30 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ ตอน 2
เที่ยว 30 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ ตอน 2 ประเทศไอซ์แลนด์นอกจากจะดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยธรรมชาติของธารน้ำแข็ง ภูเขาน้ำแข็ง น้ำพุร้อน ต่างๆ แล้ว น้ำตกก็โด่งดังไม่แพ้กันจ้า จะมาเที่ยวช่วงไหนก็สวยยย และมีเสน่ห์เฉพาะตัว ทำให้นักท่องเที่ยวที่เคยมา ต้องติดใจจนกลับมาเยือนอีกครั้งแน่นอนค่า เรามาดูอีก 13 อันดับที่เหลือกันเลยยย
ล่าแสงเหนือ (Northern Lights)
ใครใฝ่ฝันที่อยากจะมา ล่าแสงเหนือ ด้วยตัวเองบ้างคะยกมือขึ้นนนน!~ >,< แสงเหนือหรือแสงออโรร่า ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากลมสุริยะที่ดวงอาทิตย์ปล่อยออกมาปะทะกับโมเลกุลในชั้นบรรยากาศของโลก จนเกิดการถ่ายเทพลังงานกลายเป็นลำแสงสีต่างๆ พาดผ่านท้องฟ้าที่งดงามมมม ทั้งสีเขียว สีม่วง สีแดง สีชมพู สีส้ม สีน้ำเงิน ขึ้นอยู่กับชนิดของธาตุที่แตกตัวออกมา และหาดูกันไม่ได้ง่ายๆ นะจ๊าขอบอกแต่ถ้ามาที่ไอซ์แลนด์ก็ไม่ผิดหวัง ;) เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในการมาล่าแสงเหนือของนักท่องเที่ยว เพราะประเทศตั้งอยู่ต่ำกว่าเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลแค่นิสสสเดียวเท่านั้น คือละติจูด 64° เหนือ ถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่พอเหมาะพอเจาะมากในการมาชมแสงเหนือ บวกกับวิวภูเขาที่สวยงาม และยังสามารถมองเห็นได้เกือบทั้งปีแน่ะ คือตั้งแต่ประมาณต้นเดือนกันยายนไปจนถึงปลายเดือนเมษายน พีคๆ ช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงกุมภาพันธ์ แต่ต้องเป็นคืนที่มืดสนิทมากที่สุด มีแสงสว่างน้อยยยยที่สุด ยิ่งท้องฟ้าโปร่งไม่มีเมฆคือจะเห็นชัดมากค่า
แนะนำที่ฟยอร์ดทางตะวันตก (Westfjord) หรือทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์ (North Iceland) เลยค่ะ เพราะแถบนี้จะมีช่วงกลางคืนยาวนานกว่า หรือจะบริเวณแถวชานเมืองของเมืองเรคยาวิก (Reykjavík) ก็ยอดฮิตไม่แพ้กัน และอุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park) เป็นต้นค่ะ
กิจกรรมในการล่าแสงเหนือก็มีหลายวิธี ไม่ว่าจะออกไปชมท่ามกลางธรรมชาติโดยมีไกด์ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล บางที่ก็สามารถมองเห็นได้จากโรงแรมที่พักได้เลย หรือจะล่องเรือชมแสงเหนือก็ฟินไปอีกแบบจ้า ยิ่งบางคนโชคดีมีแต้มบุญสูงอาจจะได้เห็นแสงเหนือจากบนเครื่องบินก็ได้นะ
เที่ยวภูเขาคีร์กจูเฟล (Kirkjufell)
ภูเขาคีร์กจูเฟล ชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า Church Mountain หรือภูเขาโบสถ์ ชื่อนี้ได้แต่ใดมา? จะบอกว่ามาจากรูปร่างของภูเขาที่คล้ายกับระฆังโบสถ์นั่นเองค่า แต่ส่วนใหญ่มองว่าคล้ายกับหมวกของแม่มดมากกว่า.. ตัวภูเขาสูง 463 เมตร ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ทางทิศตะวันตกของไอซ์แลนด์ ใกล้กับเมืองกรุนดาร์ฟยอร์เดอร์ (Grundarfjorour) มีลักษณะเป็นชั้นๆ ต่างสีกัน ชั้นบนเป็นหินลาวา ส่วนชั้นล่างสุดเป็นฟอสซิล ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคน้ำแข็งหลายล้านปีมาแล้วความฟินของนักท่องเที่ยวก็คือไม่ว่าจะมาเที่ยวชมช่วงไหนก็ปัง! เพราะวิวและบรรยากาศรอบๆ งดงามตลอดทั้งปี ช่วงฤดูร้อนเราก็จะได้เห็นภาพความเขียวขจี สดชื่นนนนสุดๆ และช่วงฤดูหนาวจะปกคลุมไปด้วยหิมะเป็นสีขาวโพลน โรแมนติกไปอีกแบบ ส่วนตอนกลางคืนที่มืดสนิทก็เหมาะสำหรับถ่ายภาพแสงเหนือด้วยจ้า *0*
ภูเขาคีร์กจูเฟลนี้เหมาะกับการมาชมวิวพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น แถมยังเป็นสถานที่สุดฮิตของนักไต่เขาด้วยนะ โดยยอดเขาทางด้านทิศใต้จะชันน้อยกว่าทางทิศเหนือ ด้านล่างของภูเขาจะมีทะเลสาบ ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งเราจะเห็นภาพของภูเขาสะท้อนอยู่ในน้ำ สวยงามมากๆ เรียกได้ว่าดึงดูดช่างภาพมืออาชีพจากทั่วโลกมาเยือนแบบไม่ขาดสาย เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดของไอซ์แลนด์ และยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Game of Thrones ซีซั่น 6 และ 7 อีกด้วยค่า
ใกล้ๆ กันมีน้ำตกคีร์กจูเฟลสโฟส (Kirkjufellsfoss) ตัวน้ำตกถึงจะไม่ได้ใหญ่โตหรือสูงมาก แต่ความงดงามอยู่ตรงน้ำที่ไหลตกลงมาแบ่งเป็นสามส่วน โดยฉากหลังเป็นภูเขาคีร์กจูเฟล เข้ากั๊นนนเข้ากันอย่างลงตัว จนเกิดเป็นภาพเอกลักษณ์ของไอซ์แลนด์ งานโปสการ์ดต้องมาแล้วล่ะจุดนี้ >,<
โบสถ์ Grundarfjörður เปิดใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1961 ใช้เวลาในการสร้างนานถึง 5 ปี นอกจากจะใช้ทำพิธีทางศาสนา ยังเป็นสถานที่เก็บรักษา The Gudbrand Bible พระคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดในไอซ์แลนด์ ซึ่งตีพิมพ์ในประเทศโดยชาวไอซ์แลนด์ เพราะว่าเนื้อหาทางศาสนาก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่จะถูกจารึกด้วยภาษาเดนมาร์ก พระคัมภีร์เล่มนี้จึงมีบทบาทสำคัญในการรักษาภาษาไอซ์แลนด์ไว้นั่นเองค่ะ
เครดิตรูปภาพจาก https://palanla.com
เที่ยวอุทยานแห่งชาติสแนเฟลส์โจกุล (Snæfellsjökull National Park)
อุทยานแห่งชาติสแนเฟลส์โจกุล เป็น 1 ใน 3 อุทยานแห่งชาติห้ามพลาดของไอซ์แลนด์เลยค่า! อยู่ทางตะวันตกของประเทศ บริเวณปลายสุดของคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส (Snæfellsnes) ห่างจากเมืองเรคยาวิกมาประมาณ 200 กิโลเมตรค่ะ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 2001 เพื่อปกป้องและอนุรักษ์ธรรมชาติรอบๆ ทั้งพืชพื้นเมือง สัตว์ท้องถิ่นต่างๆ รวมไปถึงโบราณวัตถุที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ นักท่องเที่ยวสามารถมาดื่มด่ำชมธรรมชาติได้อย่างอิสระและใกล้ชิดแบบสุดๆ เหมาะกับการหนีความวุ่นวายมาพักกายพักใจกับป่าเขา~ เป็นอุทยานแห่งเดียวในไอซ์แลนด์ที่ทอดยาวไปในทะเล มีหน้าผาและโขดหินบะซอลต์มากมาย เกิดขึ้นจากลาวาภูเขาไฟที่แข็งตัวและถูกกัดกร่อนจากน้ำทะเลกลายเป็นรูปทรงเก๋ๆ แปลกตา *0*หญิงปุ๊กเชื่อว่าสายรักธรรมชาติและสายผจญภัยจะต้องฟินอย่างแน่นอนค่า เพราะอุทยานแห่งนี้มีเส้นทางเดินป่าที่สวยงามและทัศนียภาพที่หลากหลาย มีทั้งชายหาด น้ำตก ปล่องภูเขาไฟ Snaefellsjokull ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่มีชื่อเสียงที่สุดในไอซ์แลนด์ ทัวร์ถ้ำวาท์ทเฮลลิร์ (Vatnshellir) ที่มีอายุราว 8,000 ปี หรือจะชมวาฬและนกสายพันธุ์ชายฝั่งทะเลมากมาย เช่น นกคิตติเวค และนกประจำชาติของไอซ์แลนด์อย่างนกพัฟฟิน ถ้าใครโชคดีก็จะได้เห็นแมวน้ำด้วยนะจ๊า
ไฮไลท์สุดปังของที่นี่ก็คือ ธารน้ำแข็งสไนล์แฟลสโจกุล (Snaefellsjokull Glacier) ธารน้ำแข็งอันยิ่งใหญ่ที่ตั้งอยู่บนภูเขาไฟ สูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 1,446 เมตร ปกคลุมปล่องภูเขาไฟที่ความลึก 200 เมตร โดยตัวภูเขาไฟก่อตัวจากการระเบิดเมื่อราวๆ 8 แสนปีที่แล้ว จนเกิดเป็นภูเขาไฟสลับชั้น เป็นภูเขาไฟชนิดเดียวกับภูเขาไฟฟูจินั่นเองค่ะ ว่ากันว่าภูเขาไฟแห่งนี้เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของโลก! ในวันที่ท้องฟ้าโล่งๆ แจ่มใสสามารถมองเห็นเมืองเรคยาวิก ไปจนถึงฝั่งของกรีนแลนด์เลยทีเดียวค่า
เที่ยวฟยอร์ดตะวันตก (Westfjords)
ฟยอร์ดตะวันตก ของไอซ์แลนด์ ดินแดนแห่งสวรรค์ ~ เป็นคาบสมุทรขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศค่ะ เต็มไปด้วยความงดงามของธรรมชาติ ลักษณะภูมิประเทศสวยงามแปลกตา ตระการตากับความยิ่งใหญ่ของภูเขา เนินเขาสูงชัน และฟยอร์ดอีกมากมาย แค่นี้ก็กินขาดแล้วจ้าาา เพราะทุกอย่างนั้นสวยงามด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว เป็นพื้นที่ที่มีประชากรเบาบางที่สุดในไอซ์แลนด์ บรรยากาศจึงเงียบสงบ คนไม่พลุกพล่าน งานนี้หญิงปุ๊กขอเป็นนักสำรวจธรรมชาติแบบพี่ติ๊ก เนวิเกเตอร์หน่อยละกันค่ะ! >,< ตามมาเลยยยๆๆๆไฮไลท์ของที่นี่ก็มีทั้งน้ำตก Dynjandi Waterfall เป็นน้ำตกที่สวยและสูงที่สุดในเขตฟยอร์ดตะวันตก, ธารน้ำแข็ง Drangajökull มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศ, Raudisandur หาดทรายสีแดงที่มีชื่อเสียงของไอซ์แลนด์ และหน้าผา Látrabjarg หน้าผานกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยมีความยาวถึง 14 กิโลเมตร มีนกทะเลนับล้านตัวมาวางไข่ที่นี่ค่ะ
และอีกกิจกรรมที่พลาดไม่ได้นั่นก็คือ การดูนกพัฟฟิน (Puffin) สุดน่ารัก ที่ฟยอร์ดตะวันตกแห่งนี้เราสามารถเข้าใกล้นกพัฟฟินได้ใกล้ชิดมากกว่าที่อื่นๆ และจิ้งจอกอาร์กติก (Arctic Fox) สีขนของมันจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศ ในฤดูหนาวก็จะเป็นสีขาวราวกับหิมะ และจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในฤดูร้อน เจ๋งไปเลยใช่ม้าาา
เที่ยวน้ำตกดินจันดิ (Dynjandi Waterfall)
น้ำตกดินจันดิ สถานที่สำคัญของฟยอร์ดตะวันตก (Westfjords) เพราะเป็นน้ำตกที่งดงามที่สุด! และสูงที่สุด! ในเขตนี้จ้า โดย Dunjandi แปลว่าฟ้าร้อง แค่ชื่อก็ยิ่งก็ดูน่าเกรงขามแล้ววว มีความสูงรวมถึง 100 เมตร เป็นน้ำตกหลายชั้น ด้านบนกว้างประมาณ 30 เมตรที่ ด้านล่างกว้าง 60 เมตร น้ำทั้งหมดก็มาจากหิมะบนเขาที่ละลายและไหลลงมา คือถ้าได้มาเห็นด้วยตาจะบอกว่ามันใหญ่บิ๊กเบิ้มมากกกก มองเห็นความอลังการมาแต่ไกล สายน้ำของน้ำตกไม่ได้ไหลทิ้งดิ่งลงมาเร็วๆ เหมือนน้ำตกทั่วไปนะคะ แต่จะค่อยๆ ไหลลงมาช้าๆ~เป็นริ้วบางๆ ใสๆ ตามชั้นหิน บางคนก็บอกว่าคล้ายกับผ้าคลุมเจ้าสาว ^^ยิ่งตอนช่วงพระอาทิตย์ตกจะสวยมากเป็นพิเศษค่า เพราะแสงอาทิตย์จะทำให้บริเวณน้ำตกกลายเป็นสีน้ำตาลอมส้มทั้งหมดเลยยยย ในหนังสือ Lonely Planet Magazine เขียนไว้ว่าเป็น Most Dramatic Waterfall in Westfjord และได้ชื่อว่าเป็นอัญมณีแห่งฟยอร์ดตะวันตกด้วยค่ะ
ระหว่างทางเดินขึ้นไปยังน้ำตกก็จะผ่านน้ำตกเล็กใหญ่มากมาย เช่น Haestahjallafoss, Strompgljufrafoss, Gongumannafoss, Hrisvadsfoss-Kvislarfoss, Hundafoss และ Baejarfoss มีหลายจุดให้หยุดแวะถ่ายรูป มีห้องน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เหมาะสำหรับการเดินป่า และยังมีลานให้ตั้งแคมป์ด้วยนะคะ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวชมน้ำตกดินจันดิ ก็คือช่วงซัมเมอร์ระหว่างเดือนเมษายนถึงกันยายนค่ะ
เที่ยวชายหาดสีแดง (Rauðisandur)
หาด Rauðisandur หรือ Raudasandur อยู่ที่ฟยอร์ดตะวันตกของไอซ์แลนด์ค่า เป็นชายหาดทอดยาวประมาณ 10 กิโลเมตรใกล้ๆ กับหน้าผา Látrabjarg ปกติแล้วชายหาดส่วนใหญ่ในไอซ์แลนด์จะเป็นสีดำ แต่ที่นี่โดดเด่นตรงหาดทรายเป็นสีแดงอันกว้างใหญ่~ และสีของทรายสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศฤดูกาล หรือแสงแดดของแต่ละวันได้ด้วยจ้า บางวันก็เป็นสีส้ม สีเหลือง สีแดงเข้ม บางทีก็เป็นสีชมพู สลับกันไปค่ะ เรียกได้ว่ารูปที่ถ่ายมาในแต่ละวันจะไม่เหมือนกันเลย จนคนต้องงงว่า เอ๊ะ? นี่ที่เดียวกันรึเปล่า 555 โดยสีแดงๆ นี้เกิดจากเปลือกหอยต่างๆ ที่แตกละเอียดและถูกบดโดยคลื่นทะเลนั่นเองค่าRauðisandur ไม่ได้มีไว้เพื่อเล่นกิจกรรมชายหาดเหมือนทั่วๆ ไป แต่เหมาะแก่การมาถ่ายรูป เดินเล่นชิลๆ ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบและธรรมชาติที่สวยงาม ยิ่งตอนช่วงพระอาทิตย์ตก ชายหาดจะถูกอาบไปด้วยแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ เพิ่มความละมุนของชายหาดไปอี๊กกก นอกจากนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของแมวน้ำและนกทะเลหลายชนิด ในช่วงฤดูร้อนสามารถมองเห็นนกพัฟฟินที่บริเวณหน้าผาได้ด้วยนะคะ เป็นจุดชมสัตว์ป่านานาชนิดรวมทั้งแมวน้ำและนกทะเล
ทางที่จะมายังชายหาดจะค่อนข้างสูงชันและแคบมากกก เป็นถนนลูกรังคดเคี้ยว หลายคนเรียกกันว่าเป็นถนนที่น่ากลัวและอันตรายที่สุดในฟยอร์ดตะวันตก ก็ขับกันช้าๆ และระมัดระวังกันด้วยน้า
เที่ยวน้ำตกสวาร์ติฟอสส์ (Svartifoss)
น้ำตกสวาร์ติฟอสส์ ในภาษาไอซ์แลนด์หมายถึง น้ำตกสีดำ (Black Waterfall) อยู่ใน Skaftafell National Park อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไอซ์แลนด์ จุดเด่นอยู่ตรงแท่นหินลาวาสีดำที่ลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ อลังการม๊ากกกกก *0* โดยแท่นหินที่เห็นเป็นหินบะซอลต์สีดำซึ่งเกิดจากการปะทุของลาวา เมื่อค่อยๆ เย็นตัวลงทำให้หินเรียงกันเป็นแท่งสวยงามแปลกตา กลายเป็นกำแพงฉากหลังให้กับน้ำตก สามารถขึ้นไปนั่ง ไปยืนถ่ายรูปได้เลยค่ะ ดีงามซะจนได้ชื่อว่าเป็นไข่มุกแห่งไอซ์แลนด์!! (Pearl of Iceland) ความสวยที่มีเอกลักษณ์นี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับ Guðjón Samúelsson นำไปสร้างประติมากรรมในโบสถ์ประจำเมือง Hallgrímskirkja และ The National Theatre ที่เมืองเรคยาวิกอีกด้วยค่าโดยการเดินทางเข้าไปยังน้ำตกสวาร์ติฟอสส์อาจจะลำบากนิสสสนึง เพราะต้องเดินเท้าผ่านเนินเขา ซอกแซกเข้ามาประมาณ 2 กิโลเมตร แต่จุดหมายปลายทางนั้นคุ้มค่ามากจ้าาา นักท่องเที่ยวนิยมมาเดินป่า (Hiking) เพราะมีเส้นทางเดินป่าให้เลือกหลากหลายเส้นทาง เช่น Skaftafellsjökull - an easy 3.7 km (2.3 mi) เป็นเส้นทางที่ง่ายที่สุด ชันน้อยที่สุด แถมรายล้อมไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ ภูเขา เหมือนได้เดินออกกำลังกายท่ามกลางฟิตเนสธรรมชาติ และยังเป็นเส้นทางที่จะได้เห็นธารน้ำแข็ง Skaftafellsjökull Glacier ด้วยน้า
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวชมน้ำตกคือในช่วงฤดูร้อน เพราะเป็นช่วงที่อากาศกำลังดี เหมาะกับการเดินทางท่องเที่ยว และถนนทุกเส้นเปิดให้ใช้บริการด้วยจ้ะ
เที่ยวภูเขาไฟ Maelifell
ภูเขาไฟ Maelifell หนึ่งในภูเขาไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไอซ์แลนด์ค่า! แต่เป็นภูเขาไฟที่ดับไปแล้วนะคะ เมื่อก่อนเคยซ่อนตัวอยู่ใต้ธารน้ำแข็งมิร์ดาลสโจกุล (Mýrdalsjökull) ที่ใหญ่เป็นอันดับสามในไอซ์แลนด์ และเกิดการระเบิดขึ้นจากข้างใต้ธารน้ำแข็ง โดยการระเบิดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อ 10,000 ปีก่อน ในช่วงปลายสุดท้ายของยุคน้ำแข็งพอดี ภูเขาไฟ Maelifell ตั้งอยู่ระหว่างแผ่นเปลือกโลกยูเรเชียและแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือ ในอุทยานแห่งชาติ Myrdalsjökull Glacier มีความสูง 1,771 ฟุต หรือ 791 เมตรช่วงฤดูร้อนตอนที่หิมะละลาย เราจะเห็นต้นไม้ใบหญ้าและพันธุ์ไม้เล็กๆ สีเขียวขจีปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขา *0* หญิงปุ๊กว่ามันเป็นภูเขาที่รูปร่างเหมือนตอนเราวาดกันในวิชาศิลปะตอนเด็กๆ คือเป็นรูปสามเหลี่ยมนูนสวยงามแบบชัดมาก สมบูรณ์ไร้ที่ติอย่างกะพีระมิดแน่ะ
ใครที่ชอบถ่ายภาพสัตว์ รอบๆ จะมีลูกแกะไอซ์แลนด์ที่หากินพืชบนภูเขา จะว่าไปก็บรรยากาศเหมือนอยู่ในนิยายเหมือนกันนะคะ เห็นสีเขียวๆ ก็รู้สึกผ่อนคลาย ช่วยลดความเครียดได้ดีทีเดียวค่ะ ไม่แปลกใจเลยที่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์
เที่ยวชมซากเครื่องบินตก Sólheimasandur Plane Wreck
Sólheimasandur Plane Wreck เป็นซากเครื่องบินของทหารเรือสหรัฐอเมริกาที่ขับเครื่องบินลำนี้ที่มีชื่อว่า Douglas Dakota C-117 หรือ Douglas Super DC-3 ได้บินมาจากสถานีเรดาร์ใกล้กับเมืองฮอร์นาฟยอร์ดูร์ (Hornafjörður) ระหว่างที่กำลังเดินทางกลับไปยังสนามบินเรคยาวิก (Reykjavik) ก็เกิดเหตุขัดข้องขึ้นทำให้เครื่องบินตกบนหาดทรายสีดำทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์ มีคนขับรวมผู้โดยสารทั้งหมด 7 คน แต่โชคดีที่ไม่มีใครได้รับอันตรายถึงชีวิต และซากเครื่องบินลำนี้ก็ถูกปล่อยทิ้งไว้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1973ซึ่งปัจจุบันก็ยังหาสาเหตุที่แน่นอนไม่ได้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร บางคนก็บอกว่านักบินกดสวิตช์ถังน้ำมันผิด หรือเป็นน้ำแข็งที่ทำลายโครงสร้างของเครื่องบิน แต่ไม่ว่าสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ได้กลายเป็นมุมถ่ายรูปยอดฮิตของไอซ์แลนด์ที่ใครๆ ก็พากันมาถ่ายรูปแบบเท่ๆ คูลๆ ไปแล้วค่า
จากลานจอดรถจะมีบริการรถ Shuttle Bus มาส่งยังจุดชมซากเครื่องบิน ไปกลับตีเป็นเงินประมาณ 625 บาท หรือใครฟิตๆ หน่อยก็จอดรถไว้ริมถนนและเดินเข้ามาประมาณ 4 กิโลเมตร ไปกลับเป็น 8 กิโลเมตร 55555 เเถมต้องฝ่าลมหนาว บางทีก็เจอฝนอีก จนเพลงนี้ขึ้นมาในหัวเลยค่ะ ใจสู้รึเปล่าาา ไหวไหมบอกมาาา~ >,< และตรงนี้ยังเป็นสถานที่ที่คนมักจะมาชมแสงเหนือกันด้วยค่า
เที่ยวน้ำตกกลีมูร์ (Glymur)
น้ำตกกลีมูร์ น้ำตกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในไอซ์แลนด์! รองจากน้ำตก Morsárfoss ที่ความสูง 198 เมตร *0* ตั้งอยู่ในฟยอร์ด Hvalfjörður ฟยอร์ดที่งดงามที่สุดของประเทศค่า~ ใช้เวลาขับรถจากเมืองเรคยาวิกแค่ 40 นาที โดยน้ำตกจะไหลจากแม่น้ำ Botnsá ลงมาตามช่องของหุบเขา Botnsdalur จะบอกว่าต้องวางแผนการเดินทางมาเที่ยวกันให้ดีๆ นะคะ เผื่อไว้เลย 3-4 ชั่วโมง เพราะไม่ใช่มาถึงแล้วจะได้เจอกับน้ำตกเลย แต่จะต้องปีนเขาและเดินป่า ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อไปถึงตัวน้ำตก ทางก็มีความขรุขระไม่เบา อ๊ะๆ อย่าเพิ่งหอบกันนะคะ เพราะเราจะได้รับรางวัลระหว่างทางเป็นความงามของธรรมชาติและทิวทัศน์อันน่าประทับใจตลอดเส้นทาง >3<จะต้องผ่านทั้งสะพานไม้เพื่อข้ามแม่น้ำ Botnsá และถ้ำเล็กๆ เช่น ถ้ำ Thvottahellir หมายถึง ถ้ำซักผ้า เป็นถ้ำที่คนในท้องถิ่นสมัยก่อนใช้ในการแขวนซักผ้าตอนฝนตกค่ะ เป็นเส้นทางที่เหมาะกับคนรักธรรมชาติและสายชิล ใครที่พกขนม อาหารมา หิวๆ เหนื่อยๆ ก็หามุมแวะพักนั่งทานกันได้ค่ะ เมื่อมาถึงจุดสูงสุดได้ฟีลเหมือนพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส 5555 วิวสวยมากกก เห็นภาพมุมกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา สูดอากาศอันบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดดด!!
เที่ยวน้ำตกไฮฟอสส์ (Haifoss Waterfall)
เมื่อกี้ความสูงระดับ 2 ของประเทศกันไปแล้ว ต่อด้วยอันดับ 3 กันเลยจ้า น้ำตกไฮฟอสส์ ตั้งอยู่ในหุบเขา Fossárdalur Háifoss ทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์ ใกล้ๆ กับภูเขาไฟ Hekla มีความสูงประมาณ 122 เมตร ซึ่งในภาษาไอซ์แลนด์คำว่า há แปลว่าสูง และ foss แปลว่าน้ำตก ก็แปลง่ายๆ ลงตัวเลยค่ะ น้ำตกสูงงงงงง ถูกค้นพบเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 ในตอนนั้นไม่ใช่แค่น้ำตกที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์ แต่ยังสูงที่สุดในยุโรปอีกด้วย เป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำ Fossá ซึ่งเป็นแม่น้ำสายย่อยของแม่น้ำ Þjórsá ที่มีลักษณะเป็นธารน้ำแข็งและเป็นน้ำสายที่ยาวที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ แม่น้ำทั้งสองสายนี้ก็ไหลมาเรื่อยๆ จนตกลงมาสู่พื้นด้านล่างกลายเป็นน้ำตกที่สวยงามแห่งนี้นั่นเองค่า เสียงของน้ำที่ไหลกระทบหับหินคือดังก้องไปทั่ว ก่อนจะแตกตัวเป็นละอองฝอย สดชื่นสะใจอย่างกับเล่นสงกรานต์ >,< โดยแถวนั้นจะเป็นที่ราบสูงขอบหน้าผาลึก สามารถเดินลงไปด้านล่างเพื่อดูความใหญ่อลังการของน้ำตกได้แบบใกล้ชิดไอซ์แลนด์เป็นดินแดนที่มีน้ำตกมากกว่า 10,000 แห่ง เรียกได้ว่าคู่แข่งเยอะม๊ากกก แต่น้ำตกไฮฟอสส์ ก็ติดอันดับต้นๆ เรื่องความปังเลยนะค้า มีชื่อเสียงในด้านทัศนียภาพที่ไม่เหมือนใคร เพราะข้างๆ กันมีน้ำตก Granni ยิ่งเพิ่มความปังแบบทวีคูณ! สวยแบบแพ็คคู่กันไปเลยยย ยิ่งถ้าใครโชคดีมาถูกจังหวะตอนที่แสงแดดส่องและน้ำตกทั้งสองที่ไหลเต็มที่จะเกิดเป็นรุ้งกินน้ำสีสวย เมื่อมองมาจากด้านบนจะรู้สึกเหมือนได้เห็นภาพแบบพาโนราม่า สายน้ำ 2 เส้นไหลลงมา ดูไปดูมาก็แอบคล้ายกับคนร้องไห้เหมือนกันนะคะ T-T
ปกติแล้วจะมาเที่ยวชมน้ำตกต้องใช้รถ 4WD เพราะทางขรุขระมาก เต็มไปด้วยหลุมบ่อขนาดใหญ่ จะมีความยากนิดนึง หรือสำหรับผู้รักการผจญภัย กิจกรรมเดินป่าก็เป็นอีกตัวเลือกที่ฮิตฮอต ตัวน้ำตกเปิดให้เข้าชมได้แค่ช่วงหน้าร้อนเท่านั้นนะคะ
เที่ยวน้ำตกเดตตี้ฟอสส์ (Dettifoss Waterfall)
น้ำตกเดตตี้ฟอสส์ เป็นอีกสถานที่ที่น่าสนใจในการมาเยือนไอซ์แลนด์ เพราะได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกที่ใหญ่และทรงพลังมากที่สุดของยุโรป!! (The Most Powerful Waterfall In Europe) ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล (Vatnajökull National Park) อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเช่นกันจ้ะ ความน่าตื่นตาตื่นใจของน้ำตกที่ทรงพลังแห่งนี้คือ ภาพของน้ำตกที่กว้างถึง 100 เมตร กำลังไหลลงมาจากขอบหน้าผาอันกว้างใหญ่ และตกลึกลงไปอีกราวๆ 45 เมตร สามารถมองเห็นละอองน้ำที่กระเซ็นขึ้นมาได้จากระยะไกลหลายกิโลเมตรอีกด้วยค่า นี่ขนาดยืนอยู่กรุงเทพฯยังเห็นเลย แฮ่!!ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ๆ มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงพลังที่เขาว่าไว้จริงๆ มวลน้ำมหาศาลไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย โดยกระแสของน้ำนั้นสูงถึง 193 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เรียกได้ว่าไหลแรงสะใจ!! มีต้นกำเนิดมาจากธารน้ำแข็งวัทนาโจกุล (Vatnajökull Glacier) ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังเคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์อันโด่งดังเรื่อง Prometeus (2012) อีกด้วยค่ะ
ข้างๆ ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ เพลิดเพลินไปสายรุ้งที่จะมีให้เห็นบ่อยๆ เหนือหน้าผา มีเส้นทางเดินป่าระยะทาง 34 กิโลเมตร ลัดเลาะไปตามหุบเขา สามารถตั้งแคมป์ได้ มาเที่ยวได้ทุกฤดู แต่หลีกเลี่ยงช่วงฤดูหนาวจะดีกว่าค่ะ เพราะว่าถนนที่เข้ามายังน้ำตกจะถูกปิดเพื่อป้องกันการเกิดอันตราย
ล่องเรือชมวาฬที่ฮูซาวิก (Husavik Whale Watching)
เมืองฮูซาวิก (Husavik) เมืองประมงเล็กๆ ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์ เป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดในไอซ์แลนด์ด้วยนะจ๊า ธรรมดาซะที่ไหนนน ที่สำคัญคือมีชื่อเสียงในเรื่องของการดูวาฬ จนได้รับการขนานนามให้เป็นเมืองหลวงแห่งการดูวาฬของประเทศไอซ์แลนด์ (The Whale watching capital of Iceland) และยังถูกยกย่องให้เป็นเมืองหลวงแห่งการดูวาฬของยุโรป (The Whale watching capital of Europe) อีกด้วยยยยฉายาการันตีขนาดนี้ เดี๋ยวจะหาว่าโม้ อิอิ มาที่เมืองฮูซาวิกทั้งทีจะพลาดการดูวาฬไปไม่ด้ายยยย จะเหมือนมาไม่ถึง >,< ที่นี่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของวาฬหลากหลายชนิด ทั้งวาฬหลังค่อม (Humpback Whales),วาฬสีน้ำเงิน (Blue Whales), วาฬหัวทุย (Sperm Whale), วาฬมิงค์ (Minke whale) เป็นต้น และที่บริเวณอ่าว Skjálfandi เป็นแค่ 1 ใน 4 แห่งของโลกที่สามารถพบวาฬสีน้ำเงินได้ ช่วงเวลาที่เหมาะกับการดูวาฬที่สุดคือช่วงฤดูร้อน เดือนพฤษภาคม - กันยายน โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม เพราะเราจะมีโอกาสได้ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนด้วยค่า การนั่งเรือออกไปดูวาฬเป็นกิจกรรมยอดฮิต สามารถซื้อเลือกทัวร์กันได้เลย ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งปกติถ้าไปแล้วไม่เห็นวาฬทางบริษัททัวร์จะให้ตั๋วฟรีเราอีกหนึ่งรอบด้วยค่ะ
แนะนำให้แวะมาชมพิพิธภัณฑ์ Húsavík Whale Museum เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์เพียงไม่กี่แห่งในโลกที่ทุ่มเทให้กับปลาวาฬโดยเฉพาะ มีการจัดแสดงแบบ Interactive Multimedia โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์จัดการกับข้อมูลภาพและเสียงให้สามารถโต้ตอบกับเราได้ ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังได้จัดแสดงโครงกระดูกของวาฬที่แตกต่างกันถึง 10 แบบ และยังเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งเดียวในโลกที่มีชิ้นส่วนโครงกระดูกที่สมบูรณ์ของวาฬสีน้ำเงิน มีตู้ที่จัดแสดงชิ้นส่วนต่างๆ ของวาฬที่หาชมได้ยาก มีห้องสมุดบรรยากาศสบายๆ พร้อมหนังสือ และพื้นที่พิเศษสำหรับเด็กๆ ด้วยนะคะ
เครดิตรูปภาพจาก https://www.planmytravels.eu/wp-content/uploads/2020/11/Whale-Museum-3.jpg, http://www.katiewanders.com/2017/11/day-6-visiting-husavik-icelands-whale.html, http://akphilanthropy.org/wp-content/uploads/2016/10/Iceland-Husavik-Whale-Museum