุกหนทุกแห่ง มองไปทางไหนก็เจอต้นไม้ มีแม่น้ำผ่านกลางเมือง จะมานั่งล่องเรือชมเมืองก็ย่อมได้จ้าาา



จุดท่องเที่ยวในเมืองลุบเบลียน่าก็ได้แก่ ปราสาทลุบเบลียน่า (Ljubljana Castle) ตั้งอยู่บนเนินสูง จะนั่งกระเช้าขึ้นไปหรือเดินก็ได้จ้ะ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ด้านบนสามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองได้อย่างชัดเจน สร้างในสมัยศตวรรษที่ 11 เพื่อใช้เป็นป้อมปราการ ว่ากันว่าตอนแรกใช้ไม้และหินในการก่อสร้าง ต่อมาได้บูรณะใหม่ในปี ค.ศ. 1990 ในลักษณะสถาปัตกรรมแบบโกธิค ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ มีที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว และร้านอาหารมากมายให้แวะไปเที่ยวชมกันค่า


สะพานมังกร (Dragon Bridge) มีรูปปั้นมังกรสีเขียวอยู่ 4 ตัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองยืนเด่นเป็นสง่าคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ เป็นจุดถ่ายรูปสุดฮิต สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 1901 สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่ของยุโรป โดยสัญลักษณ์มังกรนี้ก็คือ St. George หรือนักรบกรีกผู้กล้าในตำนาน มังกรคือตัวแทนของพลัง ความกล้าหาญ และความยิ่งใหญ่ จึงถูกนำมาใช้เป็นตราประจำเมืองนั่นเองค่ะ


จัตุรัสกลางเมืองเพรเซเรน (Preseren Square) เป็นจัตุรัสที่มีความสำคัญไม่แพ้จตุรัสตรงบริเวณบันไดสเปนใจกลางกรุงโรมเลยค่า มีลานกว้างจากการปูพื้นแบบโบราณ รายล้อมด้วยตึกอาคารสวยงาม เป็นสถานที่รวมตัวของคนทุกเพศทุกวัยที่จะมานั่งเล่น เดินเล่นเพลินๆ และเป็นแหล่งนัดหมายหลักของชาวเมืองด้วยค่ะ


จัตุรัสสามสะพาน (Triple Bridges Square) สะพานที่เชื่อมระหว่างเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่ไว้ด้วยกัน โดยเรียงขนานกันทั้ง 3 สะพาน มีแม่น้ำลูบลิยานิจา (Ljubljanica) กั้นกลาง ถือเป็นอีกแลนด์มาร์คสำคัญของเมือง บริเวณแถวนั้นจะมีตลาดที่ขายอาหารพื้นเมืองอร่อยๆ ให้ได้ลองชิมกันด้วยน้า >3<


มหาวิหารลุบเบลียน่า (Ljubljana Cathedral) มีชื่อทางการว่ามหาวิหารเซนต์นิโคลัส (St. Nicholas) เป็นโบสถ์สไตลโกธิค มีความเก่าแก่เป็นอย่างมาก สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ต่อมาได้ถูกแทนที่ด้วยศิลปะแบบบาโรก มีหอคอยสองอันและโดมสีเขียวอันโดดเด่นเห็นมาแต่ไกล ประตูโบสถ์จะมีประติมากรรมนูนสูงประดับอยู่ ส่วนมากจะเป็นรูปของนักบวชและแม่ชีที่ดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ และยังบ่งบอกไปถึงวิถีการดำเนินชีวิตในยุคอดีตที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ภายในโบสถ์ตกแต่งอย่างยิ่งใหญ่และประณีตบรรจง ชอบตรงที่เค้าออกแบบให้มีระบบหมุนเวียนอากาศที่ถ่ายเท อากาศข้างในจึงเย็นโล่งสบายยย


พิพิธภัณฑ์แห่งชาติสโลวีเนีย (National Museum of Slovenia) พิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่และสวยงามที่สุดของประเทศ!! ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1821 ใช้เป็นสถานที่เก็บเรื่องราวและจัดแสดงโบราณวัตถุและศิลปวัตถุล้ำค่าที่ย้อนไปถึงช่วงยุคหินนู่นแน่ะ ใครอยากย้อนยุคย้อนเวลา ที่นี่ไม่ผิดหวังจ้ะ


สะพานแห่งความรัก (Butchers' Bridge) เป็นสะพานคนเดินที่จะมีคู่รักมาเดินเล่น และคล้องกุญแจกันแบบที่เกาหลี เพื่อแสดงถึงความรักที่มั่นคงต่อกัน แถมยังมีผลงานประติมากรรมของศิลปินท้องถิ่นประดับไว้ให้ชมและถ่ายรูปกันด้วยค่า ว่าแล้วก็ขอไปหาคู่มาคล้องกุญแจแป๊บบบบ >,<


เที่ยวทะเลสาบเบลด (Lake Bled)
ทะเลสาบเบลดที่สุดแสนโรแมนติก~ อยู่ในเมืองเบรด เมืองพักผ่อนที่มีความสวยงามอันดับต้นๆ ของสโลวีเนีย และยังเคยได้รับรางวัลชนะเลิศเมืองรีสอร์ทของโลกด้วยจ้า อยู่ห่างจากเมืองลุบเบลียน่าแค่ประมาณ 55 กิโลเมตร ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาอันอุดมสมบูรณ์ ไฮไลท์ของเมืองนี้นอกจากความเงียบสงบไม่วุ่นวาย ก็คือทะเลสาบที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งโบฮินจ์ (Bohinj Glacier) แต่ไม่ได้มาจากการละลายของธารน้ำแข็งเหมือนทั่วๆ ไปนะคะ แต่มาจากบ่อน้ำร้อนใต้ดินหลายแห่ง น้ำในทะเลสาบแห่งนี้จึงใสสะอาด เป็นสีเขียวมรกต อมฟ้านิดๆ น้ำเงินหน่อยๆ มีพื้นที่ความกว้างประมาณ 1,380 เมตร ยาว 2,120 เมตร และลึกลงไปเกือบ 30 เมตร เรียกว่าลึกใช้ได้เลยทีเดียววว.. พื้นที่รอบทะเลสาบเบลดนั้นมีเส้นทางให้เราได้ชมวิวกันไปรอบๆ มุมไหนก็สวยก็ปังไปหมด มีโรงแรมให้เลือกพักมากมาย เป็นสวรรค์สำหรับคู่รักฮันนีมูน รวมถึงจุดหมายปลายทางสำหรับนักเดินทางผจญภัย ยิ่งตอนเย็นๆ ที่แสงของดวงอาทิตย์อ่อนๆ ตกกระทบผืนน้ำเป็นภาพที่งดงามเกินจะบรรยายจริงๆ ค่ะ รู้สึกเหมือนได้ชาร์จแบตได้รับพลังไปแบบเต็มๆ !! >3<กิจกรรมหลักๆ ก็คือเดินเล่นชมวิว นั่งปิกนิก จิบกาแฟเพลินๆ ทานอาหารที่ร้านบรรยากาศดีๆ ริมทะเลสาบ บางคนก็ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ พายเรือคายัค ทะเลสาบแห่งนี้ใช้จัดแข่งเรือพายชิงแชมป์โลกมาแล้วหลายครั้งนะจ๊ะ ;) ในช่วงฤดูหนาว บริเวณหน้าทะเลสาบจะมีลานสเก็ตน้ำแข็ง มีเด็กๆ มาเล่นกันอย่างสนุกสนานเลยค่า
นอกจากนี้ตรงกลางทะเลสาบยังมีเกาะ Bled Island ใครอยากจะนั่งเรือไปที่เกาะก็มีเรือให้บริการค่ะ บนเกาะมีโบสถ์พระแม่มารีหรือโบถส์อัสสัมชัญ (Assumption of Mary) ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 11 มีการประดับตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่ได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี นอกจากจะเป็นศาสนสถานแล้วยังเป็นสถานที่สำหรับจัดงานแต่งงานยอดฮิต ธรรมเนียมของที่นี่ก็คือ เจ้าบ่าวจะต้องอุ้มเจ้าสาวขึ้นบันไดทั้งหมด 99 ขั้น ตั้งแต่ท่าเรือจนถึงประตูโบสถ์ และเจ้าสาวจะต้องไม่ส่งเสียงดังใดๆ จะทำให้ชีวิตคู่นั้นรักกันยืนยาวววววว~ ใครคิดจะมาแต่งงานที่นี่ก็อย่าลืมฝึกกำลังแขนไว้นะคะ อิอิ


ปราสาทเบลด (Bled Castle) ปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดในสโลวีเนีย มีอายุกว่าพันปีเลยค่ะ ตั้งอยู่บนหินผาสูงเหนือทะเลสาบเบลด ดูเป็นเมืองในเทพนิยายแบบสุดๆ ข้างในปราสาทจะมีการจัดแสดงประวัติของประเทศและของเก่าโบราณที่ขุดพบในเมือง มีพิพิธภัณฑ์ ห้องแกลอรี่ ร้านค้า ร้านอาหาร สามารถชมความขลังในอดีตและวิวทะเลทะเลไปพร้อมๆ กันได้ ซึ่งแต่ละฤดูกาลก็จะสวยแตกต่างกันไปค่ะ มองออกไปจะเห็นเป็นสีเหลืองส้มในฤดูใบไม้ร่วง สีเขียวในฤดูใบไม้ผลิ และฤดูหนาวที่หิมะตกบนทะเลสาบ ภูเขาที่รายล้อมก็พร้อมจะเปลี่ยนเป็นสีขาวเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ ค่า


เที่ยวทะเลสาบโบฮินจ์ (Bohinj Lake)
ทะเลสาบโบฮินจ์ เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุด!!ในประเทศสโลเวเนียค่า เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็ง Glacial Lake ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสโลวีเนีย ตั้งอยู่ระหว่างหุบเขาโบฮินจ์แห่งจูเลียนแอลป์ที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,000 เมตร อยู่ห่างจากเมืองเบลดมาประมาณ 45 นาที น้ำที่นี่สีเขียวเข้ม ใสสะอาด บรรยากาศรอบๆ คือ 10!! 10!! 10!! ดีงามมากกกก บรรยากาศแนวชนบทยุโรป มีทุ่งดอกไม้บานเต็มทุ่ง เหมือนได้หลุดเข้ามาในนิยาย >,< ยิ่งในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ เพราะสโลวีเนียก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีใบไม้เปลี่ยนสีสวยที่สุดด้วยค่า!! จนมีเรื่องเล่าว่า มีคนได้เจออกาธา คริสตี (Agatha Christie) นักเขียนหญิงชาวอังกฤษที่ได้รับการยกย่องเป็นราชินีแห่งนวนิยายอาชญากรรมซึ่งเคยมาพักผ่อนที่นี่ และได้ถามไปว่าจะเขียนนวนิยายเกี่ยวกับทะเลสาบโบฮินจ์แห่งนี้และวิถีชนบทต่างๆ บ้างหรือเปล่า? เธอตอบว่าความสวยงามของโบฮินจ์สวยเกินกว่าจะมาฆาตกรรมใครแถวนี้.. หูยยยยยยย สวยจริงไม่อวยยยยริมทะเลสาบมีโบสถ์ดั้งเดิมตั้งเป็นสง่าอยู่ช่วยเสริมความอลังการ รอบๆ ยังมีเส้นทางเดินมากมายซึ่งเป็นเหมือนสวนสนุกกลางแจ้งที่นิยมของเหล่านักท่องเที่ยวที่หลงใหลในธรรมชาติ ทั้งการเดินป่า ส่องนก ปีนเขา ปั่นจักรยาน ขี่ม้า พายเรือ ล่องแก่ง พาราไกลเดอร์จากแนวเขา ในหน้าร้อนสามารถลงเล่นน้ำว่ายน้ำ และเล่นสกีในฤดูหนาวได้ด้วยจ้า






เที่ยวเมืองไพราน (Piran)
เมืองไพราน เป็นเมืองตากอากาศสุดเลิศ อยู่ริมอ่าวพิราน ทะเลเอเดรียติก (Adriatic) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสโลวีเนียค่ะ เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมยุคกลางอันล้ำค่า และความสวยงามของบ้านเมืองที่เหมือนราวกับภาพวาด เนื่องจากเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเวนิสเลยมีกลิ่นอายของอิตาลีอยู่และได้รับการอนุรักษ์ดูแลไว้เป็นอย่างดี เมื่อก่อนที่นี่ใช้ภาษาอิตาเลียนกันนะคะ จนถึงศตวรรษที่ 20 ชาวสโลวีเนียนเข้ามาอยู่มากขึ้นก็เลยเปลี่ยนเป็นพูดสโลวีนไปค่ะ ปัจจุบันไพรานเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา ริมอ่าวมีทั้งเรือเล็ก เรือใหญ่จอดเรียงกันยาวไปจนสุดทางตามแนวตึกสไตล์ Venetian Gothic ที่ถอดแบบมาจากเมืองเวนิสในอิตาลี เต็มไปด้วยบาร์ ร้านอาหารที่มีอาหารทะเลสดๆ และร้านกาแฟที่มองเห็นวิวชายทะเล ชื่อ Piran นั้นมีรากมาจากภาษากรีก หมายถึงไฟ เพราะว่าในอดีตมีแสงไฟส่องสว่างเพื่อใช้เป็นแนวนำทางให้กับเรือนั่นเองค่ะลักษณะเมืองเป็นเอกลักษณ์ คุมโทนสุดๆ หลังคานี่เด่นมาแต่ไกล ตัวบ้านสีขาว หลังคาสีส้มแดงตัดกับน้ำทะเลสีน้ำเงิน ทางเดินหินแคบๆ และกำแพงหินเก่าแก่ นึกว่าเดินอยู่ในเขาวงกตเลยค่ะ แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทาง เพราะเดินๆ เลาะเส้นทางแคบนี้ไปยังไงก็จะโผล่ออกมาที่ริมทะเลอยู่ดี เป็นเมืองเล็กๆ ที่เดินเที่ยวแป๊บเดียวก็ทั่วแล้วจ้า ถ้าเราเดินขึ้นเนินไปจะเจอ Walls of Piran ป้อมกำแพงเมืองซึ่งเป็นจุดชมวิวขั้นเทพ! จุดถ่ายรูปที่สวยเว่อออ สามารถชมวิวพาโนรามาได้อย่างเต็มอิ่ม ผู้คนชอบขึ้นมาชมพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่ค่ะ




จัตุรัสตาร์ตินี (Tartini Square) ลานกลางแจ้งที่ไม่เคยเงียบเหงา ใช้เป็นที่พบปะนัดเจอตั้งแต่สมัยก่อน ตอนเย็นๆ นี่อย่างกับสนามเด็กเล่นเลยค่ะ ทั้งปั่นจักรยาน สกู๊ตเตอร์ เตะบอล สเก็ตบอร์ด และกิจกรรมกลางแจ้งอื่นๆ รวมถึงชาวพื้นเมืองมาตั้งร้านขายของ พวกของแฮนด์เมดเก๋ๆ เครื่องประดับสวยๆ จะบอกว่าจัตุรัสแห่งนี้ได้ตั้งชื่อตามนักไวโอลินและนักประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียนชื่อดัง จูเซปเป้ ตาร์ตินี (Giuseppe Tartini) จะมีรูปปั้นอนุสาวรีย์อยู่ใจกลางจตุรัสเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาด้วยค่ะ

.jpg?1606822392538)

เที่ยวอุทยานแห่งชาติทริเกลา (Triglav National Park)
มาสัมผัสกับความงามบริสุทธิ์และทัศนียภาพทางธรรมชาติอันตระการตากันที่ อุทยานแห่งชาติทริเกลา ตั้งอยู่ในแถบเทือกเขาจูเลียนแอลป์ (Julian Alps) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสโลวีเนีย ไม่ไกลจากชายแดนอิตาลีและออสเตรีย นอกจากเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งเดียวในสโลวีเนียแล้วยังเป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปด้วยค่า ไม่แปลกใจเลยที่ชาวสโลวีเนียนจะหวงอุทยานแห่งนี้ม๊ากกก มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมอาณาเขตมากกว่า 840 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 4 ของประเทศเลยล่ะค่า ได้รับการคุ้มครองเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1924 อุดมสมบูรณ์ไปด้วยภูเขา ป่าไม้ ทุ่งหญ้า แม่น้ำลำธาร น้ำตก ที่โดนใจหญิงปุ๊กเลยก็คือทะเลสาบ เป็นทะเลสาบน้ำใสกิ๊งงงราวกับกระจก ใครชอบถ่ายภาพสะท้อนน้ำนี่ต้องยกให้ที่นี่เลยค่ะ จะมาเที่ยวฤดูไหนก็ดีงามไปหมด แสงสวยๆ ในฤดูใบไม้ร่วง มีหิมะขาวๆ ให้เล่นสกีในฤดูหนาว และในฤดูใบไม้ผลิจะได้ฟินกับสีสันของดอกไม้บานทั่วหุบเขา มานั่งชิลๆ ลมพัดเย็นสบายยย~ สูดออกซิเจนให้เต็มปอด ดื่มด่ำกับบรรยากาศได้ทั้งวัน ยิ่งใครมีคู่มาเดินจูงมือกันนะ ทะเลสาบต้องกลายเป็นสีชมพูววววว >,<ที่อุทยานแห่งชาติทริเกลาก็นิยมสำหรับผู้ชื่นชอบกิจกรรมเอาท์ดอร์ เพราะเขามีกิจกรรมมากมายให้ทำเลยค่ะ เช่น ขี่จักรยาน เดินป่า ปีนเขา ล่องเรือ พายเรือ ตกปลา ว่ายน้ำ พาราไกลดิ้ง เหมาะแก่การมาพักผ่อนหย่อนใจในช่วงสุดสัปดาห์ และยังเป็นสถานที่ฮันนีมูนสำหรับคู่รักที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายด้วยนะจ๊ะ มีบริการที่พักอย่างดี วิวแจ่ม คู่ข้าวใหม่ปลามันที่ต้องการไปสวีทเบาๆ ท่ามกลางธรรมชาติไม่ผิดหวังแน่นอนนน
ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานจะแตกต่างกันไปตามกลุ่มอายุของแต่ละคน สำหรับผู้ใหญ่ 9 EUR สำหรับนักเรียน 5 EUR สำหรับเด็กที่มีอายุมากกว่า 6 ปี 3 EUR และต่ำกว่า 6 ปี 1 EUR








เที่ยววินท์การ์ จอร์จ (Vintgar Gorge)
วินท์การ์ จอร์จ ธารน้ำใสแห่งดินแดนยุโรปใต้!! *0* ตั้งอยู่ระหว่างเมืองจอร์จและเมืองเบรด ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสโลวีเนียค่ะ อยู่ท่ามกลางหุบเขาเล็กใหญ่ที่สลับทับซ้อนกันอย่างน่ามหัศจรรย์ โดยมีธารน้ำแสนสวยนี้ไหลผ่าน ซึ่งถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1891 โดยนายกเทศมนตรีของเมืองจอร์จชื่อว่า Jakob Sumer และตากล้องของเขา Benedikt Lergetporer ต่อมาจึงได้สร้างสะพานไม้ขึ้นเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมความใสแจ๋วของลำธารนี้ได้ง่ายขึ้น เราสามารถเดินลัดเลาะตามทางเดินไม้ริมธารน้ำนี้ได้เป็นระยะทางยาวประมาณ 1.6 กิโลเมตร หุบเขามีความลึกในบางช่วงระหว่าง 50 - 100 เมตร บริเวณหุบเขามีทางรถไฟรูปโค้งซึ่งเป็นทางรถไฟสำหรับ Bohinj Railway ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1904 ซึ่งถือเป็นทางรถไฟหินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสโลวีเนียอยู่ด้วยค่ะเดินเล่นชมลำธารสีสวย ชื่นชมทัศนียภาพธรรมชาติไปเรื่อยๆ ก็จะเจอฝายกั้นน้ำกับน้ำตก Sum Fall ซึ่งเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในสโลวีเนีย ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในเทพนิยายยังไงอย่างนั้นเลยค่า >,< ยิ่งถ้าใครที่มาในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีนะ ยิ่งสวยเวอร์สวยวังสวยอลังการรรร! เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการผจญภัย เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ หรือจะมาดื่มด่ำบรรยากาศ ถ่ายรูปเล่นสวยๆ ก็ได้ฟีลธรรมชาติแบบเต็มที่ไปเล้ยยย







เที่ยวถ้ำชคอกยาน (Skocjan Caves)
ถ้ำชคอกยาน ติดอันดับสุดยอดถ้ำที่ต้องมาเยือนของโลก! เพราะเป็นถ้ำหินปูนที่มีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของสโลวีเนีย และยังเป็นหนึ่งในสถานที่สำหรับใช้ศึกษาปรากฏการณ์คาร์ซท์ (Karstic Phenomena) ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกด้วยค่า คาร์ซท์ก็คือภูมิประเทศที่ประกอบด้วยชั้นหินที่ละลายน้ำได้ โพรง ถ้ำและธารน้ำใต้ดินนั่นเองค่ะ บริเวณถ้ำล้อมรอบไปด้วยป่าที่มีระบบนิเวศสมบูรณ์และยังคงความงดงามทางธรรมชาติเอาไว้ ที่สำคัญยังมีการค้นพบร่องรอยอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์มากมาย นับเป็นถ้ำที่มีความสำคัญมากจริงๆ ค่ะโดยถ้ำชคอกยานแห่งนี้เกิดขึ้นโดยหลุมธรรมชาติที่ถล่มไปเมื่อนานมาแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 60 ล้านปีก่อนแน่ะ เป็นถ้ำขนาดใหญ่อยู่ภายใต้เทือกเขาหินปูน มีความยาวถึง 35 กิโลเมตร ขนาดใหญ่มากจนนิตยสาร Smithsonian ได้ขนานนามว่า “The Underground Grand Canyon” โดยมีทางเดินหลายเส้นทาง ทางเดินใต้ดินยาว 6 กิโลเมตร และลึกกว่า 200 เมตร มีการติดตั้งแสงสว่างเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถชมความงดงามของถ้ำได้อย่างสะดวกสบายด้วยค่ะ อากาศด้านในก็ประมาณ 12 องศา กำลังเย็นๆ แต่เดินเรื่อยๆ ก็แอบมีร้อนมีหอบเหมือนกันนะ 5555
ตลอดทางเดินจะเห็นน้ำตกมากมายหลายสาย แต่เสียดายที่ด้านในถ้ำเขาห้ามถ่ายรูป.. ถ้ำนี้เท่าที่มองด้วยตาคือสมบูรณ์มาก ทั้งหินงอกหินย้อยที่มีอายุหลายล้านปี และแท่งหินที่เป็นเสาใหญ่ๆ หลายอัน สวยอย่างกับหินที่ตั้งใจแกะสลักลวดลายมาโชว์ แต่นี่คือธรรมชาติที่สร้างสรรค์ *0* จนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกจากยูเนสโก้ ในปี ค.ศ. 1986 ไปครองจ้า






เที่ยวเมืองโคเพอร์ (Koper)
โคเพอร์ เมืองท่าชายทะเลที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด และเป็นท่าเรือสำคัญอันทันสมัยของสโลวีเนียค่า ชื่อเสียงเรียงนามของเมืองโคเพอร์นั้นบอกเลยว่าโด่งดังไม่เบาาา ตั้งอยู่ติดกับชายแดนอิตาลี สามารถมองเห็น Say Hello กันได้เลย >3< มีทางหลวงเชื่อมถึงกันด้วยนะคะ ที่สำคัญคือมีชายทะเลที่ติดกับเส้นทางคมนาคมสำคัญที่เชื่อมระหว่างยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก บริเวณท่าเรือจะเต็มไปด้วยเรือสินค้าที่หลั่งใหลกันมาเทียบท่า เรียกว่าเป็นเมืองท่าหลักของประเทศเลยก็ว่าได้ค่ะ และยังเป็นท่าเรือพาณิชย์แห่งเดียวที่มีเรือสินค้าจากตะวันออกกลางญี่ปุ่นและเกาหลีเดินทางมาถึงอีกด้วย ส่วนตัวเมืองจะเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิค ได้บรรยากาศแบบเวเนเชียนผสมความเป็นอิตาเลียน ทั้งตัวอาคารบ้านเรือน อาหาร ดนตรี แถมยังใช้สองภาษาทั้งอิตาลีและสโลวีเนีย ตัวเมืองเก่ามีบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ มีการเก็บรักษาอนุสรณ์สถานมากมายตั้งแต่สมัยยังเป็นสาธารณรัฐเวเนเชียน ทั้งพระราชวัง หอศิลป์ที่มีคอลเล็กชันภาพวาดสมัยศตวรรษที่ 15 โบสถ์อัสสัมชัญขนาดใหญ่ในสมัยศตวรรษที่ 18 ตัวอาคารสีขาวคลาสสิกในแบบโรมัน-โกธิค รวมไปถึงหอระฆังที่สามารถชมวิวเมืองได้แบบชัดแจ๋ว
และอาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดในโคเพอร์อย่างเพรโตเรี่ยน พาเลซ (Praetorian Palace) อาคารศาลาว่าการเมือง ที่ถูกก่อสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 สไตล์เวนิสโกธิค เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีความสำคัญทางด้านสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ของเมือง และถูกใช้ในงานสำคัญๆ หลายอย่าง เช่น งานแต่งงาน การประชุมสภา เป็นต้น อยู่ที่จัตุรัสใจกลางเมือง ติโต สแควร์ (Tito Square) มานั่งจิบกาแฟหอมๆ ชมวิวเมืองและสถาปัตยกรรมของปราสาทเก่าๆ ก็ฟินแล้วจ้า
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้งที่นี่ก็มีสวนน้ำขนาดใหญ่สำหรับทุกเพศทุกวัย มีสปารีสอร์ทเพื่อสุขภาพ มีแหล่งช้อปปิ้งและคาเฟ่ทันสมัย ที่พักแจ่มๆ ให้เลือกเพียบ หรือใครชอบปีนเขา ก็มีหน้าผาสูงชันสำหรับปีนเขามากมาย ต่อด้วยชมความงามของชายฝั่งทะเลเอเดรียติก ในช่วงฤดูร้อนจะมีเทศกาลประจำเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุด เป็นเทศกาลร้องเพลงประสานเสียงกันริมทะเล มีการรวบรวมกลุ่มดนตรีมากมายจากสโลวีเนียและประเทศอื่นๆ สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาที่สุดบนชายฝั่งสโลวีเนีย ;) เชื่อว่าใครได้มาเยือนต้องหลงเสน่ห์เมืองท่าแห่งนี้แน่นอนค่า








เที่ยวถ้ำโพสทอยน่า (Postojna Cave)
ถ้ำโพสทอยน่า เป็นถ้ำหินปูนที่เกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำใต้ดินจนกลายเป็นระบบถ้ำขนาดใหญ่! อายุมากกว่า 5 แสนปี!! และยังเป็นถ้ำเดียวในโลกที่มีรถรางใต้ดินไว้ใช้เดินทางภายในถ้ำจ้า สุดปังงงง มีที่ตั้งอยู่ในที่ราบสูงคาร์ซท์ (Karst) ระหว่างเทือกเขาแอลป์กับทะเลเอเดรียติก ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสโลวีเนีย บริเวณนี้เป็นชั้นหินปูนที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ถึง 429 ตารางกิโลเมตร!! เส้นทางภายในมีความยาวรวมกันกว่า 24 กิโลเมตร จากปากถ้ำต้องนั่งรถพ่วงเข้ามาอีกเกือบ 4 กิโลเมตร อุณหภูมิเริ่มลดลงเรื่อยๆ จนถึงประมาณ 10 องศา ติดเสื้อกันหนาวมากันด้วยนะคะ ^^’ เส้นทางเดินทำไว้ดีมาก เดินดีไม่สะดุด 5555 สามารถมาได้ทั้งเด็ก คนชรา หรือผู้ที่ต้องใช้รถเข็นก็ได้เช่นกันค่า เราจะเห็นโครงสร้างที่ถูกสร้างโดยธรรมชาติ เป็นห้องโถงขนาดใหญ่และเล็กมากมาย ประดับประดาด้วยหินงอกหินย้อยอันงดงามหลากหลายรูปแบบ มีที่ห้อยลงมาจากเพดานเป็นเส้นเล็กๆ เหมือนเส้นสปาเก็ตตี้ ยิ่งตอนสะท้อนกับแสงไฟ วิบวับๆ ราวกับอัญมณีเลยค่า ไฮไลท์คือหินงอกสีขาวบริสุทธิ์ที่มีชื่อว่า Brilliant มีความสูงถึง 5 เมตร *0* จนได้รับฉายาว่าราชินีแห่งถ้ำ (Queen of Caves) จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดสโลวีเนีย ถ้ำโพสทอยน่าแห่งนี้เปิดมาแล้วถึง 200 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1818 และมีนักท่องเที่ยวเข้าชมแล้วกว่า 38 ล้านคน!!







เมื่อเดินจนถึงทางออก จะเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีร้านขายของที่ระลึก และ Vivarium ซึ่งจะมีการจัดแสดงสัตว์ประจำถิ่นที่พบได้ภายในถ้ำ เช่น แมลง และปลา พร้อมทั้งป้ายบรรยายข้อมูลทางธรณีวิทยาของถ้ำ แต่ที่โด่งดังที่สุดคือ ปลามนุษย์ (Human Fish) หรือโอล์ม (Olm) จัดเป็นสัตว์ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารของระบบนิเวศน์ภายในถ้ำ ไม่มีตา ผิวหนังสีขาวซีดและโปร่งแสง ลำตัวยาวประมาณ 25-30 ซม. อาศัยอยู่ในแอ่งน้ำในถ้ำที่มืดสนิท ความพิเศษของมันคือใช้ผิวหนังในการรับรู้สภาพแวดล้อม สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหารถึง 12 ปี และมีอายุยืนราว 100 ปี โอ้โหหห นี่ตัวอะไรครับเนี่ยย!? มองหน้าชัดๆ หนูน่ารักใช่มั้ยฮับ? >,< (หรอออออ)


เครดิตรูปภาพจาก https://alchetron.com/Olm, https://www.itinari.com/slovenian-baby-dragons-aka-the-human-fish-ui7n
เที่ยวปราสาทถ้ำเพรดจามา (Predjamski Castle)
ปราสาทถ้ำเพรดจามา อายุกว่า 700 ปี ถือเป็น 1 ใน 10 ปราสาทที่หาดูได้ยากของโลก! ความโดดเด่นอยู่ตรงที่ตัวปราสาทถูกสร้างให้อยู่รวมไปกับถ้ำ มีความสวยงามและแปลกตากว่าปราสาทอื่นๆ และยังถูกบันทึกโดย Guinness World Records ว่าเป็นปราสาทถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย!! โดยสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1274 โดยพระสังฆราชของอิตาลี Patriarch of Aquileia ในสไตล์โกธิค เนื่องจากปราสาทนี้ตั้งอยู่ในถ้ำ จึงมีทางลับต่างๆ เยอะมากกกกก แถมยังเชื่อมไปยังถ้ำอื่นๆ มากมาย รวมถึงถ้ำ Postojna Cave ด้วยจ้า ในประวัติเล่าว่าปราสาทแห่งนี้เคยเป็นที่พำนักของอัศวินเออราเซม ลูเกอร์ (Knight Erazem Lueger) ลูกชายของผู้ปกครองเมืองทรีเอสเต้ในสมัยนั้น เออราเซมมีความขัดแย้งกับฝ่ายราชวงศ์ฮับส์บวร์ก (Habsburg) และใช้ปราสาทนี้เป็นสถานที่ต่อสู้ จึงถูกราชวงศ์วงปิดล้อมทางเข้าออก แต่เออราเซมก็ยังสามารถอยู่รอดได้เป็นปี เพราะได้รับเสบียงอาหารที่ส่งมาจากทางลับนั่นเองค่ะ ในเดือนกรกฎาคมของทุกปี ที่ปราสาทจะมีการจัดแสดงจำลองเหตุการณ์ครั้งที่อัศวิน ต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามราชวงศ์ฮับส์บวร์กนี้ให้ชมกัน เรียกว่า Medieval Game และมีกิจกรรมดนตรี ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนานเลยค่าใครที่มาเที่ยวชมในช่วงอิสเตอร์ จะเห็นพวกดอกท้อ ดอกเชอรี่ ดอกเกาลัดออกดอกกันบานสะพรั่ง ยิ่งเพิ่มความงดงามให้แก่ปราสาทขึ้นไปอีก ปัจจุบันเป็นปราสาทถ้ำเพียงแห่งเดียวในยุโรปที่หลงเหลืออยู่ ต้องชื่นชมในคนสมัยก่อนจริงๆ ค่ะ เห็นแล้วต้องอ้าปากค้างงงงไปตามๆ กัน *0* นี่สินะ คือที่มาของคำว่าสวยงามดั่งหินผา..





