รีวิวทริปล่องเรือสำราญ สิงคโปร์ ปีนัง เกาะลังกาวี

วันที่ 23-27 กันยายน 2560

 

ตารางการเดินทาง

Day 01  Singapore  เรือออกเดินทาง 4:30 pm (Check-in ได้ตั้งแต่เวลา 11:30 am -3:30 pm)

Day 02  Penang, Malaysia เรือเทียบท่า เวลา 3:00 pm  /  กลับมาขึ้นเรือก่อนเวลา 10:00 pm

Day 03  Langkawi Island เรือเทียบท่า เวลา 8:00 am  /  กลับมาขึ้นเรือก่อนเวลา 6:00 pm

Day 04  ล่องทะเล - กิจกรรมภายในเรือตลอดวัน

Day 05  Singapore เรือจอดที่ท่าเรือเวลา 08:00 (Check-out ตามหมายกำหนดการ)

 

แพ็คกระเป๋าเดินทาง แล้วไปกันเล๊ยยยยยยย !!

1. เริ่มจากเลือกสายการบิน

เรามาเริ่มออกสตาท์กันที่จุดเริ่มต้น โดยการออกเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชียกันก่อนละกันนะคะ

เที่ยวบินที่เราจอง เริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ เราเลยเลือกไฟท์ที่บินออกจาก ภูเก็ต-ซางงี สิงคโปร์ เวลา 9.55 - สิงคโปร์ 12.45 (ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง)

คำแนะนำ: เรือเริ่มออกเดินทาง จากท่าเรือ 4.30 pm ดังนั้นเราสามารถเชคอินขึ้นเรือได้ตั้งแต่เวลา 12.00 นาฬิกา และอย่างช้าที่สุด 3 ชั่วโมง ก่อนเรือออกเดินทาง

 

2. รถรับ - ส่ง จาก สนามบินซางงี ไปที่ท่าเรือสิงคโปร์

เราเลือกใช้บริการพี่แท็กซี่สุดหล่อได้เลยจ้า  เมื่อเราเดินทางมาถึงสนามบินซางงี เพื่อที่จะไปยัง Marina Bay Cruise Centre คริคริ ว่าแล้วก็ตามน้องบุ๋งๆ มาเลยค่า ให้เดินออกมาขึ้นรถที่จุด Taxi Queue Terminal 3 ตรงทางออกชั้นที่ 1 ชั้นเดียวกับจุดรับสัมภาระค่ะ อัตราค่าโดยสาร จะอยู่ที่ 20-25 สิงคโปร์ดอลลาร์ (ส่วนทริปนี้ เราเสียไป 21 สิงคโปร์ดอลลาร์ อิอิ)

 

รีวิวการเดินทางทริป 4 คืน 5 วัน สิงคโปร์ ปีนัง ลังกาวี

 

Day 01 Singapore  เรือออกเดินทาง 4:30 pm (Check-in ได้ตั้งแต่เวลา 11:30 am - 3:30 pm)   ฉันจะไป ฉันจะไป ฉันจะไป ล่องเรือ เวลาแห่งความสุขได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว  

จุดแรกที่ต้องผ่านด่านไปให้ได้ คือ ขั้นตอนการ Check-In  

ด่านที่ 1 เมื่อเรามาถึงที่ท่าเรือสิงคโปร์  หรือที่เรียกว่า Marina Bay Cruise Centre อย่างปลอดภัย ครบ 32 ประการ ก็ให้เราวางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ จุด Luggage Drop โดยการติด Tag กับกระเป๋าที่รับพร้อมตั๋วเรือ หรือ จะแจ้งเป็นหมายเลขห้องให้กับเจ้าหน้าที่ก็ได้ค่ะ

 

ด่านที่ 2 เดินเข้ามาภายในอาคาร  Entrance ให้ถือเอกสาร SetSail Pass ไว้กับตัว ถือโชว์ผ่าน Security เพื่อเข้าไปพื้นที่ด้านใน จากนั้นจะมีการ Scan สัมภาระทุกใบที่เราถือขึ้นเรือค่ะ

 

ด่านที่ 3 เอกสารที่ต้องใช้เช็คอิน ได้แก่ Passport และ SetSail Pass เพื่อมารับบัตร Seapass® และพนักงานจะถามว่าค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมบนเรือจะชำระเป็นเงินสด หรือจ่ายผ่านบัตรเครดิต ส่วนของเราจ่ายตัดบัตรเครดิตจ้า เพราะสะดวกที่สุด ระบบจะทำการตัดบัญชีจากบัตรเครดิตโดยอัตโนมัติ (สะดวกที่สุด)  อ้อ!  ค่าใช้จ่ายทุกอย่างบนเรือเขาจะใช้เป็น USD หมดนะคะ

ตัวอย่างบัตร Seapass

  

ด่านที่ 4 เดินผ่าน Gang Way เข้าพื้นที่ด้านใน เพื่อผ่านไปยัง Immigration Counter เพื่อตรวจตราออกจากประเทศท่าเรือเริ่มต้น ก่อนขึ้นตัวเรือฯ จะมีเจ้าหน้าที่ของเรือ เขาจะขอเก็บหนังสือเดินทางของเราเอาไว้ค่ะ และเราจะได้รับหนังสือเดินทางคืนในวันก่อนจบทริปเรือจ้า

  

ด่านที่ 5 จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย สแกนบัตร Seapass ในบัตรนั้นจะโชว์เป็นหน้าเรา เนื่องจากตอนที่เราทำการรับ Seapass ในด่านที่ 3 จะมีเจ้าหน้าที่ถ่ายรูปใบหน้างาม ของเราไว้  อิอิ

ด่านที่ 6 เมื่อเราเดินเข้าไปบนเรือ รีบสานสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ จุดแรกที่เราสบตา ปิ๊ง แล้วพูดออกไปเบาๆ ว่า ขออนุญาตจองโต๊ะอาหารสำหรับมื้อดินเนอร์นะคะ จะมีเจ้าหน้าที่นำเราไปยังห้องอาหารเพื่อทำการเลือกโต๊ะสำหรับมื้อเย็นค่ะ อิอิ (มาให้ตรงเวลานะคะ หากมาช้าไปแค่ 5 นาที โต๊ะของเราก็จะถูกแย่งชิงในทันที)

คำแนะนำ

-  ควรเตรียมกระเป๋าใบเล็ก สำหรับใส่ของมีค่า พกติดตัว เช่น กระเป๋าเงิน ยาประจำตัว หรือของใช้อื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับท่านเอง

-  กระเป๋าใบใหญ่ จะถูกส่งไปถึงห้องพักของเราในช่วงเวลาบ่าย หรือเย็น หากเลย 18.00 . ไปแล้วยังไม่ได้รับกระเป๋าสัมภาระ กรุณาติดต่อ Guest Relation Counter ชั้น 5 หรือลงไปที่ชั้น 1 ได้เลยค่ะ

-  เรือสำราญ Mariner of the Seas  ไม่จำกัดน้ำหนัก และจำนวนสัมภาระที่จะนำขึ้นเรือค่า

 

ภายในห้องนอน

จากนี้ไป ชีวิตเป็นของเราแล้วค่า ต้องรีบทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มๆ ที่พักของเราสวยมากค่ะเป็นห้อง Promenade Stateroom อยู่ Deck 7 เราได้พักอยู่ตรงกลางลำเรือ มองลงมานอกหน้าต่าง จะสามารถมองเห็นขบวนพาเลท และกิจกรรมต่างๆ ตรง Deck 5 ตรงกลางโซน Royal Promenade ค่า

 

น้องเบธให้ทายว่าบัตร Seapass® มีข้อมูลอะไรอยู่ และมีประโยชน์อย่างไรบ้างนะคะ? 1-2-3 ว๊ายย.. ไม่มีใครตอบเลย 555 ฉะนั้น น้องขอเฉลยค่ะ Seapass เป็นบัตรประจำตัว ดุงดั่งบัตรประชาชนบนเรือสำราญเลยค่า บัตรนี้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอแล้ว เราต้องพกติดตัวตลอดเวลา ใช้เข้าห้องพัก ใช้ขึ้นลงเรือ ใช้เช็คบิลที่ร้านอาหาร และใช้ซื้อของ  ข้อมูลบนบัตรจะมี ชื่อของเรา ชื่อเรือ Dining Room: ได้เป็นห้องอาหาร Sound of Music Dk5 (ชั้น 5) Seating: on my time หมายถึง เวลาแล้วแต่เราจะจองได้เลยค่า และมีหมายเลข C10 คือ บริเวณจุดนัดพบเพื่อทำ Mandatory Guest Assembly Drill และในกรณีฉุกเฉิน ผู้โดยสารต้องมารวมตัวกันที่จุดตามหมายเลขบัตร  เราจะทำ Mandatory Guest Assembly Drill 1 ครั้ง ก่อนออกเดินทาง หากใครนึกภาพไม่ออก จะเหมือนกันการชมการสาธิต หากเกิดกรณีฉุกเฉินบนเครื่องบินเลยค่า (จุดนี้จะมีเจ้าหน้าที่ประกาศ ให้ผู้โดยสารทุกคนมาตามเวลานัดหมาย)

 

ก่อนเรือแล่นออกจากฝั่ง ทุกคนต้องมารวมตัวกันเพื่อทำการซ้อม หรืออบรมการใช้เสื้อชูชีพนั่นเองค่ะ โดยเวลาจะตรงเป๊ะเลยฟังให้ดีนะคะทุกคน เวลา 3.30 pm ผู้โดยสารทุกคนจะอยู่บนเรือ จากนั้น เวลา 4:00 pm ทุกอย่างบนเรือจะหยุดให้บริการโดยทันที พร้อมกับเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ ให้ทุกคนมาตามจุดนัดหมาย เพื่อทำการซ้อมฉุกเฉิน ขั้นตอนต่อไป เรียกว่า Mandatory Guest Assembly Drill ผู้โดยสารทุกคน ต้องนำ Seapass® ติดตัว และออกจากห้องพักมารวมตัวกันที่ Deck 4 และ 5 เพื่ออบรมการใช้เสื้อชูชีพ ของเราได้ยืนตรงแถว C10 ค่า และสุดท้ายขอให้ทุกคนตั้งใจฟังนะคะ ใช้เวลาไม่นาน ก็เป็นอันเสร็จสิ้น และแยกย้ายได้ (สลายโต๋ นั่นเอง)

 

เวลา 4:30 pm เรือเริ่มออกเดินทางอย่างช้าๆ เวลาแห่งความสุขและสนุก ได้เริ่มขึ้นแล้ว เรือแล่นมุ่งหน้าไปยัง George Town ปีนัง บรรยากาศบนชั้น 11-12 เป็นจุดที่เราชอบที่สุดค่ะ เพราะเราจะได้เห็นวิวของมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ ตื่นตาตื่นใจแบบสุด ชั้นบนนี้ จะมีสระว่ายน้ำ ลานกิจกรรมสนุกต่างๆ เก้าอี้อาบแดด จุดชมวิว จอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ ไว้ให้เราดูหนังตอนกลางคืน ในบางช่วงจะมี DJ มาเปิดเพลงมันส์ๆ แบบ Nonstop แดนซ์กันจนเหนื่อยเลยทีเดียวค่า ส่วนใครที่ชอบออกกำลังกายตอนเช้า ก็มีลู่วิ่งพร้อมวิวงามๆ สามารถขึ้นมาวิ่งกันข้างบนนี้ได้เลยค่า อากาศก็แสนจะดี๊ดี หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

 

 

ที่ชั้น 11 ยังมีของทานเล่นและไอศกรีมด้วย วันแรกที่เราขึ้นเรือ เรารู้สึกหิวกันมาก นึกอะไรไม่ออกก็ให้ขึ้นมาที่ชั้น  11 เพราะจะมีร้านเล็กๆ อยู่บริเวณสระว่ายน้ำ เรียกว่าร้าน Dog House แจกฟรี Hot Dog เวลา 11:30 am  3:30 pm / 4:45 pm - 6:30 pm (ไม่เอาขนมปังก็ได้อิอิ และมี ร้านเล็ก Arctic Zone แจกฟรี ไอศกรีม frozen yogurt เวลา 11:30 am - 3:30 pm / 4:45

 

  

ส่วนชั้น 12 ก็มีโซนกิจกรรมมากมาย เช่น เทนนิส บาสเกตบอล สนามมินิกอล์ฟ รวมถึง กิจกรรมสุดโปรดปีนผาจำลอง หรือที่เรียกว่า Rock Climbing น้องเบธปีนเท่ห์ ท่าสวยไหมคะ อิอิ

 

บนเรือมีกิจกรรมให้เล่นหลากหลาย ไม่มีเวลาเบื่อเลยจริงๆ ค่ะ

  

จุดเด่นของเรือ Mariner Of The Seas มาดูกันเลยค่า

Royal Promenade ถนน Shopping ตั้งอยู่ที่ชั้น 5 ภายในตัวเรือค่ะ เป็นถนนที่มีร้านค้าปลอดภาษีจะมีเปิดขายของเมื่อเรือแล่นออกไปยังน่านน้ำสากล ภายในมีทั้ง กระเป๋า นาฬิกา และะน้ำหอมแบรนด์ดังต่าง และที่ขาดไม่ได้เลย คือ Cafe Promenade ที่ให้บริการอาหารว่าง แซนวิช พิซซ่า เค้ก คุ้กกี้ เยลลี่ และอีกหลากหลายชนิดสลับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามช่วงเวลา พร้อมชากาแฟ ตลอด 24 ชั่วโมง (บริการฟรีตลอดการเดินทาง) อิอิ ชอบแอบมากินกันตอนดึกๆ ของว่างฟรี : Cafe Promenade ชั้น 5 ให้บริการอาหารว่าง พร้อมชากาแฟ ตลอด 24 ชั่วโมง

 

ได้เวลาหิวกันแล้ว ท้องร้องเสียงดังมากค่า ช่วงเวลาอาหารเย็นจะแบ่งเป็น 2 รอบ นะคะ รอบแรก 5:30 pm รอบที่สอง 8:00 pm แนะนำให้ทำการจองที่นั่งมื้อค่ำกันตั้งแต่ขึ้นบนเรือนะคะ เราจะได้เลือกวิวสวยๆพร้อมกับบรรยากาศดีดี ส่วนของเราทำการจองไว้ ได้รอบแรกค่า


 

รายการอาหารเย็น มื้อสุดพิเศษ ในค่ำคืนแรกของเรา

อาหารเย็นเป็นแบบ 3 Courses Dinner Menu ประกอบด้วย อาหารเรียกน้ำย่อย  /  อาหารจานหลัก  / ของหวาน ได้แก่ อาหารเรียกน้ำย่อย มี 6 ตัวเลือก ไม่ว่าจะเป็น สลัด หรือ ซุป อาหารจานหลัก มี 11 รายการ ของหวานชนิด พร้อมชา กาแฟ

  

สำหรับขาแดนซ์ ที่ชอบปาร์ตี้ หนัก จะต้องลงมาที่ Dragon’s Lair ชั้น 3 ปาร์ตี้จะเริ่มตั้งแต่ 10.45 p.m - late (เด็กอายุต่ำกว่า 18 เข้าไม่ได้นะจ๊ะ)

 

 

Day 02  Penang, Malaysia เรือเทียบท่า เวลา 3:00 pm  /  กลับมาขึ้นเรือก่อนเวลา 10:00 pm

เริ่มต้นวันที่ 2 ด้วยท้องฟ้าที่แจ่มใส แต่น้องเบธดันตื่นสายเพราะเตียงนุ่มๆ นอนสบายใจเฉิบเลยอยู่บนเรือลำใหญ่ ช่างแสนจะฟินเหลือเกิน แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่า กินอิ่ม นอนอุ่น หุ่นเอาไว้ก่อนนะคะ ตื่มมาปุ๊บ ทันมาทานมื้อเที่ยงปั๊บ ที่ห้องอาหาร บุพเฟต์ เรียกว่า Windjammer Cafe (อาหารสไตล์บุพเฟต์ เช้า กลางวัน เย็น)  ตั้งอยู่ชั้น 11 ค่า เปิดให้บริการ มื้อเช้า เวลา 07.00 - 10.00 a.m มื้อกลางวัน 11.00 - 4.00 p.m มื้อค่ำ เวลา 7.30 p.m -10.00 p.m

 

เรือเทียบท่า Penang, Malaysia  เวลา 3:00 pm  /  กลับมาขึ้นเรือก่อนเวลา 10:00 pm

ในวันนี้เราจะเดินทางอิสระเองค่ะ ไม่ได้ซื้อทัวร์ชายฝั่งกับสายเรือ พอเราเดินออกจากตัวเรือแล้ว เราจะเจอฝูงชนมากมาย ยืนรออยู่นอกบริเวณเรือสำราญ ฝูงชนเหล่านั้นก็คือ พวกบริษัททัวร์ หรือไกด์พาเที่ยว ไปจนถึงบริการรถรับส่งพาชมความงามของเมืองนั่นเอง

น้องเบธแนะนำว่าให้ดูดีดีนะคะ ไม่ต้องรีบ  แนะนำให้ดูราคาที่เขาชูป้ายแล้วจำไว้ หลังจากนั้นเดินออกมา อาจจะโชคดีเจอกับแท็กซี่ที่มายืนรอนักท่องเที่ยวก็ได้ เรียกดูคนที่สุภาพ คิดราคาไม่แพง แถมใจดีที่จะให้ข้อมูลกับเราได้ อาจจะต้องดูลักษณะคนขับนิดนึง  เราโชคดีค่ะเจอคุณลุงท่านนึงใจดีมาก คิดราคาเพียง 90 ริงกิต ประมาณ 700 กว่าบาท ต่อการพาเที่ยว 3 ชั่วโมง ในการขับรถพาชมเมืองและแวะตามสถานที่ต่างๆ

ขอแชร์สถานที่ที่น่าประทับใจนะคะ    

หมู่บ้านประมงริมทะเล  (Chew Jetty)  จุดนี้เป็นหมู่บ้านที่ยื่นลงไปในทะเล มีบ้านเรือนต่างๆ จะเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกซะส่วนใหญ่ แต่ก็ถือว่าได้มาชมบรรยากาศริมทะเลชิลๆ ดี บรรยากาศการขายของ คล้ายๆ ตลาดน้ำอัมพวาบ้านเราเลยค่ะ 

 

ใครที่ไปเที่ยว จอร์ชทาวน์ปีนัง ต้องไม่พลาดที่จะไปเดินชม Street Art  เขาว่ากันว่า แต่ก่อนจอร์ชทาวน์ก็มีแต่ตึกเก่าๆ จนมาวันนึงได้มีศิลปินผู้นึงชื่อ Ernst Zacharevic แวะมาเที่ยวที่เมืองแห่งนี้ และเกิดความหลงเสน่ห์เมืองจอร์ชทาวน์ จึงปักหลักอยู่เมืองนี้และได้วาดภาพศิลปะต่างๆ ลงบนกำแพง จนเป็นที่โด่งดังและดึงดูดนักท่องเที่ยวมาจนถึงทุกวันนี้  Street Art มีผลงานศิลปะยาวบนกำแพงยาวตลอดทางเดิน จึงขอแชร์เพียงไม่กี่ภาพนะคะ

 

ต่อด้วยพาชมเมืองเก่าๆ ที่เป็นเมืองมรดกโลกในจอร์ชทาวน์ สถาปัตยกรรมศิลปะผสมผสานแบบจีน พอเดินชมเมืองเก่าแล้วนึกถึงย่านเมืองเก่าในตัวเมืองภูเก็ตบ้านเราเลยค่ะ เป็นสไตล์เดียวกัน

 

เรามีวัดไทยที่โด่งดังอยู่ที่ปีนังด้วยนะคะ วัดไชยมังคลาราม สร้างเมื่อปี 2388 สามารถแวะไปเที่ยวหรือไปกราบสักการะได้ค่ะ

 

วัดพม่าก็มีค่ะ อยู่ตรงข้ามกันเลย แวะมาสักการะกันได้ที่ปีนัง

 

ได้เวลากลับขึ้นเรือกันแล้วค่ะ สำหรับ Day 2 ผ่านพ้นไปอีกวัน ขอกลับขึ้นเรือไปอาบน้ำ และรับประทานมื้อค่ำต่อนะคะ ที่ห้องอาหาร Windjammer บุพเฟต์รอบดึก Deck 11 เปิดตั้งแต่เวลา 7.30 - 10.00 p.m ค่า

 

Day 3   Langkawi Island เรือเทียบท่า เวลา 8:00 am  /  กลับมาขึ้นเรือก่อนเวลา 6:00 pm

มื้อเช้าวันที่ 3 ของเราก็ยังอยู่ที่ห้องอาหาร Windjammer Cafe ค่ะ (อาหารสไตล์บุพเฟต์ เช้า กลางวัน เย็น)  ตั้งอยู่ชั้น 11 ค่า เปิดให้บริการ มื้อเช้า เวลา 07.00 - 10.00 a.m มื้อกลางวัน 11.00 - 4.00 p.m มื้อค่ำ เวลา 7.30 p.m -10.00 p.m

 

วันนี้เรือเทียบท่าแต่เช้า เราสามารถเที่ยวเองได้ที่เกาะลังกาวีค่ะ บรรยากาศวันนี้ท้องฟ้าสดใสนะคะ

ภาพถ่ายจากบนเรือค่ะ

 

พอลงจากเรือปุ๊บ เราสามารถใช้บริการรถแท็กซี่หรือรถบัสก็ได้ค่ะ (แท็กซี่ราคาจะประมาณ 30 ริงกิตค่ะที่ลังกาวี น้องเบธไม่ได้ทำกิจกรรมเยอะเท่าไหร่ค่ะ นอกจากการนั่งรถบัสเข้าไปข้างในท่าเรือ ประมาณ 10 นาทีได้ และก็แวะช็อปปิ้ง ซื้อช็อคโกแลตนิดๆ หน่อยๆ ที่ ห้าง Shopping mall ข้างในท่าเรือค่า และเดินเล่นริมชายหาดได้สักพัก เนื่องจากพอลงเรือปุ๊ปฝนก็ตกปรอยๆ ขึ้นมาทันทีค่ะ

  

กลับมาขึ้นเรือก่อนเวลา 6:00 pm

ได้เวลากลับขึ้นเรือไปทานอาหารมื้อสุดพิเศษที่เราได้ทำการจองไว้ล่วงหน้า เวลา 6.00 p.m

ร้านอาหารนั้นก็คือ Chops Grille ค่ะ เข้าห้องอาหารนี้ต้องไม่พลาดทานสเต๊กอร่อยๆ พร้อมกับจิบไวน์แดงไปพร้อมๆ กัน Chops Grille อยู่ Deck 11 เปิดเวลา 6.00 pm - 9.30 pm ราคาต่อท่าน 35 เหรียญ (รวมทิป) เมนูอาหารนั้น เราสามารถสั่งอาหารแบบเรียกน้ำย่อยได้ เช่น ซุป หรือสลัด สั่งเป็นอาหารจานหลัก และตบท้ายด้วยของหวาน พร้อมชา กับกาแฟ ได้เลยค่า

 

 

 

Day 04  Crusing ล่องทะเล - กิจกรรมภายในเรือตลอดวัน

Cruise Compass ประจำวันที่ 4 เจ้าของรีวิวลืมบอกว่าเราจะได้รับโปรแกรม Cruise Compass ที่พนักงานจะนำมาวางไว้ที่ห้องทุกวัน ในนั้นจะมีทั้งบอกเวลา ระบุสถานที่การไปรับประทานอาหาร กิจกรรมระหว่างวัน และกิจกรรมในช่วงดึกว่ามีอะไรบ้าง เป็นต้นค่ะ

 

วันนี้เป็นวันที่ 4 เจ้าของรีววิวเริ่มจะหมดแรงซะแล้วค่ะ กิจกรรมวันนี้เน้นไปในทางความบันเทิงๆ กับการเพลิดเพลินของการแสดงโชว์ Ice Under The Big Top จัดขึ้นที่ Studio B ชั้น 3 การแสดงเราเลือกเป็นช่วงเวลา บ่าย 3:00 pm เป็นการแสดงลีลา ท่าทาง ประกอบกับเพลงสุดแสนจะอลังการบนลานสเก็ตน้ำแข็ง เรียกความตื่นตาตื่นใจและน่าประทับใจสุดๆ ค่า ที่นี่เขาจะเปิดให้ชมได้คนละ 1 รอบเท่านั้น อย่าลืมนำบัตร Seapass® ติดตัวมาด้วยเพราะเจ้าหน้าที่จะทำเครื่องหมายบนบัตรว่าเราเข้าชมแล้วนั่นเองค่ะ

 

บนเรือสำราญ Mariner Of The Sea มีห้องอาหาร Dining Room ถือเป็นห้องอาหารที่ใหญ่โต และโอ่อ่าบนเรือสำราญลำนี้ มีทั้งหมด 3 ชั้น 
ชั้น 3 ชื่อว่าห้อง Rhapsody in Blue Dining Room เป็นห้องอาหารเช้า เหมาะสำหรับมากันเป็นครอบครัวค่ะ หรือถ้ามากับเพื่อนสองคน เราก็จะได้รวมโต๊ะกับแขกท่านอื่นๆ แน่นอน อย่างในภาพด้านล่างเราได้รวมโต๊ะกับแขกท่านอื่นที่มาจากทั้งยุโรป ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และจีน นั่นเองค่า เมนูอาหารเช้าของที่นี่ก็ดีมากค่ะ รสชาติไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน
ชั้น 4 ชื่อว่าห้อง Top Hat and Tails Dining Room
ชั้น 5 ชื่อว่าห้อง Sound of Music Dining Room เป็นห้องอาหารเย็นมื้อสุดท้ายสำหรับทริปพิเศษนี้ เลยขอสั่งเมนูกุ้งล็อบสเตอร์มาทานให้ฟินก่อนกลับบ้านกันไปเลย และชั้นนี้ยังเป็นห้องอาหารสำหรับคนที่ขอเข้ารับประทานอาหารแบบ My Time Dining ด้วยนั่นเองค่ะ

 

Day 05  Singapore เรือจอดที่ท่าเรือเวลา 08:00 (Check-out ตามหมายกำหนดการ)  เสร็จสิ้นทริปที่สุดแสนจะประทับใจ บนเรือสำราญ ​Mariner Of The Sea ขอบคุณสำหรับทริปแห่งความทรงจำนี้

 

Beth: 2018-04-16

 

ช่วงเก็บตกภาพบนเรือสำราญ Mariner of the Sea 

 

 

Beth: 2018-04-16