เที่ยว 30 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ ตอน 2 ประเทศไอซ์แลนด์นอกจากจะดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยธรรมชาติของธารน้ำแข็ง ภูเขาน้ำแข็ง น้ำพุร้อน ต่างๆ แล้ว น้ำตกก็โด่งดังไม่แพ้กันจ้า จะมาเที่ยวช่วงไหนก็สวยยย และมีเสน่ห์เฉพาะตัว ทำให้นักท่องเที่ยวที่เคยมา ต้องติดใจจนกลับมาเยือนอีกครั้งแน่นอนค่า เรามาดูอีก 13 อันดับที่เหลือกันเลยยย



ล่าแสงเหนือ (Northern Lights)

ใครใฝ่ฝันที่อยากจะมา ล่าแสงเหนือ ด้วยตัวเองบ้างคะยกมือขึ้นนนน!~ >,< แสงเหนือหรือแสงออโรร่า ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากลมสุริยะที่ดวงอาทิตย์ปล่อยออกมาปะทะกับโมเลกุลในชั้นบรรยากาศของโลก จนเกิดการถ่ายเทพลังงานกลายเป็นลำแสงสีต่างๆ พาดผ่านท้องฟ้าที่งดงามมมม ทั้งสีเขียว สีม่วง สีแดง สีชมพู สีส้ม สีน้ำเงิน ขึ้นอยู่กับชนิดของธาตุที่แตกตัวออกมา และหาดูกันไม่ได้ง่ายๆ นะจ๊าขอบอก

แต่ถ้ามาที่ไอซ์แลนด์ก็ไม่ผิดหวัง ;) เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในการมาล่าแสงเหนือของนักท่องเที่ยว เพราะประเทศตั้งอยู่ต่ำกว่าเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลแค่นิสสสเดียวเท่านั้น คือละติจูด 64° เหนือ ถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่พอเหมาะพอเจาะมากในการมาชมแสงเหนือ บวกกับวิวภูเขาที่สวยงาม และยังสามารถมองเห็นได้เกือบทั้งปีแน่ะ คือตั้งแต่ประมาณต้นเดือนกันยายนไปจนถึงปลายเดือนเมษายน พีคๆ ช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงกุมภาพันธ์ แต่ต้องเป็นคืนที่มืดสนิทมากที่สุด มีแสงสว่างน้อยยยยที่สุด ยิ่งท้องฟ้าโปร่งไม่มีเมฆคือจะเห็นชัดมากค่า

แนะนำที่ฟยอร์ดทางตะวันตก (Westfjord) หรือทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์ (North Iceland) เลยค่ะ เพราะแถบนี้จะมีช่วงกลางคืนยาวนานกว่า หรือจะบริเวณแถวชานเมืองของเมืองเรคยาวิก (Reykjavík) ก็ยอดฮิตไม่แพ้กัน และอุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park) เป็นต้นค่ะ

กิจกรรมในการล่าแสงเหนือก็มีหลายวิธี ไม่ว่าจะออกไปชมท่ามกลางธรรมชาติโดยมีไกด์ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล บางที่ก็สามารถมองเห็นได้จากโรงแรมที่พักได้เลย หรือจะล่องเรือชมแสงเหนือก็ฟินไปอีกแบบจ้า ยิ่งบางคนโชคดีมีแต้มบุญสูงอาจจะได้เห็นแสงเหนือจากบนเครื่องบินก็ได้นะ

shutterstock_262234709

shutterstock_658551709

shutterstock_528933154

shutterstock_539168146



เที่ยวภูเขาคีร์กจูเฟล (Kirkjufell)

ภูเขาคีร์กจูเฟล ชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า Church Mountain หรือภูเขาโบสถ์ ชื่อนี้ได้แต่ใดมา? จะบอกว่ามาจากรูปร่างของภูเขาที่คล้ายกับระฆังโบสถ์นั่นเองค่า แต่ส่วนใหญ่มองว่าคล้ายกับหมวกของแม่มดมากกว่า.. ตัวภูเขาสูง 463 เมตร ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ทางทิศตะวันตกของไอซ์แลนด์ ใกล้กับเมืองกรุนดาร์ฟยอร์เดอร์ (Grundarfjorour) มีลักษณะเป็นชั้นๆ ต่างสีกัน ชั้นบนเป็นหินลาวา ส่วนชั้นล่างสุดเป็นฟอสซิล ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคน้ำแข็งหลายล้านปีมาแล้ว

ความฟินของนักท่องเที่ยวก็คือไม่ว่าจะมาเที่ยวชมช่วงไหนก็ปัง! เพราะวิวและบรรยากาศรอบๆ งดงามตลอดทั้งปี ช่วงฤดูร้อนเราก็จะได้เห็นภาพความเขียวขจี สดชื่นนนนสุดๆ และช่วงฤดูหนาวจะปกคลุมไปด้วยหิมะเป็นสีขาวโพลน โรแมนติกไปอีกแบบ ส่วนตอนกลางคืนที่มืดสนิทก็เหมาะสำหรับถ่ายภาพแสงเหนือด้วยจ้า *0*

ภูเขาคีร์กจูเฟลนี้เหมาะกับการมาชมวิวพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น แถมยังเป็นสถานที่สุดฮิตของนักไต่เขาด้วยนะ โดยยอดเขาทางด้านทิศใต้จะชันน้อยกว่าทางทิศเหนือ ด้านล่างของภูเขาจะมีทะเลสาบ ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งเราจะเห็นภาพของภูเขาสะท้อนอยู่ในน้ำ สวยงามมากๆ เรียกได้ว่าดึงดูดช่างภาพมืออาชีพจากทั่วโลกมาเยือนแบบไม่ขาดสาย เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดของไอซ์แลนด์ และยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Game of Thrones ซีซั่น 6 และ 7 อีกด้วยค่า

shutterstock_1389600737

shutterstock_536321737

ใกล้ๆ กันมีน้ำตกคีร์กจูเฟลสโฟส (Kirkjufellsfoss) ตัวน้ำตกถึงจะไม่ได้ใหญ่โตหรือสูงมาก แต่ความงดงามอยู่ตรงน้ำที่ไหลตกลงมาแบ่งเป็นสามส่วน โดยฉากหลังเป็นภูเขาคีร์กจูเฟล เข้ากั๊นนนเข้ากันอย่างลงตัว จนเกิดเป็นภาพเอกลักษณ์ของไอซ์แลนด์ งานโปสการ์ดต้องมาแล้วล่ะจุดนี้ >,<

shutterstock_527809705

โบสถ์ Grundarfjörður เปิดใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1961 ใช้เวลาในการสร้างนานถึง 5 ปี นอกจากจะใช้ทำพิธีทางศาสนา ยังเป็นสถานที่เก็บรักษา The Gudbrand Bible พระคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดในไอซ์แลนด์ ซึ่งตีพิมพ์ในประเทศโดยชาวไอซ์แลนด์ เพราะว่าเนื้อหาทางศาสนาก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่จะถูกจารึกด้วยภาษาเดนมาร์ก พระคัมภีร์เล่มนี้จึงมีบทบาทสำคัญในการรักษาภาษาไอซ์แลนด์ไว้นั่นเองค่ะ

008

shutterstock_1635032230เครดิตรูปภาพจาก https://palanla.com

 




เที่ยวอุทยานแห่งชาติสแนเฟลส์โจกุล (Snæfellsjökull National Park)

อุทยานแห่งชาติสแนเฟลส์โจกุล เป็น 1 ใน 3 อุทยานแห่งชาติห้ามพลาดของไอซ์แลนด์เลยค่า! อยู่ทางตะวันตกของประเทศ บริเวณปลายสุดของคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส (Snæfellsnes) ห่างจากเมืองเรคยาวิกมาประมาณ 200 กิโลเมตรค่ะ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 2001 เพื่อปกป้องและอนุรักษ์ธรรมชาติรอบๆ ทั้งพืชพื้นเมือง สัตว์ท้องถิ่นต่างๆ รวมไปถึงโบราณวัตถุที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ นักท่องเที่ยวสามารถมาดื่มด่ำชมธรรมชาติได้อย่างอิสระและใกล้ชิดแบบสุดๆ เหมาะกับการหนีความวุ่นวายมาพักกายพักใจกับป่าเขา~ เป็นอุทยานแห่งเดียวในไอซ์แลนด์ที่ทอดยาวไปในทะเล มีหน้าผาและโขดหินบะซอลต์มากมาย เกิดขึ้นจากลาวาภูเขาไฟที่แข็งตัวและถูกกัดกร่อนจากน้ำทะเลกลายเป็นรูปทรงเก๋ๆ แปลกตา *0*

หญิงปุ๊กเชื่อว่าสายรักธรรมชาติและสายผจญภัยจะต้องฟินอย่างแน่นอนค่า เพราะอุทยานแห่งนี้มีเส้นทางเดินป่าที่สวยงามและทัศนียภาพที่หลากหลาย มีทั้งชายหาด น้ำตก ปล่องภูเขาไฟ Snaefellsjokull ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่มีชื่อเสียงที่สุดในไอซ์แลนด์ ทัวร์ถ้ำวาท์ทเฮลลิร์ (Vatnshellir) ที่มีอายุราว 8,000 ปี หรือจะชมวาฬและนกสายพันธุ์ชายฝั่งทะเลมากมาย เช่น นกคิตติเวค และนกประจำชาติของไอซ์แลนด์อย่างนกพัฟฟิน ถ้าใครโชคดีก็จะได้เห็นแมวน้ำด้วยนะจ๊า

shutterstock_1808310049

shutterstock_1902187186

shutterstock_703986064

shutterstock_1690507879

shutterstock_150873302

shutterstock_1817178236

shutterstock_1188361366

shutterstock_1540889438

ไฮไลท์สุดปังของที่นี่ก็คือ ธารน้ำแข็งสไนล์แฟลสโจกุล (Snaefellsjokull Glacier) ธารน้ำแข็งอันยิ่งใหญ่ที่ตั้งอยู่บนภูเขาไฟ สูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 1,446 เมตร ปกคลุมปล่องภูเขาไฟที่ความลึก 200 เมตร โดยตัวภูเขาไฟก่อตัวจากการระเบิดเมื่อราวๆ 8 แสนปีที่แล้ว จนเกิดเป็นภูเขาไฟสลับชั้น เป็นภูเขาไฟชนิดเดียวกับภูเขาไฟฟูจินั่นเองค่ะ ว่ากันว่าภูเขาไฟแห่งนี้เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของโลก! ในวันที่ท้องฟ้าโล่งๆ แจ่มใสสามารถมองเห็นเมืองเรคยาวิก ไปจนถึงฝั่งของกรีนแลนด์เลยทีเดียวค่า

shutterstock_113998084

shutterstock_1385038877

shutterstock_1248412123




เที่ยวฟยอร์ดตะวันตก (Westfjords)

ฟยอร์ดตะวันตก ของไอซ์แลนด์ ดินแดนแห่งสวรรค์ ~ เป็นคาบสมุทรขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศค่ะ เต็มไปด้วยความงดงามของธรรมชาติ ลักษณะภูมิประเทศสวยงามแปลกตา ตระการตากับความยิ่งใหญ่ของภูเขา เนินเขาสูงชัน และฟยอร์ดอีกมากมาย แค่นี้ก็กินขาดแล้วจ้าาา เพราะทุกอย่างนั้นสวยงามด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว เป็นพื้นที่ที่มีประชากรเบาบางที่สุดในไอซ์แลนด์ บรรยากาศจึงเงียบสงบ คนไม่พลุกพล่าน งานนี้หญิงปุ๊กขอเป็นนักสำรวจธรรมชาติแบบพี่ติ๊ก เนวิเกเตอร์หน่อยละกันค่ะ! >,< ตามมาเลยยยๆๆๆ

ไฮไลท์ของที่นี่ก็มีทั้งน้ำตก Dynjandi Waterfall เป็นน้ำตกที่สวยและสูงที่สุดในเขตฟยอร์ดตะวันตก, ธารน้ำแข็ง Drangajökull มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศ, Raudisandur หาดทรายสีแดงที่มีชื่อเสียงของไอซ์แลนด์ และหน้าผา Látrabjarg หน้าผานกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยมีความยาวถึง 14 กิโลเมตร มีนกทะเลนับล้านตัวมาวางไข่ที่นี่ค่ะ

shutterstock_1879851772

shutterstock_757836865

shutterstock_766821778

shutterstock_517307842

shutterstock_729690106

shutterstock_1657310881

shutterstock_1879850113

และอีกกิจกรรมที่พลาดไม่ได้นั่นก็คือ การดูนกพัฟฟิน (Puffin) สุดน่ารัก ที่ฟยอร์ดตะวันตกแห่งนี้เราสามารถเข้าใกล้นกพัฟฟินได้ใกล้ชิดมากกว่าที่อื่นๆ และจิ้งจอกอาร์กติก (Arctic Fox) สีขนของมันจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศ ในฤดูหนาวก็จะเป็นสีขาวราวกับหิมะ และจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในฤดูร้อน เจ๋งไปเลยใช่ม้าาา

shutterstock_167626157

shutterstock_1468839065

shutterstock_1625095951

shutterstock_1702468828
 





เที่ยวน้ำตกดินจันดิ (Dynjandi Waterfall)

น้ำตกดินจันดิ สถานที่สำคัญของฟยอร์ดตะวันตก (Westfjords) เพราะเป็นน้ำตกที่งดงามที่สุด! และสูงที่สุด! ในเขตนี้จ้า โดย Dunjandi แปลว่าฟ้าร้อง แค่ชื่อก็ยิ่งก็ดูน่าเกรงขามแล้ววว มีความสูงรวมถึง 100 เมตร เป็นน้ำตกหลายชั้น ด้านบนกว้างประมาณ 30 เมตรที่ ด้านล่างกว้าง 60 เมตร น้ำทั้งหมดก็มาจากหิมะบนเขาที่ละลายและไหลลงมา คือถ้าได้มาเห็นด้วยตาจะบอกว่ามันใหญ่บิ๊กเบิ้มมากกกก มองเห็นความอลังการมาแต่ไกล สายน้ำของน้ำตกไม่ได้ไหลทิ้งดิ่งลงมาเร็วๆ เหมือนน้ำตกทั่วไปนะคะ แต่จะค่อยๆ ไหลลงมาช้าๆ~เป็นริ้วบางๆ ใสๆ ตามชั้นหิน บางคนก็บอกว่าคล้ายกับผ้าคลุมเจ้าสาว ^^

ยิ่งตอนช่วงพระอาทิตย์ตกจะสวยมากเป็นพิเศษค่า เพราะแสงอาทิตย์จะทำให้บริเวณน้ำตกกลายเป็นสีน้ำตาลอมส้มทั้งหมดเลยยยย ในหนังสือ Lonely Planet Magazine เขียนไว้ว่าเป็น Most Dramatic Waterfall in Westfjord และได้ชื่อว่าเป็นอัญมณีแห่งฟยอร์ดตะวันตกด้วยค่ะ

ระหว่างทางเดินขึ้นไปยังน้ำตกก็จะผ่านน้ำตกเล็กใหญ่มากมาย เช่น Haestahjallafoss, Strompgljufrafoss, Gongumannafoss, Hrisvadsfoss-Kvislarfoss, Hundafoss และ Baejarfoss มีหลายจุดให้หยุดแวะถ่ายรูป มีห้องน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เหมาะสำหรับการเดินป่า และยังมีลานให้ตั้งแคมป์ด้วยนะคะ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวชมน้ำตกดินจันดิ ก็คือช่วงซัมเมอร์ระหว่างเดือนเมษายนถึงกันยายนค่ะ

shutterstock_466075556

shutterstock_683293240 shutterstock_1192760989

shutterstock_729690106
 





เที่ยวชายหาดสีแดง (Rauðisandur)

หาด Rauðisandur หรือ Raudasandur อยู่ที่ฟยอร์ดตะวันตกของไอซ์แลนด์ค่า เป็นชายหาดทอดยาวประมาณ 10 กิโลเมตรใกล้ๆ กับหน้าผา Látrabjarg ปกติแล้วชายหาดส่วนใหญ่ในไอซ์แลนด์จะเป็นสีดำ แต่ที่นี่โดดเด่นตรงหาดทรายเป็นสีแดงอันกว้างใหญ่~ และสีของทรายสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศฤดูกาล หรือแสงแดดของแต่ละวันได้ด้วยจ้า บางวันก็เป็นสีส้ม สีเหลือง สีแดงเข้ม บางทีก็เป็นสีชมพู สลับกันไปค่ะ เรียกได้ว่ารูปที่ถ่ายมาในแต่ละวันจะไม่เหมือนกันเลย จนคนต้องงงว่า เอ๊ะ? นี่ที่เดียวกันรึเปล่า 555 โดยสีแดงๆ นี้เกิดจากเปลือกหอยต่างๆ ที่แตกละเอียดและถูกบดโดยคลื่นทะเลนั่นเองค่า

Rauðisandur ไม่ได้มีไว้เพื่อเล่นกิจกรรมชายหาดเหมือนทั่วๆ ไป แต่เหมาะแก่การมาถ่ายรูป เดินเล่นชิลๆ ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบและธรรมชาติที่สวยงาม ยิ่งตอนช่วงพระอาทิตย์ตก ชายหาดจะถูกอาบไปด้วยแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ เพิ่มความละมุนของชายหาดไปอี๊กกก นอกจากนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของแมวน้ำและนกทะเลหลายชนิด ในช่วงฤดูร้อนสามารถมองเห็นนกพัฟฟินที่บริเวณหน้าผาได้ด้วยนะคะ เป็นจุดชมสัตว์ป่านานาชนิดรวมทั้งแมวน้ำและนกทะเล

ทางที่จะมายังชายหาดจะค่อนข้างสูงชันและแคบมากกก เป็นถนนลูกรังคดเคี้ยว หลายคนเรียกกันว่าเป็นถนนที่น่ากลัวและอันตรายที่สุดในฟยอร์ดตะวันตก ก็ขับกันช้าๆ และระมัดระวังกันด้วยน้า

shutterstock_1637692210

shutterstock_1607535685

shutterstock_1705604605

shutterstock_1186380301
 





เที่ยวน้ำตกสวาร์ติฟอสส์ (Svartifoss)

น้ำตกสวาร์ติฟอสส์ ในภาษาไอซ์แลนด์หมายถึง น้ำตกสีดำ (Black Waterfall) อยู่ใน Skaftafell National Park อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไอซ์แลนด์ จุดเด่นอยู่ตรงแท่นหินลาวาสีดำที่ลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ อลังการม๊ากกกกก *0* โดยแท่นหินที่เห็นเป็นหินบะซอลต์สีดำซึ่งเกิดจากการปะทุของลาวา เมื่อค่อยๆ เย็นตัวลงทำให้หินเรียงกันเป็นแท่งสวยงามแปลกตา กลายเป็นกำแพงฉากหลังให้กับน้ำตก สามารถขึ้นไปนั่ง ไปยืนถ่ายรูปได้เลยค่ะ ดีงามซะจนได้ชื่อว่าเป็นไข่มุกแห่งไอซ์แลนด์!! (Pearl of Iceland) ความสวยที่มีเอกลักษณ์นี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับ Guðjón Samúelsson นำไปสร้างประติมากรรมในโบสถ์ประจำเมือง Hallgrímskirkja และ The National Theatre ที่เมืองเรคยาวิกอีกด้วยค่า

โดยการเดินทางเข้าไปยังน้ำตกสวาร์ติฟอสส์อาจจะลำบากนิสสสนึง เพราะต้องเดินเท้าผ่านเนินเขา ซอกแซกเข้ามาประมาณ 2 กิโลเมตร แต่จุดหมายปลายทางนั้นคุ้มค่ามากจ้าาา นักท่องเที่ยวนิยมมาเดินป่า (Hiking) เพราะมีเส้นทางเดินป่าให้เลือกหลากหลายเส้นทาง เช่น Skaftafellsjökull - an easy 3.7 km (2.3 mi) เป็นเส้นทางที่ง่ายที่สุด ชันน้อยที่สุด แถมรายล้อมไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ ภูเขา เหมือนได้เดินออกกำลังกายท่ามกลางฟิตเนสธรรมชาติ และยังเป็นเส้นทางที่จะได้เห็นธารน้ำแข็ง Skaftafellsjökull Glacier ด้วยน้า

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวชมน้ำตกคือในช่วงฤดูร้อน เพราะเป็นช่วงที่อากาศกำลังดี เหมาะกับการเดินทางท่องเที่ยว และถนนทุกเส้นเปิดให้ใช้บริการด้วยจ้ะ

shutterstock_1726449172

shutterstock_1302063601

shutterstock_1123870454

shutterstock_1120335080

 




เที่ยวภูเขาไฟ Maelifell

ภูเขาไฟ Maelifell หนึ่งในภูเขาไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไอซ์แลนด์ค่า! แต่เป็นภูเขาไฟที่ดับไปแล้วนะคะ เมื่อก่อนเคยซ่อนตัวอยู่ใต้ธารน้ำแข็งมิร์ดาลสโจกุล (Mýrdalsjökull) ที่ใหญ่เป็นอันดับสามในไอซ์แลนด์ และเกิดการระเบิดขึ้นจากข้างใต้ธารน้ำแข็ง โดยการระเบิดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อ 10,000 ปีก่อน ในช่วงปลายสุดท้ายของยุคน้ำแข็งพอดี ภูเขาไฟ Maelifell ตั้งอยู่ระหว่างแผ่นเปลือกโลกยูเรเชียและแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือ ในอุทยานแห่งชาติ Myrdalsjökull Glacier มีความสูง 1,771 ฟุต หรือ 791 เมตร

ช่วงฤดูร้อนตอนที่หิมะละลาย เราจะเห็นต้นไม้ใบหญ้าและพันธุ์ไม้เล็กๆ สีเขียวขจีปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขา *0* หญิงปุ๊กว่ามันเป็นภูเขาที่รูปร่างเหมือนตอนเราวาดกันในวิชาศิลปะตอนเด็กๆ คือเป็นรูปสามเหลี่ยมนูนสวยงามแบบชัดมาก สมบูรณ์ไร้ที่ติอย่างกะพีระมิดแน่ะ

ใครที่ชอบถ่ายภาพสัตว์ รอบๆ จะมีลูกแกะไอซ์แลนด์ที่หากินพืชบนภูเขา จะว่าไปก็บรรยากาศเหมือนอยู่ในนิยายเหมือนกันนะคะ เห็นสีเขียวๆ ก็รู้สึกผ่อนคลาย ช่วยลดความเครียดได้ดีทีเดียวค่ะ ไม่แปลกใจเลยที่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์

shutterstock_1713088666

shutterstock_1350464681

shutterstock_1485017441

shutterstock_1485017438
 
 




เที่ยวชมซากเครื่องบินตก Sólheimasandur Plane Wreck

Sólheimasandur Plane Wreck เป็นซากเครื่องบินของทหารเรือสหรัฐอเมริกาที่ขับเครื่องบินลำนี้ที่มีชื่อว่า Douglas Dakota C-117 หรือ Douglas Super DC-3 ได้บินมาจากสถานีเรดาร์ใกล้กับเมืองฮอร์นาฟยอร์ดูร์ (Hornafjörður) ระหว่างที่กำลังเดินทางกลับไปยังสนามบินเรคยาวิก (Reykjavik) ก็เกิดเหตุขัดข้องขึ้นทำให้เครื่องบินตกบนหาดทรายสีดำทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์ มีคนขับรวมผู้โดยสารทั้งหมด 7 คน แต่โชคดีที่ไม่มีใครได้รับอันตรายถึงชีวิต และซากเครื่องบินลำนี้ก็ถูกปล่อยทิ้งไว้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1973

ซึ่งปัจจุบันก็ยังหาสาเหตุที่แน่นอนไม่ได้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร บางคนก็บอกว่านักบินกดสวิตช์ถังน้ำมันผิด หรือเป็นน้ำแข็งที่ทำลายโครงสร้างของเครื่องบิน แต่ไม่ว่าสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ได้กลายเป็นมุมถ่ายรูปยอดฮิตของไอซ์แลนด์ที่ใครๆ ก็พากันมาถ่ายรูปแบบเท่ๆ คูลๆ ไปแล้วค่า

จากลานจอดรถจะมีบริการรถ Shuttle Bus มาส่งยังจุดชมซากเครื่องบิน ไปกลับตีเป็นเงินประมาณ 625 บาท หรือใครฟิตๆ หน่อยก็จอดรถไว้ริมถนนและเดินเข้ามาประมาณ 4 กิโลเมตร ไปกลับเป็น 8 กิโลเมตร 55555 เเถมต้องฝ่าลมหนาว บางทีก็เจอฝนอีก จนเพลงนี้ขึ้นมาในหัวเลยค่ะ ใจสู้รึเปล่าาา ไหวไหมบอกมาาา~ >,< และตรงนี้ยังเป็นสถานที่ที่คนมักจะมาชมแสงเหนือกันด้วยค่า

shutterstock_1163817412

shutterstock_797489680

shutterstock_1875424072

shutterstock_1092843635
 





เที่ยวน้ำตกกลีมูร์ (Glymur)

น้ำตกกลีมูร์ น้ำตกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในไอซ์แลนด์! รองจากน้ำตก Morsárfoss ที่ความสูง 198 เมตร *0* ตั้งอยู่ในฟยอร์ด Hvalfjörður ฟยอร์ดที่งดงามที่สุดของประเทศค่า~ ใช้เวลาขับรถจากเมืองเรคยาวิกแค่ 40 นาที โดยน้ำตกจะไหลจากแม่น้ำ Botnsá ลงมาตามช่องของหุบเขา Botnsdalur จะบอกว่าต้องวางแผนการเดินทางมาเที่ยวกันให้ดีๆ นะคะ เผื่อไว้เลย 3-4 ชั่วโมง เพราะไม่ใช่มาถึงแล้วจะได้เจอกับน้ำตกเลย แต่จะต้องปีนเขาและเดินป่า ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อไปถึงตัวน้ำตก ทางก็มีความขรุขระไม่เบา อ๊ะๆ อย่าเพิ่งหอบกันนะคะ เพราะเราจะได้รับรางวัลระหว่างทางเป็นความงามของธรรมชาติและทิวทัศน์อันน่าประทับใจตลอดเส้นทาง >3<

จะต้องผ่านทั้งสะพานไม้เพื่อข้ามแม่น้ำ Botnsá และถ้ำเล็กๆ เช่น ถ้ำ Thvottahellir หมายถึง ถ้ำซักผ้า เป็นถ้ำที่คนในท้องถิ่นสมัยก่อนใช้ในการแขวนซักผ้าตอนฝนตกค่ะ เป็นเส้นทางที่เหมาะกับคนรักธรรมชาติและสายชิล ใครที่พกขนม อาหารมา หิวๆ เหนื่อยๆ ก็หามุมแวะพักนั่งทานกันได้ค่ะ เมื่อมาถึงจุดสูงสุดได้ฟีลเหมือนพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส 5555 วิวสวยมากกก เห็นภาพมุมกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา สูดอากาศอันบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดดด!!

shutterstock_1288257928

shutterstock_1855273018

shutterstock_685438240

shutterstock_1490978615

shutterstock_733273675

shutterstock_1493081051

shutterstock_1762311806

shutterstock_685438189
 


 

เที่ยวน้ำตกไฮฟอสส์ (Haifoss Waterfall)

เมื่อกี้ความสูงระดับ 2 ของประเทศกันไปแล้ว ต่อด้วยอันดับ 3 กันเลยจ้า น้ำตกไฮฟอสส์ ตั้งอยู่ในหุบเขา Fossárdalur Háifoss ทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์ ใกล้ๆ กับภูเขาไฟ Hekla มีความสูงประมาณ 122 เมตร ซึ่งในภาษาไอซ์แลนด์คำว่า há แปลว่าสูง และ foss แปลว่าน้ำตก ก็แปลง่ายๆ ลงตัวเลยค่ะ น้ำตกสูงงงงงง ถูกค้นพบเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 ในตอนนั้นไม่ใช่แค่น้ำตกที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์ แต่ยังสูงที่สุดในยุโรปอีกด้วย เป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำ Fossá ซึ่งเป็นแม่น้ำสายย่อยของแม่น้ำ Þjórsá ที่มีลักษณะเป็นธารน้ำแข็งและเป็นน้ำสายที่ยาวที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ แม่น้ำทั้งสองสายนี้ก็ไหลมาเรื่อยๆ จนตกลงมาสู่พื้นด้านล่างกลายเป็นน้ำตกที่สวยงามแห่งนี้นั่นเองค่า เสียงของน้ำที่ไหลกระทบหับหินคือดังก้องไปทั่ว ก่อนจะแตกตัวเป็นละอองฝอย สดชื่นสะใจอย่างกับเล่นสงกรานต์ >,< โดยแถวนั้นจะเป็นที่ราบสูงขอบหน้าผาลึก สามารถเดินลงไปด้านล่างเพื่อดูความใหญ่อลังการของน้ำตกได้แบบใกล้ชิด

ไอซ์แลนด์เป็นดินแดนที่มีน้ำตกมากกว่า 10,000 แห่ง เรียกได้ว่าคู่แข่งเยอะม๊ากกก แต่น้ำตกไฮฟอสส์ ก็ติดอันดับต้นๆ เรื่องความปังเลยนะค้า มีชื่อเสียงในด้านทัศนียภาพที่ไม่เหมือนใคร เพราะข้างๆ กันมีน้ำตก Granni ยิ่งเพิ่มความปังแบบทวีคูณ! สวยแบบแพ็คคู่กันไปเลยยย ยิ่งถ้าใครโชคดีมาถูกจังหวะตอนที่แสงแดดส่องและน้ำตกทั้งสองที่ไหลเต็มที่จะเกิดเป็นรุ้งกินน้ำสีสวย เมื่อมองมาจากด้านบนจะรู้สึกเหมือนได้เห็นภาพแบบพาโนราม่า สายน้ำ 2 เส้นไหลลงมา ดูไปดูมาก็แอบคล้ายกับคนร้องไห้เหมือนกันนะคะ T-T

ปกติแล้วจะมาเที่ยวชมน้ำตกต้องใช้รถ 4WD เพราะทางขรุขระมาก เต็มไปด้วยหลุมบ่อขนาดใหญ่ จะมีความยากนิดนึง หรือสำหรับผู้รักการผจญภัย กิจกรรมเดินป่าก็เป็นอีกตัวเลือกที่ฮิตฮอต ตัวน้ำตกเปิดให้เข้าชมได้แค่ช่วงหน้าร้อนเท่านั้นนะคะ

shutterstock_1209554956

shutterstock_1448503262

shutterstock_1626843466

shutterstock_1861128655




เที่ยวน้ำตกเดตตี้ฟอสส์ (Dettifoss Waterfall)

น้ำตกเดตตี้ฟอสส์ เป็นอีกสถานที่ที่น่าสนใจในการมาเยือนไอซ์แลนด์ เพราะได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกที่ใหญ่และทรงพลังมากที่สุดของยุโรป!! (The Most Powerful Waterfall In Europe) ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล (Vatnajökull National Park) อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเช่นกันจ้ะ ความน่าตื่นตาตื่นใจของน้ำตกที่ทรงพลังแห่งนี้คือ ภาพของน้ำตกที่กว้างถึง 100 เมตร กำลังไหลลงมาจากขอบหน้าผาอันกว้างใหญ่ และตกลึกลงไปอีกราวๆ 45 เมตร สามารถมองเห็นละอองน้ำที่กระเซ็นขึ้นมาได้จากระยะไกลหลายกิโลเมตรอีกด้วยค่า นี่ขนาดยืนอยู่กรุงเทพฯยังเห็นเลย แฮ่!!

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ๆ มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงพลังที่เขาว่าไว้จริงๆ มวลน้ำมหาศาลไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย โดยกระแสของน้ำนั้นสูงถึง 193 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เรียกได้ว่าไหลแรงสะใจ!! มีต้นกำเนิดมาจากธารน้ำแข็งวัทนาโจกุล (Vatnajökull Glacier) ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังเคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์อันโด่งดังเรื่อง Prometeus (2012) อีกด้วยค่ะ

ข้างๆ ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ เพลิดเพลินไปสายรุ้งที่จะมีให้เห็นบ่อยๆ เหนือหน้าผา มีเส้นทางเดินป่าระยะทาง 34 กิโลเมตร ลัดเลาะไปตามหุบเขา สามารถตั้งแคมป์ได้ มาเที่ยวได้ทุกฤดู แต่หลีกเลี่ยงช่วงฤดูหนาวจะดีกว่าค่ะ เพราะว่าถนนที่เข้ามายังน้ำตกจะถูกปิดเพื่อป้องกันการเกิดอันตราย

shutterstock_733605982

shutterstock_577329655

shutterstock_1766487767

shutterstock_320770403

shutterstock_304881821

shutterstock_765114289

 




ล่องเรือชมวาฬที่ฮูซาวิก (Husavik Whale Watching)

เมืองฮูซาวิก (Husavik) เมืองประมงเล็กๆ ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์ เป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดในไอซ์แลนด์ด้วยนะจ๊า ธรรมดาซะที่ไหนนน ที่สำคัญคือมีชื่อเสียงในเรื่องของการดูวาฬ จนได้รับการขนานนามให้เป็นเมืองหลวงแห่งการดูวาฬของประเทศไอซ์แลนด์ (The Whale watching capital of Iceland) และยังถูกยกย่องให้เป็นเมืองหลวงแห่งการดูวาฬของยุโรป (The Whale watching capital of Europe) อีกด้วยยยย

ฉายาการันตีขนาดนี้ เดี๋ยวจะหาว่าโม้ อิอิ มาที่เมืองฮูซาวิกทั้งทีจะพลาดการดูวาฬไปไม่ด้ายยยย จะเหมือนมาไม่ถึง >,< ที่นี่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของวาฬหลากหลายชนิด ทั้งวาฬหลังค่อม (Humpback Whales),วาฬสีน้ำเงิน (Blue Whales), วาฬหัวทุย (Sperm Whale), วาฬมิงค์ (Minke whale) เป็นต้น และที่บริเวณอ่าว Skjálfandi เป็นแค่ 1 ใน 4 แห่งของโลกที่สามารถพบวาฬสีน้ำเงินได้ ช่วงเวลาที่เหมาะกับการดูวาฬที่สุดคือช่วงฤดูร้อน เดือนพฤษภาคม - กันยายน โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม เพราะเราจะมีโอกาสได้ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนด้วยค่า การนั่งเรือออกไปดูวาฬเป็นกิจกรรมยอดฮิต สามารถซื้อเลือกทัวร์กันได้เลย ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งปกติถ้าไปแล้วไม่เห็นวาฬทางบริษัททัวร์จะให้ตั๋วฟรีเราอีกหนึ่งรอบด้วยค่ะ

shutterstock_1125880346

shutterstock_635419340

shutterstock_1345373114 shutterstock_323907449

shutterstock_1742065607

แนะนำให้แวะมาชมพิพิธภัณฑ์ Húsavík Whale Museum เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์เพียงไม่กี่แห่งในโลกที่ทุ่มเทให้กับปลาวาฬโดยเฉพาะ มีการจัดแสดงแบบ Interactive Multimedia โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์จัดการกับข้อมูลภาพและเสียงให้สามารถโต้ตอบกับเราได้ ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังได้จัดแสดงโครงกระดูกของวาฬที่แตกต่างกันถึง 10 แบบ และยังเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งเดียวในโลกที่มีชิ้นส่วนโครงกระดูกที่สมบูรณ์ของวาฬสีน้ำเงิน มีตู้ที่จัดแสดงชิ้นส่วนต่างๆ ของวาฬที่หาชมได้ยาก มีห้องสมุดบรรยากาศสบายๆ พร้อมหนังสือ และพื้นที่พิเศษสำหรับเด็กๆ ด้วยนะคะ

iceland-north-east-husavik-whale-museum-rth

Whale-Museum-3

Iceland-Husavik-Whale-Museum-Header-Photo

Whaling_Museum_6

Whaling_Museum_1เครดิตรูปภาพจาก https://www.planmytravels.eu/wp-content/uploads/2020/11/Whale-Museum-3.jpg, http://www.katiewanders.com/2017/11/day-6-visiting-husavik-icelands-whale.html, http://akphilanthropy.org/wp-content/uploads/2016/10/Iceland-Husavik-Whale-Museum